เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 189 พังประตูเพื่อทำตามสัญญาและก็ทำเพื่อเขาด้วย (3)

ทว่า ความจริงก็ได้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าแล้ว จะไม่เชื่อก็ไม่ได้

เป็นเพราะคุณหนูไม่ยินยอม หรือว่ายังต้องการกลับไปหาคุณชายเฉินกันนะ

เพียงนึกถึงแววตาที่คุณหนูมองไปที่กูเหยียในทุกๆ ครั้งนั้น นางเองก็ได้แต่ส่ายหัว

จิตใจที่ผูกพันธ์กันของทั้งสอง มันมาจากก้นบึ้งของหัวใจ มิเคยซ่อนเร้นแม้แต่น้อย กูเหยียดีกับคุณหนูอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่

ทว่า ในสมองของนางยังคงจดจำได้ที่คุณหนูเพิ่งจะรับดาบแทนคุณชายเฉินอย่างไม่ลังเล พอนึกถึงความสัมพันธ์ในอดีตของคุณหนูกับคุณชายเฉินในทุกๆ ด้านแล้ว นางก็สับสนอีกครั้ง

“สืออู่ ระหว่างกูเหยียกับคุณชายเฉิน เจ้าว่าคนไหนจะคู่ควรกับคุณหนูมากกว่ากัน”

“ย่อมจะเป็นกูเหยียอยู่แล้วสิ คุณหนูแต่งกับเขาแล้ว ชูอีสมองของเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ปกติก็เห็นเจ้าเฉลียวฉลาดดีนี่”

ชูอีเหลือบมองนางเล็กน้อย พลางต่อว่าตนเองในใจที่คิดฟุ้งซ่าน ถามคำถามนี้กับสืออู่ไม่ถือว่าถามเปล่า คุณหนูชอบใครนางก็ย่อมจะต้องชอบคนผู้นั้นด้วย

นางสงบปากสงบคำแต่งตัวให้มั่วเชียนเสวี่ย หลังจากห่มผ้าห่มให้แล้ว ก็ให้สืออู่ออกไปดูว่ากูเหยียเป็นอย่างไรบ้าง

เฟิงอวี้เฉินถอยกลับมาที่ป่าท้อด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง

เมื่อก่อนล้วนเป็นเขาที่ปกป้องนาง ตั้งแต่ตอนยังเล็กๆ เขาเคยให้คำมั่นสัญญากับนางว่า จะปกป้องดูแลนางไปชั่วชีวิต

แต่ครั้งนี้ นางกลับรับดาบแทนเขา

ไม่รู้ว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นจะโมโหนางหรือไม่ และไม่รู้…

เขาในตอนนี้ สับสนวุ่นวายใจเป็นอย่างมาก!

เฟิงอวี้เฉินถูกองครักษ์ทั้งสิบหกคนช่วยพยุงเข้าไปในป่าท้อ พวกเขาได้รับสัญญาณให้ถอนกำลังของเจ้านายจึงได้รีบถอยออกมา

เพิ่งเข้ามาในป่าท้อฝนก็ตกหนักพอดี ฝนตกโปรยปรายดังซ่าซ่า

คุณชายยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงของพวกเขา และราวกับสัญญาณที่ให้ถอนกำลังไม่ได้มาจากเขาที่อยู่ที่นี่อย่างไรอย่างนั้น

ก่อนจะออกมาคุณชายก็ยืนมองดูตะวันลับขอบฟ้าอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงความท้อแท้ ร่างนั้นดูผอมมากท่ามกลางสายฝน หลังจากที่เฟิงปัวกับเฟิงล่วนมองหน้ากันทั้งสองคนจึงได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กัน

พวกเขาย่อมจะรู้ว่าคุณชายของพวกเขาคิดอะไรอยู่ในใจ

เฟิงปัวกล่าว “คุณชาย ไม่กี่วันก่อนบ่าวได้ยินมาว่าชายแซ่หนิงผู้นั้นมีชื่อว่าเซ่าชิง ชื่อเหมือนกับหนิงเซ่าชิงคุณชายอันดับหนึ่งที่อยู่ในเมืองหลวงเลยขอรับ ท่านคิดว่า พวกเราควรจะส่งข่าวนี้ให้คุณชายรองตระกูลหนิงรู้ดีหรือไม่ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่หนิงเซ่าชิงผู้นั้นจริงๆ พอคนของตระกูลหนิงมาแล้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาหายใจได้ไม่ทั่วท้องแล้ว…”

เฟิงปัวยังพูดไม่ทันจบ เฟิงอวี้เฉินก็หันกลับมา ใช้ฝ่ามือตบออกไป ทำให้เฟิงปัวล้มลงไปที่พื้น “ข้าไม่ใช่คนที่จิตใจคับแคบเช่นนั้น”

หากเขาทำเช่นนั้นจริง คนแรกที่จะดูแคลนเขาก็คือตัวเขาเอง จิตใจคับแคบเช่นนี้ จะได้ครอบครองความงดงามเช่นนั้นได้อย่างไร

ถึงแม้ต้องการจะต่อสู้ แต่ก็ไม่ควรใช้อุบายที่ไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้

เฟิงปัวคุกเข่า “ขอรับ คุณชาย บ่าวผิดไปแล้ว บ่าวน้อมรับผิดทุกอย่าง”

เฟิงล่วนเห็นว่าเฟิงปัวคุกเข่าอยู่ที่พื้น ก็เลยคุกเข่าเช่นกัน

ในป่าเงียบสงัด มีเพียงฝนที่ตกลงมาซ่าซ่าทำให้กิ่งท้อไหวจนเกิดเสียงดัง

เฟิงอวี้เฉินมิกล่าวสิ่งใด เฟิงปัวและเฟิงล่วนจึงยังคุกเข่าอยู่ที่พื้นไม่กล้าขยับ องครักษ์อีกสิบหกคนก็คงยืนอยู่ที่นั่น ไม่กล้าขยับเช่นกัน

เจ้านายไม่ถอย ไม่หลบฝน พวกเขาที่เป็นบ่าว ก็ได้แต่อยู่เป็นเพื่อน อยู่ใกล้ๆ

เป็นเวลานานกว่าที่เฟิงอวี้เฉินจะโบกมือให้พวกเขาลุกขึ้น แล้วจึงหันกลับไปอีกครั้งพลางหลับตาลง

ในหูของเขาได้ยินเพียงเสียงฝน ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ กาย อยู่ห่างเขาออกไปไกล บนโลกนี้มีเพียงเขาอยู่คนเดียว เขาอยู่ลำพังคนเดียวมาโดยตลอด

กิ่งก้านต้นท้อต้องลมสั่นไหวจนเกิดเสียง และเสียงฟ้าร้องก็ดังจากที่ห่างไกลใกล้เข้ามา

ในโลกที่มืดหม่น เสียงฟ้าร้องดังมาเป็นระยะๆ เสียง ซ่า ของฝนที่ตกหนักทั่วฟ้าดังยิ่งขึ้น ราวกับท้องฟ้าจะถล่มลงมา

ทันใดนั้นร่างของเขาก็เปียกโชกราวกับว่ากำลังอาบน้ำอยู่กลางสายฝน แต่ว่า เขากลับไม่ได้ลืมตาขึ้น แต่กลับยื่นมือออกไปรับหยาดฝนพลางเงยหน้าขึ้น ให้ฝนนั้นชโลมใบหน้า

ฝนนี้มาได้ทันเวลาพอดี ทำให้เขาสมองปลอดโปร่งเป็นอย่างดี!

……

สืออู่เพิ่งจะออกจากประตูไป มั่วเชียนเสวี่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา สิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คือชูอีที่กำลังวิตกกังวลอยู่

ตนเองยังไม่ตายอีกหรือ เช่นนั้นก็ดี หนิงเซ่าชิงเล่า พอนึกถึงสี่คำที่น่าทุกข์ใจนี้ นางกวาดสายตามองไปโดยรอบ ทว่า กลับไม่พบร่างของคนผู้นั้นที่อยู่ในใจนาง

เขา คงไม่ใช่ว่ากำลังโกรธนางอยู่หรอกนะ

ตอนแรกดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยเป็นประกาย จากนั้นกลับดูหดหู่ ชูอีที่อยู่ข้างๆ ย่อมจะมองออก จึงโค้งตัวลงถามเสียงแผ่วเบา “คุณหนูกำลังมองหากูเหยียอยู่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”

มั่วเชียนเสวี่ยหลับตาลง ชูอีจึงกล่าวต่อ “อาจเป็นเพราะกูเหยียเหน็ดเหนื่อยเกินไป จึงได้กลับเข้าไปในห้องตำรา บ่าวให้สืออู่ออกไปดูเขาแล้ว”

“…” เขาอยากจะอยู่ในห้องตำราคนเดียวมากกว่าที่จะอยู่เป็นเพื่อนนางอย่างนั้นหรือ

มั่วเชียนเสวี่ยเบือนหน้าหนี บนใบหน้ามีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่ ชูอีไม่รู้ว่าจะปลอบโยนนางอย่างไรดี ในเวลานี้ที่ประตูได้เปิดออกมา

สืออู่เดินเข้ามาอย่างสบายๆ นางคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ฟื้นขึ้นมา จึงก้าวเข้ามาด้านในพลางกล่าวไปพลาง “ชูอี ข้าเคาะประตูอยู่เป็นเวลานาน กูเหยียก็ไม่ยอมเปิดประตูให้ ไม่พูดอะไรสักคำ จากนั้นก็ให้อาซานมาไล่ข้าออกไป ดูท่าน่าจะโกรธคุณหนูจริงๆ …”

พอเดินมาถึงหัวเตียง ถึงได้เห็นสายตาที่ชูอีส่งมา

ยังไม่ทันรู้ว่าสายตานั้นหมายถึงอะไร ก็หันเหสายตามองไปที่มั่วเชียนเสวี่ยแล้ว นางรู้สึกดีใจมากจนลืมไปว่าเมื่อครู่นี้ได้กล่าวสิ่งใดออกไป “คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว”

มั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังเศร้าใจ ตอบออกไปอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า อืม

ขนาดประตูยังไม่ยอมเปิด นี่คือช่วงเวลาที่ไม่เข้าใจกันอีกแล้วใช่หรือไม่ เฮ้อ…ความจริงแล้ว ในช่วงเวลาที่ตนเองกระวนกระวายใจ รีบพุ่งเข้าไปขวางดาบ แม้ว่าจะทำเพื่อรักษาสัญญาตอบแทนน้ำใจ แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือทำเพื่อเขา

 ก่อนหน้านั้นลึกเข้าไปในใจของตนเองก็ได้วิเคราะห์มาแล้ว เฟิงอวี้เฉินผู้นี้อย่างไรก็มิอาจตายด้วยเงื้อมมือของหนิงเซ่าชิงได้ ในตอนนี้พวกเขามีเรื่องมีราวกัน ทว่าการเกื้อกูลกันย่อมดีกว่าทะเลาะกัน เพิ่มมิตรมาอีกหนึ่งคน ก็เท่ากับลดศัตรูไปหนึ่งคน

ในช่วงวิกฤติเช่นนี้ จะไปทำให้ตระกูลเฟิงให้ขุ่นเคืองใจอีกได้อย่างไร

ตระกูลเฟิงคือตระกูลขุนนางขั้นหนึ่ง เฟิงอวี้เฉินคือบุตรชายคนโตของตระกูล หากเฟิงอวี้เฉินตายด้วยน้ำมือของหนิงเซ่าชิง เช่นนั้นตระกูลเฟิงจะไม่มาจัดการเขาได้เช่นไร

เดิมทีก็มีแม่ลูกมหาภัยคู่นั้นคอยจ้องจะเอาชีวิตเขาอยู่แล้ว หากมีตระกูลเฟิงเพิ่มเข้ามาอีก แถมตอนนี้เขาก็บาดเจ็บเพราะพิษอยู่ด้วย แล้วจะจัดการกับพวกเขาได้เช่นไร

นางยอมรับว่าตนเองหุนหันพลันแล่นไปชั่วขณะ แต่ในตอนนั้นสถานการณ์ขับขันจริงๆ

ถึงแม้เขาจะโมโห ไม่มาเหลียวแล และเฝ้าตนเอง ก็ไม่ต้องขับไล่…เดี๋ยวนะ! ขับไล่? ในช่วงวิกฤติเช่นนี้สืออู่ไปเคาะประตูแต่กลับไม่เปิด ทั้งยังขับไล่นางออกมาอีก นี่…มันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่มีทางโกรธตนเองถึงขนาดนั้น

ไม่ว่าเขาจะโกรธเพียงใด ก็ไม่มีทางทิ้งตนเองไว้โดยไม่เหลียวแลเช่นนี้

อีกอย่าง ถ้าเขาไม่เป็นอะไรจะเรียกอาซานกับอาอู่เข้าไปคอยรับใช้ในห้องตำราด้วยทำไม

นอกเสียจากว่า…พิษของเขาจะกำเริบ!

มั่วเชียนเสวี่ยร่างสั่นสะท้านด้วยความตกใจ ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาแทบจะไหลลงมา จะทำอย่างไรดี

ตัวยาเสริมเพิ่มประสิทธิภาพยายังมาไม่ถึงมือ หมอประหลาดก็ยังไม่กลับมา!

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหนียงจื่อของคุณชายขี้โรคเพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที! ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่ ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?! เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset