ตอนที่ 112 ช่างเหนื่อยเหลือเกิน มีหนอนตามก้นเยอะเกินไปแล้ว (1)
เวลานี้แล้วยังจะคิดถึงหุบเขานั่นอีก ยังอยากจะใช้หุบเขามาข่มขู่นาง? ถงเหล่าผู้นี้แก่จนเลอะเลือนไปแล้วหรือ นอนกอดหุบเขาของตนเองไปเถอะ นาง…ไม่…เอา…แล้ว!
มั่วเชียนเสวี่ยหันหลัง ไม่อยากจะแยกแยะเหตุผลกับคนแก่ที่ไม่มีความเข้าใจ หากวันข้างหน้าถงจื่อจิ้งเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ นางก็ไม่ทุกข์ใจตลอดชีวิตแล้ว… แค้นใจ ทำได้แค่แค้นใจ ที่เขามีบิดาหัวดื้อเช่นนี้
พ่อบ้านถงเห็นว่าเรื่องใกล้จะจบเห่ เงยหน้าขึ้นด้วยความกระวนกระวาย “หนิงเหนียงจื่อช้าก่อน คุณชายหนิงโปรดอภัย…”
“นายท่าน ข้าน้อยคิดว่าเรือนแห่งนี้อากาศถ่ายเทดียิ่งนัก เหมาะกับสุขภาพร่างกายของคุณชาย ไม่แน่มาที่นี่อาจจะทำให้คุณชายหายป่วยเร็วขึ้นก็ได้ขอรับ…”
เขาร้องไห้อ้อนวอนนายของตน พร้อมกับมองไปทางมั่วเชียนเสวี่ย ชมเรือนหลังนี้ เพื่อจะแก้ไขสถานการณ์
น่าสงสารเหลือเกิน เขาเองก็เป็นชายชราอายุหกสิบกว่าแล้ว คุกเข่าอยู่บนพื้นอ้อนวอนไปอ้อนวอนมา
พ่อบ้านถง แม้จะเป็นบ่าวรับใช้ แต่ก็เป็นขุนนางลำดับที่สามในสำนักอัครมหาเสนาบดี แม้ตระกูลถงจะไม่ได้เป็นอัครมหาเสนาบดี แต่ก็เป็นตระกูลลำดับที่หนึ่งที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นแต่งตั้งให้ ตำแหน่งสูงยิ่งกว่าอัครมหาเสนาบดีเสียอีก ฉะนั้นตำแหน่งของพ่อบ้านถง แค่คิดก็รู้แล้วสูงเพียงไหน
มั่วเชียนเสวี่ยใจแข็ง ไม่โอนอ่อนแม้แต่น้อย
ท่านผู้เฒ่าถงเห็นพ่อบ้านทำเช่นนี้เพื่อตน ร่วมกับนึกถึงจื่อจิ้งผู้เป็นบุตรชาย ดวงตาแดงก่ำ “เมื่อครู่ข้าไม่ควรพูดเช่นนั้น หุบเขาข้ายกให้แล้ว ขอฝากฝังทั้งสองดูแลบุตรชายแทนด้วย”
กล่าวจบ เบือนหน้าไป
เขาต้องการเอาชนะมาทั้งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่ยอมก้มหัวให้ผู้อื่น ทั้งยังก้มหัวให้กับคนหนุ่มสาวที่เกิดทีหลัง
พอเห็นท่านผู้เฒ่าถงตกลง มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากเสวนากับเขามากความ ลากหนิงเซ่าชิงเดินออกไปด้านนอก พบว่ามีรถม้าจอดรออยู่ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเกวียนของนาง ถูกหนิงเซ่าชิงทำลายแล้ว
มองค้อนไปที่หนิงเซ่าชิง
หนิงเซ่าชิงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแววตาของนางที่มองค้อนมา ตะคอกสารถีคนนั้น “ไสหัวไป!”
สารถีกำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าเห็นพ่อบ้านที่เดินออกมาด้วยความรีบร้อนโบกมือและส่งสายตาให้ จึงรีบกระโดดลงมา
หนิงเซ่าชิงพยุงมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นไปบนรถม้า อาซานกระโดดขึ้น แล้วขับรถม้า
ท่านผู้เฒ่าถงเพิ่งเดินออกมาจากโถงด้านใน เห็นรถม้าถูกหนิงเซ่าชิงขับไปแล้ว ไม่แม้แต่จะบอกกล่าว โมโหยิ่งนัก เตะสารถีหนึ่งที “เจ้าคนไร้ประโยชน์”
สารถีกำลังจะอธิบาย ทว่ากลับถูกพ่อบ้านมองค้อน คุกเข่าลงไป ก้มหน้ายอมรับการลงโทษ
ตอนที่มั่วเชียนเสวี่ยมาถึงเรือนเล็กของถงจื่อจิ้ง ด้านในเงียบสงบ
นางตกตะลึง!
รักษามาถึงขั้นนี้ นางไม่กลัวเขาอาละวาด แต่กลัวว่าเขาจะไม่อาละวาดอีก หากตอนนี้ถงจื่อจิ้งไม่อาละวาดแล้ว ปิดกั้นตนเองอีกครั้ง เช่นนั้นความพยายามก่อนหน้านี้ของนางก็สูญเปล่า
เป็นจริงตามนั้น…
มองจากนอกหน้าต่าง ถงจื่อจิ้งนั่งเหม่อลอย รูม่านตาขยายออกเล็กน้อย ตาปรือ ทั้งยังมีความบ้าคลั่ง
นับตั้งแต่วันแรกหลังจากถงจื่อจิ้งเปิดใจ ความขุ่นมัวในแววตาของเขาหายไป แม้แววจะไม่แหลมคม ทว่าเปล่งประกายยิ่งนัก
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยหนักอึ้ง รีบเดินไปที่ประตู
บ่าวรับใช้ที่คอยดูแลเงยหน้าขึ้นเห็นว่าคนที่มาคือมั่วเชียนเสวี่ย ดีใจอย่างมาก พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณชาย คุณชาย หนิงเหนียงจื่อมาแล้วขอรับ”
“หลอกลวงๆ เป็นคนหลอกลวงกันหมด” ถงจื่อจิ้งไม่ขยับ เสียงของเขาบ้าคลั่ง
“จื่อจิ้ง” มั่วเชียนเสวี่ยไม่มั่นใจว่าถงจื่อจิ้งจะสนใจนางหรือไม่ พูดหยั่งเชิง “พี่เชียนเสวี่ยมาแล้ว”
ถงจื่อจิ้งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จึงเงยหน้าขึ้น เห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามาจริงๆ รูม่านตาขยายกว้างทันที เวลานี้ เรือนร่างของมั่วเชียนเสวี่ยคล้ายคลุมด้วยแสงสนธยา ทอประกายเข้าไปในดวงตาของถงจื่อจิ้ง
เขาร้องไห้ รีบลุกขึ้น กางแขนออก แล้วพุ่งตัวไป
หนิงเซ่าชิงเดินตามหลังมั่วเชียนเสวี่ย เห็นเช่นนี้ ขมวดคิ้วเป็นปม เดินไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง
เพียงชั่วพริบตา ยืนอยู่ด้านหน้ามั่วเชียนเสวี่ย
หลังจากถงจื่อจิ้งกอด เงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ แต่กลับพบว่าคนที่ตนกอดกลับเป็นบุรุษที่ไม่รู้จัก
เขาคิดว่าตนตาฝาด จึงรีบขยี้ตา
รอบตัวของหนิงเซ่าชิงกลับเต็มไปด้วยความเยือกเย็น หรือว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาก็กอดกันเช่นนี้?
หันกลับไปมองมั่วเชียนเสวี่ย สบตากับแววตาอ้อนวอนของนาง
เขาใจอ่อน ทำเสียงฮึดฮัด มองค้อนกลับไป นัยน์ตาสื่อว่ากลับไปค่อยคิดบัญชีกับเจ้า
ในเมื่อเขามาแล้ว ก็ไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็เห็นความผิดปกติของถงจื่อจิ้งแล้ว
พูดถึงถงจื่อจิ้ง หลังจากขยี้ตา เห็นมั่วเชียนเสวี่ยยืนอยู่ด้านหลังคนที่ตนกอดมองตนด้วยแววตาอ่อนโยน เขายิ้มแก้มปริทันที พอปล่อยมือ ถงจื่อจิ้งขยับหนีหนิงเซ่าชิงไปด้านข้าง คล้ายกับว่าหนิงเซ่าชิงเป็นสิ่งขวางหูขวางตาอย่างไรอย่างนั้น
แววตาของหนิงเซ่าชิงราวกับดาบแหลมคม ความเกลียดชังนั้น หากไม่ใช่เพราะมั่วเชียนเสวี่ยจับมือขอร้องเขาตลอดเวลา หากไม่ใช่เพราะตอนนี้ถงจื่อจิ้งกำลังป่วย เขาคงเด็ดหัวที่มีตาหามีแววไม่นั้นลงตั้งนานแล้ว
“พี่เชียนเสวี่ย พวกเขาหลอกลวงจื่อจิ้งขอรับ พูดแต่เช้าว่าหลังจากนี้พี่เชียนเสวี่ยจะไม่มาแล้ว จื่อจิ้งกลัวมากขอรับ!” เขากลัวจริงๆ มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนนำพาช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตมาให้เขา เขากลัวต้องอยู่ลำพัง กลัวมั่วเชียนเสวี่ยจะไม่อีก กลัวว่านับจากนี้คนๆ นั้นจะไม่ให้เขาออกจากเรือน…
อาอู่พูดเช่นนี้? นางบอกชัดว่าสองวันนี้มีธุระมาไม่ได้ เคยพูดเมื่อใดว่าหลังจากนี้จะไม่มาอีก มั่วเชียนเสวี่ยหรี่ตาลง มองไปที่หนิงเซ่าชิง
หนิงเซ่าชิงกลับทำเหมือนมองไม่เห็น อาอู่พูดเช่นนี้ช่างตรงใจเขาเสียจริง
เพียงแต่…คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะเป็นการยกก้อนหินปาเท้าตนเอง คนที่เจ็บหนักกลับเป็นตัวเองเสียอย่างนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยถอนสายตากลับ คิดว่าหลังจากกลับไป จะต้องโบยตีอาซานและอาอู่ให้เข็ด มิเช่นนั้นนางคงทนไม่ได้ที่พวกเขามักจะต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง หลังจากนั้น ไว้เวลาเหมาะสม จะต้องไปซื้อสาวใช้ที่พอใจด้วยตนเองมาคอยปรนนิบัติสักสองสามคน
“จื่อจิ้ง สองสามวันนี้พี่ยุ่งมาก หาเวลามาไม่ได้จริงๆ ตอนแรกคิดว่าอีกสองสามวันค่อยมาหาเจ้า แต่ได้ยินว่าเจ้าคิดถึงพี่มาก พี่จึงคิดว่าจะรับจื่อจิ้งไปอยู่ที่เรือนพี่สองสามวัน พี่จะได้ไม่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ ทั้งสองแห่ง จื่อจิ้งคิดว่าแบบนี้ดีหรือไม่”
“ดีๆๆ ดีขอรับ!” น้ำตาของถงจื่อจิ้งยังไม่ทันแห้ง ก็ยิ้มแล้วตอบตกลงทันที แต่ตอนตอบตกลง กลับหันไปมองหนิงเซ่าชิงที่อยู่ข้างๆ
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นแววตาของเขาฉายความสงสัย และความหวาดกลัวเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูด “นี่คือพี่เขย คือคนที่สำคัญที่สุดของพี่ พี่เขยเป็นคนดี และชอบเจ้ามากเช่นเดียวกัน”
ได้ยินประโยคแรก สีหน้าของหนิงเซ่าชิงดีขึ้นเล็กน้อย
“พี่เขย?” ถงจื่อจิ้งถามด้วยความสงสัย