มั่วเชียนเสวี่ยใช้กลเม็ด ‘หงส์พยักหน้าสามครั้ง’[1] รินน้ำจากสูงลงต่ำ ตรงกลางคือน้ำที่รินไหล น้ำที่รินลงมาราวกับผ้าไหมขาว พริ้วไหว ทั้งยังคล้ายน้ำตก ซ้อนทับสามชั้น ทำให้ใบชาเคลื่อนไหว ใบชาแผ่นบางเสมือนปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ สมจริงยิ่งนัก
ไอน้ำบนปากถ้วยราวกับหงส์ชูคอผงาดขึ้น
เวลานี้ ในสายตาของเหล่าสตรีชั้นสูง นอกจากถ้วยน้ำชาตรงหน้ามั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ทุกอย่างกลายเป็นตัวประกอบ ผู้คนเป็นตัวประกอบ ดอกไม้เป็นตัวประกอบ แม้แต่แสงแดดก็กลายเป็นตัวประกอบ ทำให้ผู้คนไม่อาจละสายตา
มั่วเชียนเสวี่ยยกมุมปากขึ้น นี่คือภาพที่นางต้องการ อย่าดูแคลนท่วงท่าเล็กน้อยเหล่านี้ ในอดีต นางใช้ความพยายามอย่างเพื่อฝึกท่วงท่าเหล่านี้ ฝึกให้น้ำไม่กระเซ็น สิ้นเปลืองใบชาไปไม่น้อย
ศิลปะการชงชาของราชวงศ์เทียนฉีเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน บรรดาสตรีชั้นสูงจะเคยเห็นกลเม็ดชงชา ‘หงส์พยักหน้าสามครั้ง’ ได้อย่างไร แววตาของทุกคนเปล่งประกาย มีความหลงใหลอยากจะฝึกฝนบ้าง
สีหน้าของชูอีงดงามมากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องจริงที่ว่าคุณหนูคนอื่นชงน้ำชาเป็น แต่นั่นก็แค่ชงชาทั่วไปเท่านั้น ไม่อาจชงชาได้สง่างามคล้ายการร่ายรำ ในเวลาเดียวกันที่ทำให้ผู้คนชื่นชมก็ทำให้ใบชาในถ้วยงดงามเช่นนี้
ดูเหมือนว่า ครึ่งปีกว่าที่ผ่านมานี้พวกนางพลาดหลายอย่างไป ไม่ใช่แค่นิสัยของคุณหนูเท่านั้นที่เปลี่ยนผัน นอกจากนี้คุณหนูของพวกนางก็ยังมีทักษะแปลกๆ เพิ่มมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นภาพวาดหัวโตเหล่านั้น…
สีหน้าขององค์หญิงอวี้เหอไม่แปรเปลี่ยน ทว่าข้อต่อนิ้วมือของนางกลับจับถ้วยน้ำชาแน่น นางกำนัลที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายนางต่างรู้ดี นายหญิงของพวกนางอารมณ์เสียมาก
ไม่มีผู้ใดท้าแข่งขัน
ศิลปะการชงชาเช่นนี้พวกนางไม่เคยแม้แต่จะเห็นมาก่อน แล้วจะท้าแข่งขันให้ตนอับอายเพื่อการใด
สถานการณ์ชุลมุนเล็กน้อย หลังจากรอให้มั่วเชียนเสวี่ยชงน้ำชาเสร็จ ยกน้ำชาขึ้นทำความเคารพองค์หญิงและท่านหญิงคนอื่นๆ ที่มีฐานันดรศักดิ์สูงกว่านาง ก็มีสตรีชั้นสูงเดินเข้ามาให้นางช่วยสอน ถึงขั้นที่ว่ามีสตรีชั้นสูงบางคนชวนนางไปพูดคุยที่จวน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ปฏิเสธ เพียงยิ้มบางๆ เท่านั้น
ชวนหรือไม่ชวนเป็นเรื่องของคนอื่น ไปหรือไม่ไปย่อมเป็นเรื่องของนาง นางมาร่วมงานนี้เพราะอยากมาผูกมิตรอยู่แล้ว การเชื่อมสัมพันธ์มากมายของเทียนฉีล้วนอาศัยฮูหยินเป็นผู้เชื่อมสัมพันธ์
ตอนนี้นางสร้างพื้นฐานให้ดี วันข้างหน้ายามเข้าไปในตระกูลหนิง ย่อมมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
รายการต่อไปคือการดีดพิณ องค์หญิงอวี้เหอที่นั่งอยู่ทางด้านนั้นมองมาทางมั่วเชียนเสวี่ยหลายรอบ นางเคยได้ยินจากเสด็จแม่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยดีดพิณเก่งมาก
ทว่า องค์หญิงอวี้เหอคิดไม่ถึงว่าตนจะคิดผิด เสวี่ยเอ๋อร์ในอดีตเป็นคนขวัญอ่อน ชื่นชอบในการดีดพิณตั้งแต่เล็ก ทั้งยังดีดได้ไพเราะ แต่มั่วเชียนเสวี่ยดีดพิณไม่เป็น
หลังจากสตรีชั้นสูงสี่ห้าคนแข่งขันกัน มีหลายครั้งที่ย่วนอ้ายเวิงจู่อยากจะเอ่ยถึงมั่วเชียนเสวี่ย นางไม่เชื่อว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะปราดเปรื่องทุกด้าน แต่ทุกครั้งที่นางพูด ก็ถูกองค์หญิงอวี้เหอปัดตกเสมอ
องค์หญิงอวี้เหอยังคงใส่ใจอย่างดี ยิ้มแล้วบอกว่าคุณหนูมั่วเหนื่อยมากแล้ว ให้คุณหนูมั่วพักเถอะ
หากมั่วเชียนเสวี่ยได้ตราดอกท้อถึงสามอัน มีชื่อเสียงด้านความสามารถที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่นนั้นนางก็ยากจะอธิบายให้เสด็จแม่ฟัง
ได้ยินว่านางเขียนพู่กันและวาดภาพไม่เก่ง ภายหลังยังมีเรื่องให้ต้องเห็นดีกัน
เจ้าของตราดอกท้อด้านการดีดพิณคือแม่นางผู้สวมชุดสีเขียวมรกต เป็นสตรีที่เรียบร้อยมาก
เจ้าของตราดอกท้อด้านการวางหมากคือวั่นจื่ออิ๋ง เป็นจริงตามคาด คนพูดน้อยย่อมมีความคิดรอบคอบ เมื่อมีความคิดรอบคอบเช่นนั้นย่อมหลักแหลม
การเขียนพู่กันและวาดภาพไม่แบ่งแยก ในงานเลี้ยงดอกท้อ การเขียนพู่กันและวาดภาพทำการแสดงพร้อมกัน ผู้ชนะมักจะไม่ได้มีเพียงคนเดียว หากให้คนคนหนึ่งชนะการเขียนพู่กันและวาดภาพ เช่นนั้นก็จะได้ชื่อเสียงไปอย่างง่ายดาย
การเขียนพู่กันและวาดภาพมีคนสมัครไม่มากมาโดยตลอด เพราะนี่คือการแข่งขันทางความสามารถที่แท้จริง สุดท้ายต้องนำไปให้บัณฑิตในสำนักวิชาการวิจารณ์ หากเคราะห์ร้าย ถูกคนในสำนักวิชาการหาเรื่อง ก็จะกลายเป็นเรื่องขบขัน
สำหรับงานเลี้ยงนี้ ในทุกปีบัณฑิตมากมายในสำนักวิชาการ ต่างรอด้านนอกสวนดอกท้อเพื่อที่จะวิจารณ์สตรีชั้นสูง
แน่นอนว่า บรรดาบัณฑิตก็ไม่กล้าวิจารณ์พร่ำเพรื่อ ดีก็ย่อมบอกว่าดี ไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี มีความยุติธรรมอย่างมาก ทั้งยังเข้มงวดอย่างมาก เพราะสุดท้ายภาพวาดเหล่านี้ จะถูกส่งไปยังสำนักวิชาการ ให้นักเรียนในสำนักวิชาการดู
ดังนั้น ตราดอกท้อสองอันสุดท้ายจึงเป็นตราดอกท้อที่สำคัญที่สุด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอเพียงได้ครอบครองตราดอกท้อทั้งสองอันในเวลาเดียวกัน เช่นนั้นก็จะถูกขนานนามว่าเป็นสตรีอันดับหนึ่งแห่งเทียนฉีผู้มีความรู้และความสามารถ
คนที่เข้าร่วมการแข่งขันมีไม่มาก มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ทันได้ปริปากพูด ก็โดนองค์หญิงอวี้เหอและย่วนอ้ายเวิ่งจู่เรียกชื่อแล้ว
ทั้งสองมองมั่วเชียนเสวี่ยผสมสีด้วยความเงอะงะ หญิงสาวสองคนสบตากันแล้วยิ้ม แม้นางจะได้ตราดอกท้อสองอันแล้วจะเป็นเช่นไร หากการเขียนพู่กันและวาดภาพของนางทำได้ย่ำแย่ เช่นนั้นบรรดาบัณฑิตดูแล้ววิจารณ์โดยไร้ซึ่งความปรานี ก็เพียงพอที่จะให้มั่วเชียนเสวี่ยกลายเป็นตัวตลกของเมืองหลวงตลอดหนึ่งปีแล้ว
แท้จริงแล้ว พวกนางไม่รู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยตั้งใจจะลงแข่งขันรายการนี้แต่แรก
ความสามารถในการวาดภาพของนางแม้จะไม่เยี่ยมยอด แต่ก็ไม่ถึงขั้นเงอะงะ แค่เพียงหยอกล้อสตรีสองคนที่ตาบอดเท่านั้น ขณะเดียวกันสามารถทำให้พวกนางคลายความระมัดระวัง ก็สามารถทำให้พวกนางลดการวางแผนชั่วทำลายภาพวาดของตนก็เท่านั้น
ชูอีอยากจะยกมือขึ้นปิดตา คุณหนูของนางวาดภาพเช่นไรนางย่อมรู้ดี ตั้งแต่เล็กคุณหนูวาดภาพย่ำแย่มาโดยคลอด นี่เป็นเรื่องปกติ
ทว่า หลังจากกลับมาครั้งนี้ ภาพที่คุณหนูวาดล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่เห็นแล้วต้องหัวเราะ หัวใหญ่กว่าตัวสามสี่เท่า หากไม่ใช่สัตว์ประหลาดแล้วจะเป็นตัวอะไร แต่กลับมีคนชอบภาพประหลาดเหล่านั้น คุณชายซูชีถึงกับร้องขอคุณหนูวาดให้เขา
นางภาวนาในใจ ขอเพียงเวลานี้ คุณหนูอย่าล้อเล่น วาดภาพในอดีตเหล่านั้นก็พอแล้ว แม้ไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่น่าเกลียดเท่าใดนัก ถึงอย่างไรก็ได้ครอบครองตราดอกท้อสองอันแล้ว คาดว่าโดนดูแคลนเล็กน้อยด้านการวาดภาพก็ไม่เป็นเช่นไร
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะวาดภาพไม่เก่งเท่าใดนัก แต่มีภาพหนึ่ง นางวาดนับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เล็ก เวลานี้แม้จะวาดด้วยทักษะเล็กน้อย ทว่าย่อมไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
สีที่มั่วเชียนเสวี่ยผสมนั้นมีไม่มาก กล่าวโดยรวมคือ มีเพียงสีดำ สีขาวและสีเทา รวมถึงสีเขียวเข้มและสีแดงเข้มเท่านั้น
องค์หญิงอวี้เหอกวาดตามองไปที่นาง แววตาฉายความดีใจ เป็นจริงตามคาดวาดภาพไม่เก่งจริงๆ อาศัยเพียงสีเหล่านี้จะวาดภาพที่ดีขึ้นมาได้อย่างไร
มีสตรีชั้นสูงเริ่มวาดภาพแล้ว ภาพมั่งคั่งร่ำรวยดั่งดอกไม้ผลิบานเด่นชัดบนกระดาษ ตัวอักษรที่เขียนก็งดงาม องค์หญิงอวี้เหอพยักหน้า ขอเพียงมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ครอบครองตราดอกท้อด้านนี้ ไม่ว่าผู้ใดได้ครอบครองนางล้วนไม่ใส่ใจ
แต่ว่าสิ่งนางให้ความสนใจคือเรื่องที่เสด็จแม่บอก ขอเพียงนางจัดการเรื่องในอุทยานให้เรียบร้อย ด้านนอกจะมีการแสดงยิ่งใหญ่
การแสดงยิ่งใหญ่นั้นคือสิ่งที่นางตั้งหน้าตั้งตารอ
เดิมที นางไม่ได้เกลียดชังมั่วเชียนเสวี่ย ก่อนหน้านี้นางเพียงช่วยระบายความโกรธเคืองให้เสด็จแม่เท่านั้น นางมีชื่อเสียงดีงามมาโดยตลอด หากมีชื่อเสียงด้านความรู้และความสามารถ เช่นนั้นท่านพ่อต้องมองนางใหม่ เห็นนางสำคัญยิ่งกว่าเดิม เมื่อถึงเวลาจะมีองค์หญิงคนใดทัดเทียมนางได้
ทว่า วันนี้ภายใต้การหยั่งเชิงและท้าทายของนาง มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่สะทกสะท้าน สุดท้ายยังชิงชื่อเสียงด้านความรู้และความสามารถของนางไป นางจึงเริ่มเกลียดชังมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว
สตรีชั้นสูงทั้งหลายล้วนวาดเสร็จประมาณหนึ่งแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็วาดใกล้เสร็จแล้วเช่นเดียวกัน
กลอนดอกท้อของนางทำให้ทุกคนตกตะลึง ศิลปะการชงชาหงส์พยักหน้าสามครั้งก็แปลกใหม่ไม่ซ้ำผู้ใด ทำให้สตรีชั้นสูงมากมายแปลกใจและสนใจนางมาโดยตลอด
เห็นภาพวาดของนางว่างเปล่า ยามดอกท้อผลิบานเช่นนี้ นางไม่วาดภาพดอกไม้ แต่กลับวาดภาพหิมะตก เมื่อมองอย่างพิจารณา ด้านล่างหิมะไม่เพียงแต่ไม่มีดอกบ๊วย แต่กลับเป็นแม่น้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ทั้งยังมีชายชราสวมชุดฟางกำลังนั่งตกปลา บรรดาสตรีชั้นสูงต่างพากันส่ายหน้าในใจ
[1] หงส์พยักหน้าสามครั้ง มารยาทในการชงชา เป็นการแสดงความเคารพต่อแขกเรื่อและเป็นการให้เกียรติชา ซึ่งจะชงโดยการยกกาน้ำชาขึ้น แล้วใช้แรงของข้อมือ ชักน้ำขึ้นลงสามครั้ง ทำให้ใบน้ำเคลื่อนไหวในน้ำ