กุ่ยซากับเตาหนูต่างเป็นคนในเงา ใครทำกิจการอะไรพวกเขาต่างพอจะรู้กันอยู่บ้าง
นายท่านสวี่ผู้นี้นอกจากจะเป็นผู้ครอบครองทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยวผืนใหญ่นั่นแล้ว ยังทำกิจการซื้อมาขายไปด้วย
สีเคลือบในเมืองหลวงเมื่อก่อนส่วนใหญ่ล้วนมาจากเขา เพียงแต่ไม่กี่ปีมานี้เขาอายุอานามมากแล้ว ลูกสาวก็ไม่ดิ้นรนขวนขวาย จึงไม่มีกิจการนี้อีก เขาจึงเกษียณตัวอยู่ที่บ้าน
กุ่ยซากับเตาหนูทำให้เขาเลือดตกยางออก เห็นว่าขอแค่เขาขนย้ายสีเคลือบจำนวนมากมาจากด้านนอกได้ ค่อยเฝ้าสินค้าชั้นเยี่ยมของพวกเขาเอาไว้ เจ้านายของพวกเขาก็จะไม่ถือสาเรื่องนี้อีก
บ้านเดิมของตระกูลสวี่ยามนี้ล้มละลาย จากความสัมพันธ์เก่าก่อนเขาได้สีเคลือบจำนวนมากจากพ่อค้าเร่ที่ขนส่งจากต่างแดนไปยังทุกพื้นที่ และเพิ่มจำนวนคนงานและเรือเร็วให้ส่งโดยตรงมา
นี่ยังไม่เท่าใด ครึ่งเดือนผ่านพ้นไป สีเคลือบเพิ่งจะนอนอยู่ในโกดังตระกูลหนิง หนิงเซ่าชิงจึงได้กล้ามั่นใจเล่าให้ฟัง
แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าพวกเขาสองคนทำเช่นนี้ค่อนข้างไร้คุณธรรมไปหน่อย แต่ก็จำต้องชื่นชมทั้งสองคนนี้อยู่ในใจ
เรื่องนี้ทำได้ดีเยี่ยม!
อีกทั้งเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเตาหนูกับกุ่ยซาจะสนใจสาวใช้ของเชียนเสวี่ย กุ่ยซาชอบชูอี เตาหนูตอบเขาว่าชอบสืออู่
เขาคิดว่าในเมื่อทั้งสองคนสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงแก่เขาเช่นนี้ อีกทั้งนิสัยของทั้งสองคนก็มั่นใจได้ ดังนั้นหากสาวใช้สองนางนี้ก็มีใจเช่นกันล่ะก็ ไม่สู้สนับสนุนพวกเขาให้สมปรารถนาจะดีกว่า
แบบนี้พวกเขาจะได้ยิ่งจัดการธุระให้เขากับเสวี่ยเสวี่ยได้อย่างจงรักภักดี
มั่วเชียนเสวี่ยฟังจบก็ชื่นชมอยูในใจ แต่ปากกลับเอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องดูการแสดงออกของพวกเขาก่อน”
โบราณกล่าวไว้อย่างดีว่าเงยหน้าแต่งงาน ก้มหน้าสู่ขอภรรยา
แม้ว่านางจะไม่ได้แต่งงาน แต่สาวใช้สองนางนี้ก็เป็นคนที่สนิทกับนางที่สุด จะตอบตกลงตามอำเภอใจเกินไปไม่ได้ เดี๋ยวภายหน้าพวกเขาทั้งสองคนจะไม่ทะนุถนอมพวกนาง
อีกอย่างกุ่ยซามีใจให้ชูอีน่ะนางรู้ ชูอีก็มีใจให้กุ่ยซาเช่นกัน นางเคยลองหยั่งเชิงแล้ว
แต่นางไม่คิดเลยสักนิดว่าเตาหนูจะมีใจให้สืออู่!
ทว่าสืออู่นิสัยไม่อินังขังขอบแบบนั้น หากมีเตาหนูที่เป็นคนรอบคอบระมัดระวังคอยเตือนอยู่ข้างๆ ก็ไม่เลวเลยทีเดียว
แต่คิดมามากมายเพียงนี้ สุดท้ายแล้วก็ยังต้องดูเจตนาของตัวสืออู่เองอยู่ดี
หากสืออู่ไม่ชอบเตาหนู นางจะแต่งกับเตาหนูเพราะเจ้านายตัวเองเห็นว่าเตาหนูดีไม่ได้
สุดท้ายนางก็ยังคงเป็นคนหัวประชาธิปไตย นางหวังว่าบรรดาสาวใช้ของนางจะมีความต้องการของตัวเอง มีชีวิตที่ชื่นชอบ
แม้ประโยคนี้จะไม่ได้ตอบตกลง แต่ก็เหมือนเห็นด้วยอยู่กลายๆ แล้ว
หากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่างานแต่งงานของทั้งสองคนนี้ก็จัดขึ้นได้ หนิงเซ่าชิงยิ้มเอ่ยว่า “เสวี่ยเสวี่ยเจ้าวางใจได้เลย พวกเขาสองคนไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อชูอีและสืออู่แน่นอน”
มั่วเชียนเสวี่ยคล้ายข่มขู่คล้ายหยอกเล่นว่า “พวกเขากล้าก็ลองดูสิ!”
ทว่า…
เอ่ยมาถึงตรงนี้มั่วเชียนเสวี่ยก็ลับอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“หนิงเซ่าชิง ท่านว่าที่ทำแบบนี้เรียกว่าท่านเอาของดีไปแลกแล้วชดเชยให้คืนหรือไม่”
ประโยคนี้…เหตุใดฟังดูแล้วจึงเหมือนอยากขายออกไปอย่างไรอย่างนั้น
หนิงเซ่าชิงหรี่ตาลงสองข้างอย่างอันตราย ก่อนมองแววตาของมั่วเชียนเสวี่ยราวกับหมาป่า
“เสวี่ยเสวี่ย หมู่นี้ข้าคงห่วงแต่ว่าเจ้าจะเหนื่อยเกินไปกระมัง จึงทำให้เจ้ามีเวลาว่างมากมายเช่นนี้ไปคิดเพ้อเจ้อพวกนั้น”
ทันใดนั้นมั่วเชียนเสวี่ยที่ยังคงนั่งอยู่ในอ้อมกอดหนิงเซ่าชิงได้ยินดังนั้นสีหน้าก็แข็งค้าง ร่างกายพลันแข็งทื่อ
“พี่ชายแสนดี…พวกเรากำลังพูดคุยเล่นกันอยู่มิใช่หรือ…แหะๆ…แหะ…”
หนิงเซ่าชิงหมาป่าตัวนี้ หากปล่อยให้เขาทำทุกอย่างตามอำเภอใจล่ะก็ นางอย่าได้คิดว่าจะลงจากเตียงได้ภายในสามวันนี้เลย
นิสัยเสียๆ เช่นนี้จะตามใจไม่ได้เด็ดขาด!
หนิงเซ่าชิงย่อมรู้ว่าหมู่นี้มั่วเชียนเสวี่ยตึงเครียดมาก ยามนี้กว่าจะผ่อนคลายลงมาได้หน่อย เขาหักใจกวนนางไม่ได้
เขาจึงจุมพิตแก้มนางเบาๆ ในน้ำเสียงจนใจและแฝงด้วยความรักใคร่อย่างปิดไม่มิด
“เจ้านี่นะ…”
กับนางน่ะ จะเบาไปก็ไม่ได้ หนักไปก็ไม่ได้
สีเคลือบของทางมั่วเชียนเสวี่ยหามาได้แล้ว สามารถมีให้มั่วเชียนเสวี่ยใช้ได้อย่างสบาย
ทว่าคดีไฟไหม้จวนกั๋วกงในเมืองหลวงนั้นก็ถูกเปิดเผยอย่างรวดเร็วในการสืบสวนอย่างละเอียดของฮ่องเต้ที่ดูเหมือนว่าจะผิดกฎหมาย
อันที่จริงเรื่องนี้ใครเป็นคนทำทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจ
ทว่าพวกเขารู้ดีแต่ไม่ได้หมายความว่าบรรดาชาวเทียนฉีจะรู้ด้วย ฮ่องเต้ถูกกดดันให้ตรวจสอบคดี คุยโม้คุยโตแต่ทำไม่ค่อยได้และทำลวกๆ ให้มันผ่านพ้นไป
ทรงเรียกกลุ่มขุนนางมาปรึกษาหารือ ซ้ำยังแสร้งระเบิดโทสะยกใหญ่ออกไปอีก สุดท้ายก็มอบเรื่องนี้ให้แก่ใต้เท้าหวังที่เป็นขุนนางในส่วนภูมิภาคไปสอบสวนอย่างละเอียด!
ฮ่องเต้เอาแต่ชี้นิ้วสั่ง โดยไม่เคยลงมือทำเอง ใต้เท้าหวังผู้น่าสงสารกลับจำต้องเป็นมือปืนแทน
เมื่อใต้เท้าหวังนึกถึงพฤติกรรมคุยโม้คุยโตแต่ทำไม่ค่อยได้ของฮ่องเต้แล้วเขาก็รู้แจ้งแก่ใจอย่างดี รู้ว่าตัวเองไม่มีทางตรวจสอบอะไรได้เลย! มากสุดก็แค่หาแพะรับบาปมาแทนสองสามคนเท่านั้น
เขาจะกล้าโยนความผิดของเรื่องนี้ไปให้ใต้เท้าอู่ฉังที่เป็นคนสนิทของฝ่าบาทได้อย่างไร
ดังนั้นจุดจบของเรื่องนี้ก็แค่พวกขโมยขโจรที่ขโมยของจวนกั๋วกงไม่ทันระวังทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น สร้างความเสียหายสาหัสให้แก่จวนกั๋วกง จากนั้นก็จับโจรมาตัดหัวบนถนนอย่างรวดเร็ว
เป็นอันปิดคดี!
ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงก็แค่สบตาหัวเราะกันเท่านั้น
ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ แม้ว่าพระองค์จะวางเพลิงฆ่าคน ก็จะมีคนมาเป็นแพะรับบาปให้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นครานี้ไม่ใช่คำสั่งของเขา
อยากให้เขาโยนความผิดใส่คนอื่นนั้นเป็นไปไม่ได้
พวกเขาจะรีบร้อนกับเรื่องนี้ไม่ได้ อย่างไรเสียกระต่ายเวลาโดนเร่งก็ยังกัดคนได้[1] นับประสาอะไรกับฮ่องเต้ของแคว้น แม้ว่าจะไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้ แต่หากฝ่าบาทลงมือโหดเหี้ยมสร้างปัญหาขึ้นมาจริงๆ ก็รับมือได้ยากเช่นกัน
ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงเดือนหกแล้ว
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ร้อนที่สุดแห่งปี พวกช่วงชิวเหล่าหู่[2]ยังไม่ดุร้ายเท่าคนร้ายในฤดูร้อนเลย
เมื่อเรือนกระจกค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้ามั่วเชียนเสวี่ยก็เพิ่มขึ้นมาก นางใช้ชีวิตอย่างเต็มอิ่มทุกวัน
หนิงเซ่าชิงในระยะนี้เฝ้ามาหาอยู่ทุกวี่วันโดยไม่มีอะไรมาขวางได้ แม้ว่าบางคราจะมาไม่ได้ ก็ยังส่งจดหมายมาให้เหมือนเคย ทั้งสองรักใคร่กลมเกลียวกันเสียจนทุกคนอิจฉา เลี่ยนจนเข็ดฟันทีเดียว!
ชูอีกับกุ่ยซาหมั้นหมายกันอย่างราบรื่น โดยมั่วเชียนเสวี่ยกับหนิงเซ่าชิงเป็นคนจัดการให้ รอเพียงมั่วเชียนเสวี่ยเข้าประตูใหญ่ตระกูลหนิงมาก็จะจัดงานให้พวกเขาอีกหน
อีกคู่หนึ่งนั้น เตาหนูแสดงความไม่พอใจของตัวเองออกมาไม่น้อย!
ก่อนที่สืออู่จะรู้ความในใจของตน ยังสามารถทะเลาะหยอกเล่นกับเขาได้โดยไม่คิดอะไรมาก ทว่าตั้งแต่มั่วเชียนเสวี่ยบอกเล่าความกระจ่างแล้ว เตาหนูก็อยู่ไม่สุขทันที!
[1] กระต่ายเวลาโดนเร่งก็ยังกัดคนได้ เปรียบเปรยว่าคนจิตใจดีงามเมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหวก็กล้าทุ่มชีวิตต่อต้านเช่นกัน
[2] ชิวเหล่าหู่ ช่วงเวลาชิวเหลาหู่จะเกิดขึ้นระหว่างสิงหาคมกับกันยายน ตั้งอยู่ในช่วงเวลาอากาศต้องเย็นลงแต่กลับมีความร้อนกลับมาซักพัก