แต่มันน่าหงุดหงิดชะมัดที่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ
เธอได้แต่แอบบ่นกับตัวเองอยู่ในใจ เธอเก็บห้องให้เรียบร้อยแล้วเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ขณะที่เธอกำลังจะโทรศัพท์ติดต่อจิ้นหยวนหลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องดังขัดจังหวะขึ้น
“สวี่จิ้งเหรอ? มีอะไรหรือเปล่า?” เธอเอ่ยถามโดยไม่ต้องคิดแล้วเปิดประตูออกทันที พลันเสียงของเธอขาดหาย “ทำไมถึงเป็นคุณ?”
เธออ้าปากน้อยๆ ด้วยความตื่นตะลึง ร่างกายชะงักนิ่งไม่ไหวติง
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือฉีหย่วนเหิงที่หายหน้าหายตาไปนานมาก ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าเขาคงยอมตัดใจจากเธอแล้วถึงได้ไม่มาให้เห็นหน้าอีก เธอจึงรู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะเจอเขาที่นี่ในเวลานี้ มันทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย
ฉีหย่วนเหิงเห็นหน้าตาตื่นตะลึงของเธอแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ “นี่คุณจะไม่เชิญผมเข้าไปนั่งข้างในหน่อยเหรอครับ?”
คำถามของเขาดึงสติเธอกลับคืนมา เธอรีบผงกศีรษะ “เชิญค่ะ”
ฉีหย่วนเหิงเคยช่วยเหลือเธอเอาไว้หลายครั้ง และนั่นทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธเขาได้
เขาเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูตามหลัง เขาสำรวจห้องพักของเธอชั่วครู่แล้วหันไปมองเธอ “ดูท่าทางช่วงนี้คุณสุขสบายดีนี่”
เธอเปิดตู้เย็นแล้วหยิบน้ำผลไม้ออกมาสองขวด จากนั้นยื่นน้ำผลไม้ให้เขาหนึ่งขวด “ก็เรื่อยๆ ค่ะ แล้วที่ผ่านมาคุณหายไปไหนมาคะ?”
เธอรู้สึกสงสัยมาก ก่อนหน้านี้เธอยังได้ข่าวของเขาอยู่บ่อยๆ เขามักจะติดต่อเธอผ่านสังคมออนไลน์ หรือมาปรากฏตัวให้เธอเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ข่าวคราวของเขาเริ่มเงียบหายไป
ฉีหย่วนเหิงยิ้มน้อยๆ “ช่วงก่อนผมติดธุระนิดหน่อย ทำให้ต้องอยู่ที่ต่างประเทศจนถึงตอนนี้ ก็เลยยังไม่ได้กลับไปสักที”
เขาเอ่ยเพียงคร่าวๆ ราวไม่อยากเล่ารายละเอียดมากนัก เธอเองก็ไม่อยากจะซักไซ้ไล่เลียงจึงพยักหน้าน้อยๆ “อ้อ อย่างนี้นี่เอง”
บทสนทนาที่ฟังดูไม่ลื่นไหลทำให้ทั้งสองตกอยู่ในบรรยากาศน่าอึดอัด
ในที่สุดฉีหย่วนเหิงก็เป็นคนเอ่ยทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดเสีย “คุณมาที่นี่คนเดียวเหรอ? แล้วเขาล่ะ?”
เธอส่ายศีรษะน้อยๆ “ตอนแรกเขาจะมาพร้อมฉันนี่แหละ แต่พอดีติดธุระนิดหน่อยก็เลยทำให้เขาต้องเดินทางล่าช้า เขาน่าจะมาได้อีกทีวันนี้พรุ่งนี้น่ะ”
เขาหัวเราะเบาๆ แล้วดื่มน้ำผลไม้อึกหนึ่ง “อย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของเขาฟังดูแปลกเล็กน้อย
เธอมองเขาแวบหนึ่งเพราะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูแปลกๆ หากแต่ไม่ได้เอามาใส่ใจมากนัก ไหนๆ เขากับจิ้นหยวนก็ไม่ถูกกันสักเท่าไหร่ หากเขาจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกๆ ไปบ้างก็คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร จริงไหม
ฉีหย่วนเหิงมองดูท่าทางเชื่อมั่นในตัวจิ้นหยวนอย่างเต็มเปี่ยมของเธอแล้วได้แต่แอบลอบถอนหายใจอยู่ในอก เขาเอ่ยหยั่งเชิง “คุณคิดว่าเขามาไม่ได้เพราะติดธุระจริงๆ อย่างนั้นเหรอ?”
เธอหน้าถอดสีทันที “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ?”
เขาหัวเราะๆ เบาๆ อย่างไม่บ่งเจตนา “ถ้าคุณว่างๆ ก็ลองอ่านข่าวดู ไม่แน่นะ บางทีคุณอาจจะได้รู้ในสิ่งที่คุณยังไม่รู้ก็ได้”
ใบหน้าของเธอเริ่มซีด ไม่อยากจะเชื่อคำพูดแฝงนัยยะของเขา “คุณพูดจาเหลวไหล”
ฉีหย่วนเหิงหัวเราะพลางลุกขึ้นยืน “ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แค่อยากให้คุณเปิดหูเปิดตาเอาไว้บ้าง อย่าให้ตัวเองถูกคำพูดสวยหรูของผู้ชายหลอกเอาไว้”
เขาเอ่ยจบพลางหมุนตัวจะเดินออกจากห้อง ส่วนเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมพลางกัดริมฝีปากล่างแน่น ในใจเริ่มหวาดหวั่น
เขาจับมือจับประตูเอาไว้แล้วหันหน้ากลับไปหาเธอราวเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของผม ต่อไปอาจจะเป็นประโยชน์กับคุณก็ได้” เอ่ยจบแล้วบอกเบอร์โทรศัพท์ยาวเป็นพรวนให้เธอรู้ จากนั้นเปิดประตูออก แต่เขาก็ต้องชะงักเล็กน้อย
สวี่จิ้งที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องและกำลังยกมือขึ้นเตรียมจะเคาะประตูเห็นฉีหย่วนเหิงเปิดประตูออกมาพอดี เขามองฉีหย่วนเหิงด้วยสายตาระแวง “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่?”
สวี่จิ้งเอ่ยถามฉีหย่วนเหิงพลางส่งสายตามองเฉียวซือมู่ด้วยความกังวล ฉีหย่วนเหิงเห็นสีหน้าของสวี่จิ้งแล้วยิ้มเยาะในใจ เขารู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเฉียวซือมู่ น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจึงไม่สู้ดีนัก “ฉันก็มาเยี่ยมเพื่อนเก่านะสิ ทำไม ฉันมาเยี่ยมเพื่อนไม่ได้หรือไง?”
สวี่จิ้งสีหน้าเย็นชา “ไม่ใช่ไม่ได้หรอกครับ แต่ผมแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าอยู่ดีๆ ประธานฉีผู้โด่งดังจะมาเยี่ยมเพื่อนที่ไม่สนิทโดยไม่มีสาเหตุก็เท่านั้น”
ฉีหย่วนเหิงมองสวี่จิ้งนิ่งด้วยแววตาลึกล้ำ “นายพูดถูก ฉันไม่ได้มาเยี่ยมเธอโดยไม่มีสาเหตุ ฉันมีเหตุผลที่มาเยี่ยมเธอ และเชื่อว่าพวกนายคงไม่อยากเห็นฉันมาเยี่ยมเธอด้วย จริงไหม?”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของสวี่จิ้งกระตุกอย่างแรง “คุณพูดอะไรกับเธอ?”
ฉีหย่วนเหิงยิ้มหน้าซื่อตาใส “แล้วนายอยากให้ฉันบอกอะไรเธอล่ะ?”
ท่าทางของฉีหย่วนเหิงดูผ่อนคลายมาก ตรงกันข้าม ท่าทางของสวี่จิ้งกลับดูตึงเครียดมาก สวี่จิ้งจ้องฉีหย่วนเหิงนิ่ง “หวังว่าคุณไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น…”
“ไม่อย่างนั้นพี่ใหญ่ของพวกนายจะบีบฉันให้ไปไกลๆ อีกอย่างนั้นเหรอ? นายคิดว่าวิธีเดิมๆ ยังจะใช้ได้ผลอีกเป็นครั้งที่สองอย่างนั้นเหรอ?” ฉีหย่วนเหิงยิ้มเยาะพลางเอ่ยแทรกคำพูดของสวี่จิ้ง “นายเอาเวลาที่มัวแต่มากังวลเรื่องของฉันไปคิดให้ดีๆ ว่าควรจะปลอบใจคนที่อยู่ในห้องยังไงน่าจะดีกว่านะ”
ฉีหย่วนเหิงเอ่ยจบแล้วสาวเท้าเดินผละจากไป เขาเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวพลันชะงักฝีเท้า “ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเธอเดาออกเองมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
ฉีหย่วนเหิงเอ่ยจบแล้วก้าวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
สวี่จิ้งยืนมองฉีหย่วนเหิงเดินจากไปจนลับสายตาอย่างเงียบๆ จากนั้นเบนสายตาหันไปมองเฉียวซือมู่ในห้องที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คตรงหน้า
เฉียวซือมู่นั่งอยู่บนเตียง เธอวางคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเอาไว้บนตัก ดวงตาคู่โตกำลังจับจ้องอยู่บนหน้าจอไม่วางตาราวไม่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
ไม่รู้เพราะอะไร เขาเห็นสภาพเธอในยามนี้แล้วถึงกับแอบทอดถอนใจอยู่ในอกอย่างช่วยไม่ได้ เขาค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ “คุณไม่ต้องคิดมากนะ ฉีหย่วนเหิงมีเจตนาไม่ดี เดี๋ยวพี่ใหญ่ก็ตามมาแล้ว”
ตระกูลจิ้นปิดข่าวทุกช่องทาง และจะต้องไม่มีข่าวนี้ปรากฏในอินเทอร์เน็ตอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ต่อให้เขาไม่ได้เห็นหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเธอ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอคงไม่เจออะไรในนั้นแน่
เขารู้สึกนับถือพี่ใหญ่มากที่ละเอียดรอบคอบมากถึงขนาดควบคุมข่าวสารในอินเทอร์เน็ตเอาไว้ได้
แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายออกไปคงสร้างความเจ็บปวดให้แก่ทุกฝ่าย สู้ปกปิดเรื่องทั้งหมดเอาไว้แบบนี้ เธอจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรเลยน่าจะเป็นการดีที่สุด
เฉียวซือมู่จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ตามปกติ ตามหน้าเว็บไซต์ข่าวต่างๆ ไม่ปรากฏข่าวที่เธอกำลังเป็นกังวลแม้แต่ข่าวเดียว ความจริงเธอควรจะรู้สึกโล่งอก แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ส่วนลึกสุดในจิตใจเธอถึงได้รู้สึกไม่สบายใจมาก ราวกับว่าเธอพลาดอะไรไปสักอย่าง
แล้วมันคืออะไรล่ะ?
เธอมุ่นหัวคิ้วอย่างใช้ความคิด แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกเสียที
สวี่จิ้งมองดูท่าทางของเธอแล้วเอ่ยขึ้นเนิบนาบ “ฉีหย่วนเหิงมีเจตนาไม่ดี เขากำลังพยายามพูดจาให้คุณไขว้เขว คุณไม่ต้องคิดมาก พรุ่งนี้พี่ใหญ่ก็ตามมาแล้ว”
เฉียวซือมู่ฝืนยิ้ม “ค่ะ แต่ฉันนอนบนเครื่องเยอะแล้ว ตอนนี้เลยนอนไม่หลับ ฉันอยากจะเล่นคอมอีกแป๊บแล้วค่อยเข้านอนน่ะ”
สวี่จิ้งพินิจพิเคราะห์สีหน้าของเธออย่างละเอียดแล้วไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป
เธอเป็นผู้หญิงของพี่ใหญ่ เขาไม่ควรอยู่ในห้องตามลำพังกับเธอนานเกินไป
แต่ต่อมาเขาต้องรู้สึกเสียใจภายหลังที่ตัวเองตัดสินใจแบบนั้น ถ้าตอนนนั้นเขาอยู่เป็นเพื่อนเธอนานกว่านี้อีกเพียงแค่สิบนาที บางที เรื่องราวทุกอย่างอาจจะเป็นไปในทิศทางที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปก็ได้
แต่ในโลกนี้ไม่มียารักษาโรคเสียใจภายหลัง วันเวลาไม่มีวันไหลย้อนกลับเช่นกัน
เฉียวซือมู่มองแผ่นหลังของสวี่จิ้งที่ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา เธอนึกถึงใบหน้าที่พยายามปกปิดความกังวลเอาไว้หากแต่ปิดไม่มิดของเขาแล้วรู้สึกไม่สบายใจหนักยิ่งขึ้น
เธอมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องมีเรื่องปิดบังเธอเอาไว้แน่ แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ?