เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 461 มึนงง จื่อจิ้งเข้าเมืองหลวง (5)

คนที่คิดถึงทุกวัน รอคอยมาตลอดได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา จะไม่สะทกสะท้านได้เช่นไร

องครักษ์ตระกูลถงมีลูกน้องที่สืบข่าวคราวในเมืองหลวงโดยเฉพาะเช่นกัน เมื่อเขาไปถึงเมืองอวิ๋นฉี่ก็มีคนมานำทางเขาแล้ว

พอถึงบ้านไร่ของมั่วเชียนเสวี่ย เดิมองครักษ์เหล่านั้นก็จะมารายงานให้ผู้เป็นนายทราบ แต่กลับเจอหวังเทียนซงพอดี

หวังเทียนซงย่อมจำถงจื่อจิ้งได้ และรู้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยยอมรับว่าถงจื่อจิ้งเป็นน้องชาย จึงพาเขาเข้ามา เพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับมั่วเชียนเสวี่ย

ถงจื่อจิ้งยืนควบคุมหัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งในใจ ควบคุมความคิดที่อยากจะรวบนางมาไว้ในอ้อมกอดตรงหน้าประตู พลางยิ้มบางๆ ให้มั่วเชียนเสวี่ย

ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยประหลาดใจ ก็จ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง!

เขาคล้ำขึ้น!

และกำยำล่ำสันเล็กน้อย!

ละทิ้งความอ่อนเยาว์ และมีมาดที่ควรจะมีของบุรุษเพิ่มขึ้นมา

เขา ดูเหมือนว่าจะโตขึ้นแล้ว!

ในใจมั่วเชียนเสวี่ยปีติยินดี!

เป็นเขาจริงๆ! ใช่เขาจริงๆ! น้องชายที่ชะตาชีวิตอาภัพของนาง

“จื่อจิ้ง!”

ตอนนี้ ความกระวนกระวายใจเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวถูกพัดหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

นางรีบลุกขึ้น เร่งฝีเท้าเดินไปที่ประตู

จับมือถงจื่อจิ้งเอาไว้แล้วมองซ้าย มองขวา หน่วยตาคล้ายกับเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาทันที

แต่ก็รู้สึกว่านี่คือเรื่องน่ายินดี เป็นเรื่องที่สมควรจะดีใจ จึงกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันเอาไว้

“จื่อจิ้ง มาเมืองหลวงทำไมไม่บอกพี่สาวสักคำ มาเมื่อใด ระหว่างทางเหนื่อยไหม มีอันตรายอะไรหรือไม่”

สงบสติอารมณ์ได้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ถามจุกจิกเป็นพรวนด้วยน้ำเสียงร้อนรนที่ไม่วางใจเป็นอย่างมาก กลัวว่าระหว่างทางเขาจะมีอันตรายแม้เพียงน้อยนิด

อย่างไรเสีย ถงจื่อจิ้งก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป สภาพการณ์ครึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ของเขายังคงเด่นชัดในความทรงจำของมั่วเชียนเสวี่ย

นี่นับเป็นครั้งแรกที่ถงจื่อจิ้งออกจากบ้านหลังจากที่หายป่วย อีกทั้งยังเป็นหนทางที่ไกลขนาดนี้ นางจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร

ยังมี ระยะนี้ ผู้เฒ่าถง ตาเฒ่าประหลาดคนนั้นทำให้เขาลำบากใจอีกหรือไม่…

ถงจื่อจิ้ง ไม่รู้สึกรำคาญหรือรังเกียจอะไรที่มั่วเชียนเสวี่ยจู้จี้เพราะใส่ใจเลยสักนิด

เขาเพียงแค่ยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและพึงพอใจ

ความรู้สึกเช่นนี้ดีจริงๆ!

ความรู้สึกที่ถูกคนรัก ถูกคนเอาใจใส่นั้นดีมากจริงๆ!

ตอนนี้หน่วยตาของถงจื่อจิ้งแดงระเรื่อ

ปล่อยให้มั่วเชียนเสวี่ยจับมือและพิจารณามองเขาขึ้นๆ ลงๆ

แม้ว่าหน่วยตาเขาจะแดงระเรื่อ แต่ในใจกลับมีความรู้สึกหวานละมุนแผ่ออกมา นัยน์ตา นอกจากหยาดน้ำตาแล้ว ก็มีความห่วงใยและเห็นออกเห็นใจฉายออกมา

เขาย่อมไม่บอกมั่วเชียนเสวี่ยว่า ตอนที่เขาได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนาง เขารีบเร่งเดินทาง โดยไม่พักผ่อนทั้งวันทั้งคืนมาหลายวันถึงจะมาเมืองหลวง

มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนที่เขาให้ความสำคัญ เขาไม่อยากเพิ่มภาระให้นางแม้แต่น้อย และยิ่งไม่อยากให้นางกังวลและร้อนรนเพราะตนเอง

เช่นนั้น เขาจำเป็นต้องเก็บซ่อนความไม่เป็นธรรม อุปสรรคต่างๆ และความทุกข์ยากที่ตนเองได้รับเก็บซ่อนไว้ในใจ ล้วนไม่เอ่ยถึงมันกับนาง

เสียใจคนเดียวก็พอแล้ว เหตุใดต้องลากอีกคนมาเสียใจด้วยกันอีกเล่า

ถงจื่อจิ้งสงบจิตสงบใจ

“ข้าเบื่อกับการอยู่คนเดียวที่เทียนเซียงแล้ว ทั้งยังไม่มีใครเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนข้า ข้าก็คิดถึงพี่สาวกับพี่เขย ดังนั้น…ดังนั้นถึงได้มา”

ถงจื่อจิ้งไม่เอ่ยเรื่องที่ไม่สมควรจะเอ่ยเหล่านั้น ไม่เอ่ยวาจาที่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเป็นห่วง

คิดถึงพี่สาวเป็นเรื่องจริง คิดถึงพี่เขยเป็นเรื่องโกหก!

พี่สาวอยากจะอยู่กับใคร คนนั้นก็เป็นพี่เขยของเขา

ถงจื่อจิ้งเอ่ยอันใด มั่วเชียนเสวี่ยก็เชื่ออย่างนั้น

ไม่ใช่ว่านางเชื่อถงจื่อจิ้งอย่างตาบอด แต่ช่วงเวลาที่นางรู้จักถงจื่อจิ้งยังหยุดอยู่ในตอนที่เขาบริสุทธิ์ราบกับเด็กน้อย ดังนั้น สัญชาตญาณจึงคิดว่าถงจื่อจิ้งไม่มีทางปิดบังนาง

“เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อมาเมืองหลวงแล้ว ก็พักอยู่ที่บ้านไร่พี่สาว พักถึงตอนที่เบื่อแล้วค่อยพอ!”

ถงจื่อจิ้งยิ้มดีใจ อยู่ข้างกายพี่สาวตลอดชีวิต เขาก็ไม่มีทางเบื่อ!

ภายใต้การถามไถ่อย่างละเอียดของมั่วเชียนเสวี่ย ตอนที่รู้ว่าคนที่เดินทางมากับถงจื่อจิ้งยังมีองครักษ์ตระกูลถงกับอาจารย์หลี่ ก็รีบให้ถงจื่อจิ้งพานางไปคารวะอาจารย์หลี่

อย่างไรเสีย ตอนนี้นางก็เป็นพี่สาวของถงจื่อจิ้ง อีกทั้งนางก็รักและปกป้องถงจื่อจิ้ง เพราะเห็นเขาน้องชายอย่างใจจริง เช่นนั้นนางย่อมต้องไปคารวะอาจารย์ของน้องชาย

สุภาษิตกล่าวไว้ว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นบิดาไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะนำมาเปรียบกับถงจื่อจิ้งและอาจารย์หลี่แล้วจะดูไร้แก่นสาร แต่ความหมายกลับเป็นประมาณนี้

อาจารย์หลี่ยังคงมีนิสัยไม่ถือดีอวดเก่งเหมือนในตอนแรกสุด เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยก็ลุกขึ้นทำความเคารพ

มั่วเชียนเสวี่ยกำชับให้ชูอีเตรียมสถานที่พักให้กับอาจารย์หลี่ และเหล่าทหารตระกูลถง จากนั้นก็พาถงจื่อจิ้งไปกินข้าวก่อน

จากการสนทนากับอาจารย์หลี่ นางถึงได้รู้ว่า พวกเขาเร่งเดินทางมาตลอด อาหารกลางวันในวันนี้ยังไม่ได้กิน

ความจริงก็ไม่อาจกล่าวว่าไม่ได้กิน แต่ตอนที่ทุกคนเตรียมจะกินมื้อกลางวันบนเรือ ถงจื่อจิ้งกลับมองไปยังทิศทางของเมืองหลวงที่อยู่ไกลๆ บริเวณหัวเรือ

ทุกคนล้วนรู้นิสัยดื้อดึงของถงจื่อจิ้ง โน้มน้าวเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงตัดสินใจไม่เอ่ยเสียเลย

ผู้เป็นนายไม่กิน พวกเขาที่เป็นข้ารับใช้จะกินได้เช่นไร

ทำได้เพียงแค่หิว!

“จื่อจิ้ง กองทัพต้องเดินด้วยท้อง! แม้ว่าจะตื่นเต้นเพราะได้เดินทางไกลออกจากบ้าน? ทำไมกระทั่งข้าวกลางวันก็ไม่รู้จักกินเล่า” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสงสาร แต่ในใจกลับมีความรู้สึกชื่นใจมากกว่า

ในที่สุดถงจื่อจิ้งก็ออกจากพันธนาการในอดีตได้ สามารถออกจากบ้าน อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง

มั่วเชียนเสวี่ยคีบอาหารให้ถงจื่อจิ้ง พลางเอ่ยจ้อไม่หยุดราวกับยายแก่ และยิ้มเจิดจ้ามาก

ถงจื่อจิ้งที่ยื่นชามออกไปรับอาหารที่มั่วเชียนเสวี่ยคีบมาให้ นัยน์ตาแดงระเรื่อ เขาก้มหน้ากิน เพื่ออำพรางเอาไว้

ราวกับมีผลึกหินใสอยู่ในชาม และกลืนลงไปพร้อมกับข้าว

บางทีนี่อาจจะเป็นข้าวที่กินแล้วหอมหวานที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา

หลังจากกินอาหารกลางวันเรียบร้อย เดิมมั่วเชียนเสวี่ยอยากจะให้ถงจื่อจิ้งกลับไปพักผ่อนที่ห้อง แต่จนปัญญาที่ถงจื่อจิ้งไม่ยินยอม และติดตามอยู่ด้านหลังนางทั้งอย่างนี้

มั่วเชียนเสวี่ยไปยังลานด้านหน้า ถงจื่อจิ้งก็ตามไปที่ลานด้านหน้าด้วย มั่วเชียนเสวี่ยไปที่ลานด้านหลัง ถงจื่อจิ้งก็ตามไปด้วยเช่นกัน

สุดท้ายมั่วเชียนเสวี่ยก็หมดหนทาง ทำได้เพียงแค่พาถงจื่อจิ้งเดินรอบบ้านไร่ไปรอบหนึ่ง

สำหรับเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืชนั้น…

หลังจากที่ถงจื่อจิ้งมาถึง มั่วเชียนเสวี่ยก็ลืมเสียสนิท ตอนที่ถงจื่อจิ้งเอ่ยประโยคนั้นตอนเข้ามาในห้อง นางตะลึงเกินไป จึงไม่ทันได้ใส่ใจ

ยังคงเป็นถงจื่อจิ้งที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยถึงได้คิดถึงเรื่องโรงเรือนเพาะปลูกพืช

“เฮ้อ ไม่มีวิธีแล้ว ตอนนี้หาของที่ทนหนาวต้านลม และไม่กันแดดไม่ได้ แม้ว่าข้าจะมีใจคิดจะสร้างโรงเรือนเพาะปลูกพืช ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว”

เอ่ยถึงเรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยท้อใจ

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหนียงจื่อของคุณชายขี้โรคเพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที! ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่ ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?! เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset