เฒ่าประหลาดตะลึงงัน เขาย่อมจะฟังออกอยู่แล้วว่าประโยคนั้นที่ว่าทำเพื่อตระกูลถงนั่นหมายถึงอะไร มันก็แค่เพื่อการสืบสกุลมิใช่หรือ
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกสงสารตาเฒ่าถงผู้นี้ อยากให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของเขามีแต่ความดีงามผาสุข เหลือเพียงบุตรชายชายที่โง่เขลาเท่านั้น
สามสี่ปีมานี้เขาล้วนอยู่ที่เทียนเซียง ครึ่งหนึ่งก็เพื่อดูแลเจี่ยนเหล่าไท่จวิน อีกครึ่งหนึ่งก็เพื่อช่วยเขารักษาเด็กโง่คนนี้
“ข้ามองเจ้าผิดไป!” เฒ่าประหลาดถอยหลังไปสามก้าว “ข้ามองเจ้าผิดไปแล้ว ได้แต่หวังว่าข้าจะไม่เคยรู้จักกับเจ้ามาก่อน เจ้านี่มันน่ากลัวจริงๆ…”
ไม่มีตัวเสริมประสิทธิภาพของยา แล้วเขาจะรักษาหนิงเซ่าชิงได้อย่างไร
เฒ่าประหลาดถอยหลังไปสองสามเก้า พลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาเล็กน้อย “ตามที่เจ้าขอ พรุ่งนี้ข้าจะไปจากเทียนเซียง และข้ากับเจ้าจะไม่ใช่สหายกันอีกต่อไป หากมีวันใดที่เจ้าป่วย ข้าจะมาเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายแน่นอน”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ เฒ่าประหลาดก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
ท่านผู้เฒ่าถงพอเห็นเฒ่าประหลาดจากไปแล้ว จากนั้นก็ทอดถอนใจ กลับไปที่ห้องตำรา เขาเชื่อว่า ต้องมีสักวัน ที่จิ้งเอ๋อร์ของเขาจะต้องเข้าใจความยากลำบากใจของตนเอง
เป็นเวลานาน ก็มีคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลังต้นไม้
ถงจื่อจิ้งกำหมัดไว้แน่น ตัวสั่นไปทั้งตัว เพราะอะไร
เพราะเหตุใดเขาถึงได้คิดว่าตนเองถูกต้องอยู่ตลอดเวลา
เพราะเหตุใดเขาถึงต้องการทำร้ายคนผู้นั้นซึ่งสำคัญที่สุดในใจของเขาด้วย
เพราะเหตุใดพอเขาทำเรื่องที่ผิดแล้ว กลับอ้างว่าทำเพื่อตนเองอยู่เสมอ
หรือว่าสำหรับเขาแล้วตนเองจะเป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยในการสืบสกุลเท่านั้น
หากครั้งนั้นปล่อยให้เขาทำแผนชั่วสำเร็จ ปล่อยให้สตรีชั้นต่ำผู้นั้นที่เขาจัดไว้ให้ตั้งท้อง เขาจะลงมือสังหารบุตรชายคนนี้ที่ทำให้เขาอับอายขายหน้าหรือไม่!
นึกถึงสตรีชั้นต่ำผู้นั้นที่ถอดเสื้อผ้าชั้นนอกแล้วมานั่งที่บนตัวเขา ภาพที่ดึงเสื้อผ้าของเขาออกนั้น ทำให้ถงจื่อจิ้งอาเจียนออกมาด้วยความรังเกียจ
นี่คือความอัปยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา ทั้งยังเป็นความเจ็บปวดที่สุดจะทานทนได้ในชีวิตของเขาอีกด้วย
หลังจากอาเจียนออกมาในขณะที่ท้องว่าง ถงจื่อจิ้งก็กัดริมฝีปาก กำหมัดแล้วทุบไปที่ต้นไม้ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งทั้งกำปั้นทั้งสองโชกเลือด ถงจื่อจิ้งถึงจะคลายกำปั้นนั่นลง
ความจริงแล้ว สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเหาะไปหมู่บ้านหวังจยา ไปยืนอยู่ด้านหลังของมั่วเชียนเสวี่ย ปลอบโยนนาง ทว่าเขามิอาจทำได้ หากเข้าใกล้นางอีก เกรงว่าจะพาภัยพิบัติไปสู่นางอีกครั้ง
สิ่งที่เขาควรทำมากที่สุดก็คือ ไปตามหาดอกไม้ประหลาดหายากแบบนี้มาให้พี่เขยใช้แก้พิษ ทว่า ในตอนนี้เขาไม่มีความแข็งแกร่งเช่นนั้นอีกแล้ว
อาจารย์จี้กล่าวได้ถูกต้อง หากต้องการปกป้องคนที่ตัวเองอยากจะปกป้อง เขาจะต้องขยัน รีบรับช่วงต่อกิจการของครอบครัว เป็นผู้ดูแลตระกูลถงต่อ
คนที่เขาอยากจะปกป้องมีเพียงคนเดียว คนผู้นั้นก็คือมั่วเชียนเสวี่ย แม้ว่าอายุของนางจะน้อยกว่าเขา ทว่าในใจของเขา นางก็คือพี่สาว คือท่านแม่ คือญาติของเขาเพียงคนเดียว คือ…ครอบครัว!
เพียงมีสกุลหนิงอยู่ในหมู่บ้านหวังจยา เขาถึงจะอยู่ได้อย่างไร้กังวล
เขาถึงจะกล้าหัวเราะ กล้าปล่อยให้จมูกได้สูดดมอากาศที่บริสุทธิ์
ระหว่างที่กลับมาที่ลานเล็ก ถงจื่อจิ้งได้เรียกตัวถงจั่นออกมา และออกคำสั่ง “ไปหมู่บ้านหวังจยาแล้วบอกท่านพี่ว่า หมอประหลาดกลับมาแล้ว และได้ไปที่ตระกูลเจี่ยนที่เทียนเซียงแล้ว พรุ่งนี้เขาจะออกจากเขตเทียนเซียงไป” สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงเท่านี้
เฒ่าประหลาดผู้นี้ไปหาเขาอยู่หลายครั้ง สามสี่ปีมานี้ใช้เวลาอยู่กับเขามากกว่าคนผู้นั้นมากมายนัก
เขาคิดว่าตนเองโง่ และมักจะพูดพึมพำกับตนเอง
ดังนั้น ถงจื่อจิ้งก็ย่อมจะรู้อยู่แล้ว เขาบอกว่าพรุ่งนี้ออกจากเทียนเซียง วันนี้ต้องไปลาเจี่ยนเหล่าไท่จวินที่ตระกูลเจี่ยนเป็นแน่
จะว่าอากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิเปลี่ยนไปก็เปลี่ยนไป คนในลานบ้านเห็นเจ้านายกลับมาต่างก็มองหน้ากันแล้วมองไปโดยรอบ ด้านนอกบ้านมีเมฆดำปกคลุมอย่างหนาแน่น ทั้งยังมีเสียงฟ้าร้อง จากนั้นฝนก็ตกลงมา
เทียนเล่มใหญ่ส่องสว่างอยู่ในห้อง
ชูอีสั่งหมิงหมิงเย่ว์ให้ไปเอาน้ำร้อนเข้ามาจากนั้นก็ให้ไปปิดประตู และเริ่มตรวจดูบาดแผลให้มั่วเชียนเสวี่ย
สืออู่ถือยารักษาบาดแผลเข้ามาที่ด้านข้าง นางปาดน้ำตาไปพลาง ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยไปพลาง
ชูอีเฉือนเสื้อผ้าออกด้วยมีดสั้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คือสีแดงสด สืออู่ทนดูไม่ได้ เพียงแค่ช่วยถือเชิงเทียนส่องสว่างไปที่บาดแผลเท่านั้น แล้วจึงเอียงหน้าไปถามข้างๆ “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง”
ชูอีทำความสะอาดคราบเลือดอย่างระมัดระวัง พบว่าบาดแผลนั้น เป็นเพียงเส้นบางๆ ยาวครึ่งนิ้ว ไม่โดนจุดสำสำคัญอะไร อีกทั้งเลือดยังไม่ไหลออกมาเพิ่มอีก นางคลายความวิตกกังวลไปได้เล็กน้อย ทว่าสีหน้ายังคงเคร่งเครียด จึงใช้นิ้วสัมผัสดูปฏิกิริยาของหลอดเลือดแดงตรงจุดที่ได้รับบาดเจ็บ
ผู้ที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์มา มีความรู้เกี่ยวกับบาดแผลอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แม้จะสัมผัสได้ถึงความอ่อนแรงของหลอดเลือดแดง แต่ก็ยังดีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ ดังนั้นจึงถอนหายใจยาวพลางกล่าวกับชูอีที่ยืนกระวนกระวายใจอยู่ด้านข้าง
“โชดดีที่ พอกูเหยียเห็นคุณหนูพุ่งเข้าไป ก็ได้เอียงดาบ ทั้งยังดึงเอาพลังทั้งหมดกลับมา จึงทำให้แทงไม่โดนจุดสำคัญ คุณหนูได้รับบาดเจ็บเพียงชั้นผิวหนังเท่านั้น และกูเหยียก็ได้ทำการรักษาแบบเร่งด่วนให้ ในเวลานั้นก็หยุดเลือดได้แล้ว พักรักษาร่างกายสองสามวันก็น่าจะหายดี”
สืออู่วางใจลงเล็กน้อย “เช่นนั้นเหตุใดในตอนนั้นคุณหนูถึงได้เจ็บปวดจนหมดสติไปเล่า”
ชูอีเงียบไปครู่หนึ่ง ในใจก็คิดว่าคุณหนูคงจะตกใจจนหมดสติไป จึงกล่าวออกไปอย่างแผ่วเบา “น่าจะเป็นเพราะ…ร่างกายของคุณหนูอ่อนแอ ไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน ดังนั้นจึงทำให้นางไวต่อความเจ็บปวด”
ชูอีไม่ได้เดาผิดเลยจริงๆ มั่วเชียนเสวี่ยตกใจถึงขีดสุดจึงทำให้นางหมดสติไป
นางเพียงรู้สึกเจ็บที่หน้าอก และคิดว่าดาบแทงทะลุไปที่หัวใจ ทั้งยังเห็นว่าชั่วพริบตาเดียวก็มีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก รู้สึกเจ็บปวดที่อกมากขึ้นเรื่อยๆ พลางนึกถึงความล้าหลังของวิชาการแพทย์ในยุคสมัยนี้ การที่ดาบแทงทะลุหัวใจ จะต้องหมดหนทางรักษาอย่างแน่นอน ทั้งวิตกกังวลทั้งหวาดกลัว ดังนั้นจึงหมดสติไป
สืออู่ไม่ได้คิดมากเฉกเช่นที่ชูอีคิด จึงกล่าวต่อ “อืม ก็เป็นเพราะคุณหนูเป็นผู้ดีร่างกายบอบบางอ่อนแอ เคยได้รับบาดเจ็บอย่างนี้เสียที่ไหน”
“เรื่องบาดแผลไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร รักษาไม่กี่วันก็หาย…” ชูอีรู้สึกหนักใจเล็กน้อย “แต่ว่า…พวกเราไม่มียารักษาดีๆ อยู่ในมือ เกรงว่ามันจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้…”
คุณหนูตระกูลผู้สูงส่งตระกูลไหนๆ ก็ล้วนมีผิวพรรณเรียบเนียนผุดผ่อง หากมีรอยแผลเป็นจริงๆ ต่อไปหากกูเหยียหมางเมินจะทำอย่างไร
“ไม่มีปัญหา” พอสืออู่ได้ยินว่าคุณหนูไม่เป็นอะไร ก็ได้ยิ้มทั้งน้ำตา วางเชิงเทียนไว้บนโต๊ะด้านข้าง หยิบขวดเล็กๆ ออกมาจากอกพลางกล่าว “ใช้สิ่งนี้สิ”
“ยาหนิงปี้? เจ้าพกสิ่งนี้ติดตัวไว้ตลอดเลยหรือ” ชูอีรับขวดนั้นมา มองแวบเดียวก็จำได้ในทันที
ยาหนิงปี้นี้คือเครื่องบรรณาการ มีเพียงขวดเดียวในเทียนฉี เป็นสิ่งที่ฮูหยินเหลือไว้ให้ ใช้รักษาบาดแผลได้ดีที่สุด หลังจากทาแล้วไม่เพียงแต่ทำให้บาดแผลหายได้เร็วเท่านั้น แต่เมื่อบาดแผลหายดีแล้วก็จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ด้วย
“อืม ฮูหยินบอกว่ากลัวคุณหนูจะเดินชนกับอะไรเข้าแล้วเกิดรอยแผลเป็นจะดูไม่งาม ดังนั้นในตอนที่ออกมา ข้าก็ได้พกมันติดตัวออกมาด้วย
จะว่านางเป็นคนสะเพร่า แต่อันที่จริงในบางครั้งนางนั้นมีความละเอียดรอบคอบกว่าใครๆ
เมื่อรักษาบาดแผลให้มั่วเชียนเสวี่ยเสร็จแล้ว สาวใช้ทั้งสองก็ได้ถอดชุดที่ขาดของนางออกมา เตรียมเช็ดตัวนางด้วยน้ำร้อน
เมื่อเช็ดไปถึงจุดพรหมจรรย์แดงที่แขน มือของชุอีก็ชะงักไปเล็กน้อย มองดูใบหน้าที่ไร้เดียงสาของสืออู่ที่ถือเชิงเทียนอยู่ที่ด้านข้าง แต่ก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรดีกว่า
นางยิ่งไม่เข้าใจการกระทำของคุณหนูมากขึ้นเรื่อยๆ
ตามที่รู้มาคือคุณหนูกับกูเหยียก็แต่งงานกันมาครึ่งปีแล้ว ร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกคืน จะยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ได้อย่างไร…