บอกแค่ว่าไม่มีของแล้ว ขายไปหมดแล้ว
แต่นางกลับรู้ว่าว่านางไม่ได้เป็นคนซื้อสีเคลือบทั้งเมืองจนเกลี้ยง แต่คนพวกนั้นไม่ขายให้ต่างหาก และไม่ช่วยนางหาของด้วย
สีเคลือบเป็นสินค้านอกเมือง แม้แต่เมืองหลวงยังมีขาย จู่ๆ พวกเขาก็คิดหาวิธีกันไม่ได้
ได้ยินว่าทุกๆ ปีสีเคลือบนี้จะมีของมาถึงหนึ่งครั้ง…
มีน้อยคนนักที่รู้เกี่ยวกับร้านค้าใหญ่ที่ขายสีเคลือบว่าอยู่ที่ไหน
หนิงเซ่าชิงแย้มยิ้มจางๆ คล้ายว่าในสมองมีแผนการเรียบร้อยแล้ว เขาใช้มือจุ่มน้ำชามาเขียนบนโต๊ะช้าๆ
มั่วเชียนเสวี่ยพลันเงยหน้าขึ้นเหมือนกำลังเหลือเชื่อ!
“เป็นไปได้อย่างไร เรื่องเช่นนี้ก็จะทำลายรึ” เรื่องที่เรือนกระจกใหญ่เคลือบสีเดิมทีก็เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและปวงชนอยู่แล้ว เหตุใดต้องทำลายด้วย มันส่งผลเสียอะไรต่อพวกเขาด้วยหรือ
หนิงเซ่าชิงเห็นมั่วเชียนเสวี่ยท่าทางเหมือนโดนกระตุ้นก็หัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เชียนเสวี่ย เจ้าต้องรู้ว่าคนบางคนก็ชอบทำลายผู้อื่นเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อแผ่นดินและปวงชนก็ตาม พวกเขาก็ยังคงทำลาย…”
มั่วเชียนเสวี่ยเม้มปากไม่เอ่ยคำใด
สำหรับเรื่องนี้นางรับไม่ได้อย่างยิ่ง!
ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าบนโลกนี้จะมีคนที่เหี้ยมโหดได้ถึงเพียงนี้! นึกไม่ถึงว่าจะทำเรื่องพรรค์ได้!
“ข้าไว้ใจนางถึงเพียงนี้ แม้ว่าจะรู้ว่านางน่าสงสัย แต่ก็ยังเลือกจะให้นางอยู่ข้างกาย ให้โอกาสนางสักครั้ง นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก”
มั่วเชียนเสวี่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ในใจมีก้อนหินยักษ์กดทับไว้ ทำให้นางหายใจไม่ออก
“มนุษย์ล้วนมีทางเลือกของตัวเอง นางก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ไม่ว่าเรื่องใดนางก็คิดเองได้ ดังนั้นในตอนที่ไม่อาจลงมืออย่างปรานีได้ เชียนเสวี่ยก็ต้องโหดเหี้ยม”
เดิมทีหนิงเซ่าชิงก็ไม่ใช่คนใจอ่อนอะไรอยู่แล้ว เขาคิดว่าเจ้าเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าก็จะคืนให้หนึ่งจั้ง นี่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ที่ต้องรับผิดชอบและเป็นสันดานของมนุษย์เช่นกัน
ทว่าคนบางคนหลังจากใช้ความอดทนและความไว้วางใจที่เรามอบให้อย่างสุรุ่ยสุร่ายแล้วก็ยังไม่รู้จักกลับตัวกลับใจอย่างแท้จริง คนแบบนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องใช้เขาเพื่อตัวเอง
“ยามนี้สิ่งที่ข้าคิดไม่ใช่คนระยำนั่นอยู่ที่ไหน แต่สีเคลือบมีไม่เพียงพอ เพิงใหญ่ของข้าก็จะสร้างไม่ได้ ฤดูหนาวปีนี้ก็จะให้พวกประชาชนในเมืองหลวงได้กินผักสดใหม่กันได้ยากแล้ว แน่นอนว่าแบบนี้มันขัดต่อความตั้งใจเดิมของข้า”
ที่สำคัญคือสร้างเพิงใหญ่ไม่ได้ เงินทองมากมายก็ไม่ไหลมาหาแล้ว ที่น่าปวดใจที่สุดก็คือสิ่งนี้
เนื้ออวบอ้วนมาถึงปากแล้วจะลอยจากไป นี่มันเป็นสิ่งที่ทำเอานางรู้สึกเจ็บใจนัก มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าหากหาวิธีดีๆ มาแก้ไขไม่ได้ นางคงได้กลุ้มใจตายจริงๆ แน่!
หนิงเซ่าชิงใช้ปลายนิ้วจิ้มศีรษะนาง ก่อนยิ้มจางๆ ให้ “เชียนเสวี่ยลืมสามีคนนี้ไปแล้วหรือ”
“มาจิ้มข้าทำไม มันเจ็บนะ” มั่วเชียนเสวี่ยกุมหน้าผากกระเง้ากระงอด ทว่ากลับได้ยินถ้อยคำของหนิงเซ่าชิงที่ทำให้ใจเบิกบาน
นางรู้ว่าคนอย่างหนิงเซ่าชิงไม่มีทางสู้ศึกที่ไม่มั่นใจหรอก และไม่เคยพูดจาที่ไม่ได้ตระเตรียมมาก่อนเช่นกัน
ตรงกันข้าม หนิงเซ่าชิงเอ่ยเช่นนี้ก็หมายความได้เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว
“เซ่าชิง! พี่ชายแสนดี! สามีแสนดี! ท่านเตรียมพร้อมหมดแล้วหรือ ใช่หรือไม่”
ยามนี้นางลืมความกลัดกลุ้มใจก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้นแล้ว นางลุกขึ้นบุ่มบ่ามไปนั่งลงในอ้อมอกของหนิงเซ่าชิงด้วยรอยยิ้มเบ่งบานดุจพฤกษา
ท่าทางและการกระทำเช่นนี้มันช่างทำเอาหนิงเซ่าชิงปรีดานัก
หนิงเซ่าชิงหัวเราะอย่างมีความสุข มือเขาวางลงบนเอวคอดอย่างเป็นธรรมชาติ
“นี่เชียนเสวี่ยกำลังทำอะไรน่ะ ส่งตัวเองมาให้ข้ากอดหรือ”
แม้ว่าจะเอ่ยเช่นนี้แต่ก็ยังโอบตัวนางเอาไว้แน่น ซ้ำยังจุมพิตบนแก้มนางเบาๆ อีกด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยสีหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย
ทั้งซาบซึ้งและเขินอาย
หนิงเซ่าชิงผู้นี้เป็นพวกเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองมาโดยตลอด ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ตาม
ตรงนี้ยังมีชูอีกับสืออู่คอยรับใช้อยู่นะ
เขาไม่อาย ถ้าอย่างนั้นนางก็ไม่อายไปด้วยเลยแล้วกัน
“ใช่ๆๆๆ! ข้ากำลังเอาใจท่านอยู่ พี่ชายแสนดี บอกข้าทีว่าท่านเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
นางรู้ว่าหนิงเซ่าชิงชอบคำรื่นหู จึงพยายามเลือกคำพูดน่าฟังมาพูดกับหนิงเซ่าชิง อ้อนหนิงเซ่าชิงให้เบิกบานใจ
ชูอีกับสืออู่เห็นเหตุการณ์เข้าก็พากันขนลุกทั่วร่าง ทว่าแม้แต่หายใจยังไม่กล้า
ทั้งสองพากันกลั้นหายใจ พยายามลดตัวตนตัวเองลง แล้วถอยออกจากห้องไปจึงกล้าสูดหายใจ
สองคนภายในห้องยังคงไม่รู้
อาจจะรู้แต่แรกแล้วว่าทั้งสองคนจะหายตัวไปกันเอง จึงได้ไม่สนใจอะไร
“เจ้าเล่ห์!” หนิงเซ่าชิงจิ้มปลายจมูกนางอย่างเสียไม่ได้ แต่ยังไม่อยากหยอกมั่วเชียนเสวี่ยต่อ เพราะเขารู้ว่า มั่วเชียนเสวี่ยมีความยึดติดกับเรื่องเรือนกระจกใหญ่เคลือบสีนี้มาก…มากมายเลยทีเดียว!
“หลายวันมานี้ข้าตรวจสอบได้ความมาบ้างแล้ว อาศัยจังหวะที่พวกเขากำลังก่อความวุ่นวายด้านนอกนั่นกักตุนเอาไว้ให้เจ้าจำนวนหนึ่งแล้ว แล้วก็ยังมีอีกเรื่อง…”
เอ่ยถึงตรงนี้ หนิงเซ่าชิงเองกลับอายเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ รอให้หนิงเซ่าชิงพูด แต่เห็นเขาไม่พูดเสียทีใจนางก็ร้อนรนขึ้นมาไม่น้อย!
“ยังมีอีกเรื่องอย่างนั้นรึ เซ่าชิงท่านพูดมาสิ!”
เฮ้อ…
หนิงเซ่าชิงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกับมั่วเชียนเสวี่ยว่า “หากเชียนเสวี่ยมีความสุขจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นก็ยกสาวใช้ของเจ้าสองคนให้กุ่ยซากับเตาหนูสิ”
ยกให้อย่างนั้นรึ แต่งงานรึ ชูอีกับสืออู่น่ะนะ?
มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินก็ชะงักไป ไม่ใช่ว่านางไม่ยินดี แต่คำพูดของหนิงเซ่าชิงกระโดดข้ามไปมาก ทำให้นางไม่รู้จะคล้อยตามอย่างไรดี
พวกเขากำลังคุยกันเรื่องเพิงใหญ่เคลือบสีอยู่มิใช่หรือ ข้ามมาเรื่องแต่งงานของกุ่ยซาและเตาหนูไปได้อย่างไรกันนะ
อีกทั้งกุ่ยซากับชูอีน่ะนางพอรู้ แต่เตาหนูกับ…สืออู่นี่สิ
ค่อนข้างเพ้อฝันเกินไปหน่อยแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหน้าอย่างมึนงง “เกิดอะไรขึ้นรึ สมองข้ามึนไปหมดแล้ว”
อันที่จริงหนิงเซ่าชิงก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้ได้ไม่นาน มิฉะนั้นเขาก็คงยังไม่รู้ว่าองครักษ์ตัวดีของเขาจะทำเรื่องงามหน้าเช่นนั้นแก่เขาได้!
แม้ว่าแก่นสารของเรื่องนี้จะทำให้เขารู้สึกอับอายมากก็ตาม
แต่แล้วจะทำอะไรได้ล่ะ ขอแค่สามารถช่วยมั่วเชียนเสวี่ยได้ ต่อให้หน้าอายแค่ไหนเขาก็ยินดีทำ
จากนั้นหนิงเซ่าชิงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้มั่วเชียนเสวี่ยฟัง
ที่แท้คราก่อนที่ทั้งสองทะเลาะทำสงครามเย็นกัน เพราะหนิงเซ่าชิงถูกคนเรียกว่าสามีทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเข้าใจผิดนั้น
นึกไม่ถึงว่าสตรีที่เรียกหนิงเซ่าชิงว่าสามีนางนั้น จะเป็นคุณหนูตระกูลสวี่ที่จะแย่งบุรุษรูปงามที่ทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว!
สถานที่ทำเครื่องปรุงของมั่วเชียนเสวี่ยก็คือที่ดินที่บิดาของคุณหนูสวี่ชดเชยให้ทั้งหมด
ครานี้กุ่ยซากับเตาหนูรู้ว่าหนิงเซ่าชิงกับมั่วเชียนเสวี่ยทำสงครามเย็นกันเพราะเรื่องสีเคลือบ ดังนั้นจึงรีดไถคนอื่นโดยตรงเมื่อสบโอกาส