ไม่ใช่ว่านางไม่พยายาม แต่เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีหนทางใดสักนิด ทำได้เพียงแค่มองเงินทองอัญมณีที่วางไว้ตรงหน้า แต่กลับเจ็บปวดและจนปัญญาที่ยกแขนไม่ขึ้นตลอดกาลแบบนั้น
“พี่สาวเชียนเสวี่ย ท่านว่าใช้กระจกเป็นเช่นไร”
ถงจื่อจิ้งเตือนอีกครั้ง
“กระจก?” มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย
สำหรับกระจกนั้น มากน้อยอย่างไรนางก็รู้อยู่บ้าง นับว่าเป็นผู้ศึกษาเรื่องของกระจกก็ได้
ในตอนที่เทคโนโลยียังไม่พัฒนา ได้ยินว่ากระจกล้ำค่ามาก นางมายังต่างโลก ก็เคยเห็นของที่ทำจากกระจกไม่กี่ชิ้น
ชามกระจก ลูกบอลคริสตัล ความโปร่งแสงไม่สูงมาก แต่ยังล้ำค่าอย่างยิ่ง
แต่จะโปร่งแสงมากหรือไม่นั้น ก็ยังโปร่งแสงเช่นกัน แม้ว่าจะไม่เรียบอยู่บ้าง แต่กลับสามารถป้องกันลมหนาว
ถงจื่อจิ้งเอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็เกิดความคิดขึ้นมาฉับไว และหวั่นไหวเล็กน้อย
นางเคยกล่าวเอาไว้ว่าจะไม่ทิ้งโอกาสที่เป็นไปได้ใดๆ
แต่กระจก…
นางยังต้องยืนยันสักหน่อย!
“เป็นกระจกประเภทที่การมองเห็นแย่มาก และพื้นผิวไม่เรียบพวกนั้นหรือ” อภัยให้นางที่คิดออกแต่กระจกที่มีลักษณะเช่นนั้น
เดิมนึกว่ากระจกในยุคโบราณหยาบกว่าในยุคปัจจุบัน แต่กลับประหลาดใจที่เห็นถงจื่อจิ้งส่ายหน้า
“ไม่ใช่ขอรับ เป็นประเภทที่มองเห็นได้ชัด อย่างน้อยพวกเราสองคนหันหน้าเข้าหากัน ตรงกลางมีกระจกวางอยู่ก็ยังสามารถมองเห็นทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจน อีกทั้งพื้นผิวเรียบลื่น แม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องเรียบลื่นเหมือนกับอาวุธดาบกระบี่ แต่กลับพอๆ กันขอรับ”
มีกระจกคุณภาพดีขนาดนั้นเลยหรือ?
ดูท่า กระจกในคลังเก็บสินค้าของนางจะมีระดับไม่สูง
“เจ้าไม่ได้หลอกพี่สาวนะ?”
ถงจื่อจิ้งส่ายหน้า
มั่วเชียนเสวี่ยดีใจ!
ขอเพียงแค่มีกระจก จะต้องกลัวว่าสร้างโรงเรือนเพาะปลูกพืชในฤดูหนาวของนางออกมาไม่ได้อีกหรือ
ฮ่าๆ! เง็กเซียนฮ่องเต้กำลังช่วยนางจริงๆ! ในตอนที่นางจนปัญญา ไร้หนทางมากที่สุด จนไม่อาจแสดงฝีมือออกมาได้ ก็ถงจื่อจิ้งมาให้!
“จื่อจิ้งเด็กดี เจ้าเป็นซั่นไฉถงจื่อ[1]ที่เจ้าแม่กวนอิมส่งมาช่วยเหลือพี่สาวอีกแรงจริงๆ!”
รอยยิ้มของมั่วเชียนเสวี่ยทำให้นัยน์ตาถงจื่อจิ้งเป็นประกาย
ขอเพียงแค่พี่สาวสบายดี ขอเพียงแค่พี่สาวดีใจ มีความสุข ไม่ว่าจะให้เขาทำอะไร เขาล้วนยินยอม!
ในเมื่อมีวิธีรับมือแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยย่อมร้อนใจที่จะบอกข่าวดีนี้กับหนิงเซ่าชิงแทบไม่ไหว อยากจะแบ่งปันกับเขา!
เพียงแต่นางกลับไม่รู้ว่า ทางด้านหนิงเซ่าชิงได้รับข่าวถงจื่อจิ้งมาเมืองหลวงแล้ว
หลังจากฟังรายงานขององครักษ์ลับ หนิงเซ่าชิงก็มีสีหน้าทะมึนทันที
เขาหดหู่ใจมากจริงๆ!
ซูชี บุรุษผู้นั้นถูกเขาจัดการไปจนเกือบจะปลดอาวุธยอมแพ้แล้ว เดิมนึกว่าจะสงบสุข แต่กลับคิดไม่ถึงถงจื่อจิ้งผู้นี้ถึงกับโผล่ออกมาอีก!
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะรับประกันว่าระหว่างนางกับถงจื่อจิ้งเป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์พี่สาวกับน้องชายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่หนิงเซ่าชิงเป็นใคร
นี่เป็นคนที่เก็บงำความริษยาเอาไว้ในใจ อัดอั้นเอาไว้ไม่เปิดเผยมานานแสนนาน ถ้าหากว่ามีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ ลมเพชรหึงก็จะสามารถพัดโหมใส่คนผู้นั้นถึงตายได้!
อีกอย่าง หนิงเซ่าชิงก็เป็นบุรุษที่หึงได้แม้กระทั่งกับสตรี แล้วจะยอมรับถงจื่อจิ้งที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างไร!
ไม่ได้!
หนิงเซ่าชิงยิ่งคิดใจก็ยิ่งไม่สงบ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ
ดูท่า ข้างกายเสวี่ยเสวี่ยต้องมีคนอยู่ด้วยจริงๆ! เขาต้องไปบ้านไร่ป้องกันความผิดพลาดอย่างใกล้ชิดถึงจะได้!
เสวี่ยเสวี่ยเป็นของเขาคนเดียว เขาไม่อนุญาตให้มั่วเชียนเสวี่ยใช้สายตามองไปที่ใครเด็ดขาด นอกจากเขา!
กำลังจะลุกขึ้น ทว่า เตาหนูที่อยู่นอกประตูกลับมีเรื่องจะรายงาน
“หัวหน้าตระกูล วันนี้หัวหน้าตระกูลคนก่อนของตระกูลมั่วร่ำสุรากับผู้เฒ่าหลายคนด้านนอก จู่ๆ ก็ดื่มมากไป จึงโรคกำเริบ สิ้นชีวิตไปแล้วขอรับ”
“หืม?” หนิงเซ่าชิงประหลาดใจเล็กน้อย
และคิดเชื่อมโยงไปถึงเรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวว่าจะไปคิดบัญชีที่จวนมั่ว จากนั้นตระกูลมั่วก็เกิดการมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูล และผู้อาวุโสใหญ่สิ้นชีพ เกรงว่าเรื่องนี้มั่วเชียนเสวี่ยจะเตรียมการเอาไว้ก่อนหน้านี้สินะ
ดังน้้นจึงเอ่ยว่า “อ่อ รู้แล้ว ส่งคนไปแจ้งคุณหนูใหญ่มั่วสักหน่อย”
“ขอรับ”
เตาหนูรับคำสั่ง แต่กลับไม่ถอยออกไป ข่าวนี้ ตอนที่เขาได้รับก็ให้คนนำไปถ่ายทอดต่อแล้ว
หนิงเซ่าชิงขมวดคิ้ว “ทำไมยังไม่ออกไป ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ”
“หัวหน้าตระกูล กุ่ยซากลับมาจากการรับโทษแล้วขอรับ”
วันนั้นเป็นเพราะกุ่ยซาปกป้องมั่วเชียนเสวี่ยไม่ดี เกือบจะทำให้นางได้รับหายนะจนเกือบจะตาย หนิงเซ่าชิงบันดาลโทสะ เดิมมีโทษตาย แต่เป็นเพราะการขอความเมตตาของมั่วเชียนเสวี่ย จึงเปลี่ยนจากโทษตายเป็นโทษเป็น
ความจริง แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ขอความเมตตาให้เขา การที่กุ่ยซาได้ใช้ร่างกายปกป้องเขาจากการโจมตีของซูชี เขาก็ไม่อาจแข็งใจจัดการเขาถึงตาย
เพียงแต่สาเหตุที่หอลับสามารถดำรงอยู่ได้ สามารถสะเทือนใต้หล้าได้ ย่อมมีระเบียบของมัน วันนั้นกุ่ยซาละทิ้งหน้าที่โดยพลการ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าตระกูลก็มิอาจหุนหันเปลี่ยนแปลงได้
เหมือนกับวันที่กลับมาจากจวนกั๋วกงวันนั้น องครักษ์ทั้งหมดที่ปกป้องมั่วเชียนเสวี่ย โดยมีกุ่ยซาเป็นหัวหน้าล้วนถูกโยนเข้าไปห้องไต่สวนลงโทษ
โชคชะตาของพวกเขา แน่นอนว่าแค่คิดก็รู้แล้ว
เพียงแต่เป็นเพราะมีการขอความเมตตาของมั่วเชียนเสวี่ย บนร่างกุ่ยซาก็มีบาดแผล เดิมวันนั้นก็หมดสติไปแล้ว
วันนั้นเขาบาดเจ็บสาหัส ขาดอีกเพียงนิดเดียว ก็จะกรีดถูกหัวใจ หากไม่ใช่ว่ามั่วเหยียนกับมั่วสิงช่วยหยุดเลือดได้ทันเวลา ก็เกรงว่าจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว!
เพราะบาดเจ็บสาหัสเกินไป กุ่ยซาถึงได้รอดพ้นจากหายนะนี้ไปได้ แต่ก็ยังต้องแสร้งทำเป็นว่าได้รับโทษในหอลงอาญาอยู่ดี
นี่ไง ผู้อื่นรับโทษที่หอลงอาญา เขากลับพักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ด้านใน หลังจากพักไปหลายวันถึงจะดีขึ้นมาหน่อย
หนิงเซ่าชิงดึงฝีเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปกลับมาทันที หลังจากยืนครุ่นคิดอย่างละเอียดที่เดิมรอบหนึ่งแล้ว ก็เอ่ยกับเตาหนูว่า “ให้เขามาพบข้า”
ความจริงแล้วอาการบาดเจ็บของกุ่ยซายังไม่หายเรียบร้อยดี แต่เขาก็รู้ว่าครั้งนี้ตนเองประมาทเกินไป! และเกือบจะทำให้ชีวิตของคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วตกอยู่ในอันตราย
ดังนั้นไม่ว่าจะได้รับการลงโทษแบบใด เขาล้วนยินยอมพร้อมใจ พอหลังจากอาการบาดเจ็บดีขึ้นเล็กน้อย ก็รีบวิ่งมากลับมาขอรับโทษแล้ว
ตัวเองไม่ได้รับความทุกข์ทรมาน ในใจเขายังคงมีความรู้สึกละอายใจ
“ข้าน้อยคารวะหัวหน้าตระกูล”
หนิงเซ่าชิงมองกุ่ยซาที่คุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วเหม่อลอยไปชั่วครู่หนึ่ง
เขาไม่มีทางเฝ้าอยู่ข้างกายมั่วเชียนเสวี่ยได้ทั้งวันทั้งคืนจริงๆ ไม่เอ่ยถึงว่ารอบกายมั่วเชียนเสวี่ยมีภัยคุกคามใหญ่หลวง เพียงแค่กล่าวถึงถงจื่อจิ้งคนนี้ ก็ทำให้เขามีความรู้สึกว่าเป็นอันตรายแล้ว
ตอนที่เขาอยู่สามารถดูให้มั่วเชียนเสวี่ยไม่ไปมาหาสู่อย่างใกล้ชิดกับถงจื่อจิ้งมากเกินไปได้ แต่ตอนที่เขาไม่อยู่เล่า
เช่นนั้นก็ต้องมีคนคนหนึ่ง และต้องเป็นคนที่มีฝีมือปราดเปรียวว่องไวเฝ้าอยู่ข้างกาย
ถ้าหากถงจื่อจิ้ง แกล้งเป็นบ้าใบ้ติดอยู่กับเสวี่ยเสวี่ยของเขา ก็ให้กุ่ยซาหิ้วเขาขึ้นมาแล้วโยนไปให้ไกล
“เจ้ายินยอมที่กลับไปคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายคุณหนูใหญ่ตระกูลมั่วต่อไปหรือไม่” หนิงเซ่าชิงไม่เอ่ยถึงความผิดก่อนหน้านี้ของกุ่ยซา อย่างไรเสียครั้งนี้เขาก็เกือบจะตาย ในขณะเดียวกันนั้นก็นำข่าวสารที่น่าเชื่อถือกลับมา
[1] ซั่นไฉถงจื่อ หรือ พระสุธนกุมาร เป็นเจ้าสัวผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติเงินทอง