หัวใจเต้นถี่แรงราวกับชำรุด เหงื่อเย็บเฉียบเอ่อล้นออกมาท่วมกาย
ร่างแข็งทื่อไม่ยอมขยับราวกับเป็นกบบินที่กำลังถูกมาดาระสเนค (งูปล้องฉนวน) จับจ้องมองเป็นเหยื่อ ดาบสั้นจวนเจียนใกล้จะร่วงหล่นลงจากมือ หัวถูกย้อมกลายเป็นสีขาวโพลน
และมาดาระสเนค—หรือจิเซล—ที่จ้องเขม็งตรงมายังตัวผมที่สุดแสนจะน่าสมเพชคนนี้ ราวกับกำลังดูหมิ่นดูแคลนอยู่นั่น ก็พลันก้าวเท้าเข้ามาอยู่ประจำตำแหน่งก่อนเริ่มต้นการสอบ พร้อมกับปล่อยเสียงอันทุ้มต่ำจนแทบทำเอาผมขวัญเสียออกมา
“ ตลอดหนึ่งเดือนหลังจากเหตุมอนสเตอร์บุกนั่น ไม่มีใครเห็นแกเลยซักกะคน ไอ้ฉันรึก็นึกว่าแกจะตายโหงไปแล้วซะอีก ที่ไหนได้……..<<ไร้อาชีพ>> เนี่ยนะคิดจะสอบชิงสิทธิหลังเพิ่งโดนถีบหัวส่งออกจากโรงเรียนได้แค่เดือนเดียว…….!? ”
จิเซลฟาดบัสตาร์ดซอร์ดที่ถูกลับคมเพื่อใช้ในการฝึกกระแทกลงมากับพื้น โดยไม่มีพยายามที่จะปกปิดเก็บซ่อนความหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อยนิด จากนั้นจึงพ่นคำพูดที่ยากจะเชื่อออกมาใส่ผมที่สะดุ้งโหยงเพราะเสียงดาบกระทบพื้นดังลั่นอยู่
“ แถมยังได้ยินแบบนี้มาด้วยนะเว้ย.…! ตอนที่แกเข้ามาทำเรื่องขอสอบนั่น เห็นว่าถึงกับตามตื๊ออยากได้ฉันเป็นคู่ต่อสู้ยกใหญ่เลยนี่หว่า…….! ”
“ ห้ะ……..!? ไม่นะผมไม่ได้…….อ๊ะ…….? ”
เป็นในพริบตานั้นเอง ที่ผมเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด รู้ในทันทีเลยว่าทำไมการสอบชิงสิทธิมันถึงกลายเป็นอีหรอบนี้ไปได้
(เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่า คุณลีโอเน่คร้าบบบบบบบบบบบบบบบบ!?)
ผมส่งเสียงแผดร้องต่อคุณลีโอเน่อยู่ภายในใจ…..ให้ว่าแล้วคุณลีโอเน่เค้าก็เป็นคนที่จัดการทำเรื่องสอบชิงสิทธิให้ผมหมดทุกขั้นตอนทุกกระเบียดนิ้วเลยด้วยนี่นา
แต่ว่าเดี๋ยวก่อนนะ! เดี๋ยวก่อนสิ!
มันก็จริงนะผมอยากได้การฝึกแบบยากลำบากทรหดก็จริงแหละ คุณลีโอเน่เองก็พูดว่า [ยอมรับโดยสมบูรณ์ว่าถ้าอยากจะเก่ง บางครั้งก็ต้องฝ่าสถานการณ์คับขันเพื่อทำลายกำแพงขีดจำกัดอยู่เหมือนกัน] แบบนั้นด้วยก็จริงแหละ! แต่ไอ้สถานการณ์แบบในตอนเนี้ยมันก้าวข้ามเกินเลยขอบเขตของคำว่าสถานการณ์คับขันไปไกลโขแล้วนะครับ!?
สิ่งที่ถาโถมตรงดิ่งลงมาจากเบื้องบนนั่นก็คือ แววตามากมายนับไม่ถ้วนที่กำลังคาดหวังอยากจะเห็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยินและน่าสมเพชของผม กับเสียงหัวเราะเยาะดูหมิ่นดูแคลน—–และผู้ที่กำลังปลดปล่อยความพิโรธออกมาไม่หยุดยั้งอยู่เบื้องหน้า ก็ยังเป็นผู้ปกครองอันไร้เทียมทานของสถานกำพร้า ที่เกลียดขี้หน้าผมมาตั้งแต่อดีต
ความสามารถของเธอผู้นี้เป็นของแท้อย่างแน่นอนเลย เท่าที่ได้ยินจากเสียงพูดคุยของผู้คนที่มารับชมแล้ว เห็นว่าแค่ฝึกใช้เวลาเพียงเดือนเดียว ก็สามารถอัพจากเลเวล 15 ขึ้นมาเป็นเลเวล 17 ได้เลยอีกต่างหาก….ต่อให้อาชีพระดับต่ำมันจะเติบโตเร็วเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เถอะ แต่ก็ยังถือว่าโตเร็วมากจนผิดปกติอยู่ดีนั่นแหละ
แล้วแบบนี้ผม…จะไปมีทางชนะได้ยังไงกัน……..!
แม้หัวอันอลหม่านไปหมดมันจะถูกถมทับปกคลุมไปด้วยความเชื่อมั่นเช่นนั้น แต่แล้วผมก็ถูกคุณกรรมการยุจนเดินโซซัดโซเซมาเข้าประจำตำแหน่งก่อนเริ่มต้นการสอบซะได้
ปลายของดาบสั้นที่แค่จะกุมเอาไว้ก็ยังแทบเต็มกลืนนั่น มันสั่นเทิ้มอย่างน่าสมเพชสุดๆ
“ ริอาจมาดูหมิ่นฉันคนนี้ได้นะ……! คราวนี้ล่ะจะฆ่าทิ้ง เอาให้แกพูดเพ้อเจ้ออยากจะเป็นนักผจญภัยอะไรนั่นไม่ได้อีกเป็นครั้งที่สองเลย! ”
——-เปิดศึก!
ในฉับพลันที่จิเซลยกเอาบัสตาร์ดซอร์ดขึ้นมาเตรียมพร้อมรบพลางลั่นออกมาด้วยโทนทุ้มต่ำว่าเช่นนั้น ก็มีเสียงของกรรมการดังก้องเข้ามาจากจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป
“ โอร่าาาาาาาาาาาา! วิชาดาบ <<กวาดระนาบ>> ! ”
“ อิ๊……..!? ”
พริบตาหลังจากเปิดศึก จิเซลก็แผดเสียงร้องลั่นดังกังวาน พลางเรียกใช้งานสกิลแล้วพุ่งทะยานตรงดิ่งอัดเข้ามาใส่
สมรรถภาพร่างกายที่ถูกปลดปล่อยออกมาผ่านสเตตัสเลเวล 17 นั่นมันทรงพลังท่วมท้นมาก แค่ชั่ววินาทีเดียวก็ย่นระยะเข้ามาใกล้ได้แล้ว
ฉับพลันนั้น สิ่งที่ล่องลอยปรากฎเข้ามาอยู่ในหัวของผม ก็คือภาพความทรงจำในสมัยที่ถูกกลั่นแกล้งอยู่เสมอๆตลอดเวลาที่สถานกำพร้า
ความเจ็บปวด ความน่าสะพรึงกลัวของสกิลที่ถูกปล่อยกระแทกกระทั้นอัดเข้ามากลางร่างของผมเต็มๆ เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
ร่างกายที่หวาดหวั่นสุดขีดมันปฎิเสธที่จะขยับ ผมได้แต่ปล่อยเสียงกรีดร้องอันแสนน่าสมเพชออกมา พลางตั้งดาบขึ้นแบบส่งๆขอไปที
(สะ สกิล <<เคลือบแข็งร่างกาย (เล็ก)>> ……..)
และสิ่งที่ผมฝืนใจเรียกใช้งานขึ้นมาได้แบบหืดขึ้นคอหลังจากบีบร่างตัวเองให้ลีบเล็กลงตามสัญชาติญาณ….ก็คือสกิลสายป้องกันที่จะช่วยยกระดับความทนทานต่อการโจมตีทางกายภาพขึ้นมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทว่า
“ อุก..อ๊าาาาาาาาาาาาาา!? ”
ตัวผมที่รับการโจมตีของจิเซลด้วยดาบ—-กลับถูกเป่าลอยกระเด็นปลิวไปอย่างง่ายๆ
แค่ปกติก็มีความห่างชั้นทางเลเวลอยู่แล้ว นี่คลาส <<นักรบทำลายล้าง (ฝึกหัด)>> ของจิเซลยังเป็นอาชีพที่มีความถนัดเฉพาะทางในด้านสเตตัสการโจมตีอีก……ยิ่งถ้าจิเซลใช้สกิลโจมตีพ่วงเข้ามาด้วยอีกนี่ จะประลองกำลังแพ้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดเลย
………….ทว่า
“ ……….อ้าว? ”
เป็นในระหว่างที่กำลังกลิ้งเกลือกหลายต่อหลายรอบอยู่เหนือจุดที่ถูกส่งปลิวมานั่นเอง ที่ผมพลันสังเกตได้ถึงอะไรแหม่งๆบางอย่าง
ไม่เจ็บอย่างที่คิดไว้แฮะ
เพราะรับการโจมตีตรงๆ มือข้างที่จับดาบเอาไว้ก็เลยแสบจี๊ดๆชาไปหมด แรงกระแทกที่เกิดขึ้นในตอนที่กลิ้งเกลือกไปตามพื้นนั่นก็ทำเอาปวดระบมไปทั่วทั้งร่างก็จริง……แต่ก็ไม่ได้เจ็บมากขนาดที่จะทำให้สู้ต่อไม่ไหว เป็นเพราะได้สกิลป้องกันช่วยเอาไว้งั้นสินะ
………นี่ผม ทนการโจมตีของจิเซลได้…….? ไม่สิให้ว่าแล้ว มองตามทันได้ด้วยเหรอ……?
ความจริงเรื่องนั้นทำเอาผมถึงกับอึ้งตะลึงงัน——แต่แล้วก็พบว่า ยังมีคนกลุ่มอื่นๆที่กำลังตกตะลึงมากซะยิ่งกว่าผมหลายต่อหลายเท่าตัวอยู่อีก…..เหล่าผู้คนจากที่นั่งคนดู แล้วก็จิเซลที่เป็นผู้ปลดปล่อยการโจมตีนั่นออกมาน่ะเอง
“ …………..!? อ๊าา? นั่นแกใช้ลูกไม้อะไรน่ะ……..!? ”
คงคิดกะจะทำลายหัวใจของผมให้หักโค่นโดยสมบูรณ์ภายในการโจมตีครั้งนั้น…..หรือไม่ก็กะจะเผด็จศึกในดาบเดียวนั่นเลยละมั้ง
แม้จะประลองกำลังชนะได้ชัยไปครองโดยสมบูรณ์แบบ แต่พอเห็นผมยืนกลับขึ้นมาได้อย่างปกติแล้ว จิเซลก็ถึงกับดวงตาเบิกโพลง—ทว่าท่าทางตกตะลึงนั่นก็เลือนหายไปโดยเร็ว จิเซลหรี่ดวงตาลงมา ก่อนจะ
“ ……..งี้นี่เองเรอะ ฟลุ๊คดวงดีได้สกิลสายป้องกันมาอันนึง ก็เลยกระดี๊กระด๊าได้ใจวิ่งแจ้นมาขอสอบชิงสิทธิว่างั้น? —-แต่ว่านะเว้ย ไอ้ขยะที่สเตตัสทุกช่องเป็น 0 หมดอย่างแกน่ะ อย่าริอาจคิดว่าจะทานทนรับการโจมตีของฉันตอนเอาจริงไปได้ตลอดรอดฝั่งเชียวนะโว้ย! วิชาดาบ <<คมบิดเกลียว>> ! ”
พอตั้งดาบขึ้นมาใหม่ด้วยหน้าตาเหมือนเคลียร์เรื่องที่สงสัยได้แล้ว….จิเซลก็พลันพุ่งกระชั้นชิดเข้ามาใส่ผมอีกครั้ง
ดูเหมือนจะประยุกต์ <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล็ก)>> เข้ามาร่วมด้วย ทำให้รวดเร็วมากยิ่งกว่าเมื่อตะกี้นี้ซะอีก
การพุ่งเข้าคุกคามแสนทรงอานุภาพของจิเซลที่เปิดฉากเอาจริง
แต่ตัวผมที่ได้สติกลับมาหลังจากรับการโจมตีของจิเซลเข้าไปครั้งนึงนั้น กลับสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง
ไม่เห็นจะรู้สึกว่า…..น่ากลัวเลยซักนิด…….?
ตอนแรกสุดนั่น ร่างมันแข็งทื่อเพราะความกลัวต่อจิเซลที่ถูกฝังสลักลึกอยู่ภายในใจ แต่พอลองสู้ดูจริงๆจังๆแล้วก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนเลย
หากเทียบกับตอนที่ฝึกฟาดดาบอยู่กับคุณลีโอเน่ที่ค่อยๆเพิ่มอานุภาพของสกิล <<กดดัน>> ขึ้นทีละนิดๆทุกครั้งที่สู้ประลองฝีมือกันแล้วละก็ —–หากเทียบกับ <<ฮาวล์>> อันแสนจะโหดร้ายป่าเถื่อนนั่นแล้วละก็
ทั้งความพิโรธและจิตสังหารที่จิเซลปล่อยออกมานั่น…..มันก็ดูจิ๊บจ๊อยไปในทันตาเห็นเลย
………ไม่สิ ว่าตามตรงแล้วตอนนี้มือก็ยังสั่นนิดๆอยู่เลย ความรู้สึกอยากจะทิ้งการสอบแล้วหนีไปให้พ้นๆนั่นมันก็ยังคงอยู่ในอกไม่ได้เลือนหายไปไหน คนเราไม่อาจเอาชนะก้าวข้ามความกลัวที่ฝังลึกไปถึงแก่นได้ภายในฉับพลันหรอก —–แต่ทว่า ร่างกายของผมน่ะ ตอนนี้มันขยับแล้ว
และในเมื่อการต่อสู้มันเริ่มต้นขึ้นแล้ว ใจก็จะเพ่งเล็งจดจ่อโฟกัสไปยังสิ่งนั้นเพียงสิ่งเดียวได้ราวกับว่าฟันเฟืองทั้งหลายภายในร่างมันหมุนผสานรวมกันเป็นระบบ สายตานับไม่ถ้วนที่กระหน่ำถาโถมลงมาจากเบื้องบนนั่นไม่ได้อยู่ในหัวผมอีกต่อไปแล้ว จิตมันดำดิ่งลงสู่โลกแห่งการต่อยตีวิวาทอันแสนสนุกสนานรื่นเริง ราวกับธรรมชาติก่อสร้างรังสรรค์ผมขึ้นมาให้เป็นแบบนี้
ร่างกายที่ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยความประหม่าพลันเบาหวิว
และแล้วผมก็…..เอี้ยวตัวหลบการโจมตี—ที่จิเซลน่าจะเชื่อมั่นสุดใจว่าอย่างผมคงตอบสนองไม่ทันเป็นแน่—นั่นเอาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด
“ ฮึก!? อ๊าาา!? ”
แม้จะตกตะลึง แต่จิเซลก็ยังคงสภาวะบัฟสมรรถภาพร่างกายเอาไว้อยู่เช่นนั้น ก่อนจะกระชากลากเอาบัสตาร์ดซอร์ดที่จ้วงลมพลาดเป้าจากการใช้ <<คมบิดเกลียว>> มาฟาดฟันสะบั้นไม่ยั้งเป็นทั้งในแนวระนาบและแนวดิ่ง….ถือเป็นการโจมตีต่อเนื่องอันน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งเลย
พอลองสังเกตดูดีๆแล้ว ผมก็ล่วงรู้ขึ้นมาอีกครา ว่าจิเซลนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆนั่นแหละ แกร่งในระดับที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเพิ่งได้รับ <<คลาส>> มาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
ลองเอาแค่สเตตัสอย่างเดียวมาเทียบกันสิ สเตตัสของจิเซลที่เป็น <<นักรบทำลายล้าง (ฝึกหัด)>> เลเวล 17 …กับของผมที่ต้องพึ่งพาอาศัยสกิลเสริมเพื่อใช้ยกระดับเนี่ย มันคงต่างแล้วก็ห่างชั้นกันพอสมควรเลยนั่นแหละ ยิ่งถ้าเอาสกิลเข้ามาคิดรวมเข้าไปด้วยแล้ว ความต่างชั้นระหว่างผมกับจิเซลก็จะยิ่งห่างกันมากเข้าไปใหญ่เลย
“ จบกันแค่นี้ล่ะไอ้ขยะบัดซบ! ”
คิดไม่ผิดจริงๆ การโจมตีต่อเนื่องของบัสตาร์ดซอร์ดมันแล่นทะยานเฉือนเข้ามาหาผมได้อย่างง่ายดายเลย
แต่ผมก็หาทางยกดาบขึ้นรับการโจมตีทั้งหลายนั่นได้ พร้อมกับเรียกใช้สกิลป้องกันฝืนต้านทานเอาไว้อีกครา
สกิลหลบหลีกนั้นยังไม่ใช้ เพราะกะจะเก็บเอาไว้ในหลังจากนี้
“ !? ทนได้อีกแล้ว!? ………….หนอยแน่ เป็นแค่ไอ้ควายที่เล่นเป็นอยู่แค่มุกเดียวแท้ๆ——! ”
จิเซลคำรามลั่นหลังจากเห็นผมลุกกลับขึ้นมาอีกรอบ ร่างนั้นทะยานตรงดิ่งอัดเข้ามา และคราวนี้ผมเอง—ก็ทะยานตัวอัดเข้าไปใส่จิเซลตรงๆอย่างซึ่งหน้าอีกเช่นกัน ราวกับเป็นการตอบรับต่อเสียงร้องคำรามของเธอผู้นั้น
สิ่งที่ล่องลอยเข้ามาอยู่ในหัว ก็คือคำสอนที่คุณลีโอเน่พูดให้ฟังในระหว่างช่วงพักสู้ประลองฝีมือ
——-ฟังให้ดีนะครอส สกิลบัฟสมรรถภาพร่างกาย โดยเฉพาะสายความว่องไวเนี่ยอย่าเปิดใช้ทิ้งเอาไว้ทั้งๆแบบนั้นเด็ดขาดนะ กว่าจะทำได้คงต้องยกระดับความชำนาญแล้วก็ต้องรู้เคล็ดลับนิดหน่อยก็จริง แต่เจ้าพวกสกิลสายเนี้ยอะนะ เราต้องหมั่นเปิดปิดเอาไว้ให้เป็นอยู่เสมอ เพราะไม่ว่าจะเป็น <<คลาส>> ใดๆ แต่ตาของคนเรามันก็มีระดับความชินเหมือนกันหมดนั่นแหละ……ไอ้คนที่ขยับตัวเคลื่อนไหวด้วยความเร็ว 100 อยู่เสมอๆตลอดเวลาเนี่ย เชือดง่ายซะยิ่งกว่าคนที่รู้จักสลับใช้ระหว่างความเร็ว 50 กับ 80 เรื่อยๆซะอีก
“ <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย>> ! <<ฟันแหวก>> ! ”
“ ขุ่ก…….!? มันอะไรกันน่ะไอ้เจ้านี่…….!? อย่าบอกนะว่าสกิลโจมตี!? แถมการเคลื่อนไหวแบบนี้มัน….ไอ้เวรนี่มันน่าจะมีสเตตัสเป็น 0 หมดทุกช่องไม่ใช่เหรอวะ…….!? ”
สะบั้นเบิกทางโดยใช้สกิลยกระดับกำลังและความว่องไวขึ้นมาเช่นเดียวกับจิเซล
เป็นไปตามที่คุณลีโอเน่สอนมาเป๊ะเลย พอรอจังหวะเรียกใช้สกิลบัฟเฉพาะในตอนที่กำลังจะโจมตีเท่านั้นแล้ว ความเร็วที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างเฉียบพลันของตัวผมมันก็ทำเอาจิเซลถึงกับผงะ ฝ่ายรุกแปรเปลี่ยนกลายเป็นฝ่ายรับ ฝ่ายรับพลิกกลับกลายมาเป็นฝ่ายรุก เป็นครั้งแรกเลยที่จิเซลถูกบีบให้ต้องมาตั้งท่าป้องกันบ้าง
ทว่า คงเป็นเพราะสเตตัสดั้งเดิมของเรามันห่างกันมากเกินไปละมั้ง
จิเซลที่น่าจะไม่ได้คาดคิดคำนึงถึงโอกาสที่ <<ไร้อาชีพ>> จะเปิดใช้สกิลโจมตีเลยแม้แต่นิดนั้น กลับหลบหลีกการโจมตีต่อเนื่องทีเผลอของผมได้อย่างไม่ลำบากยากเย็น แถมต่อให้ตีโดน แต่ก็คงจะถูกพลังป้องกันอันสูงส่งของจิเซลกั้นเอาไว้ ไม่เพียงพอที่จะเผด็จศึกได้อยู่ดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปละก็เส้นทางไปถึงชัยชนะไม่มีวันเปิดอ้าออกแน่
ทว่า นี่ก็เป็นไปตามที่ผมวางแผนเอาไว้แล้วล่ะ คำพูดของคุณลีโอเน่มันลอยขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
——-ในการต่อสู้เนี่ย การเลือกสกิลกับวิธีการใช้มันจะถือเป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดเลย ต่อให้หลบเอาตัวรอดได้ตลอดรอดฝั่งแต่ถ้าสเตตัสต่างชั้นกันมากเกินก็อย่าหวังเลยว่าจะชนะ ยกตัวอย่างนะ ยกตัวอย่างเช่นถ้าศัตรูมันมีพลังป้องกันสูงมากเกินไปจนตีไม่เข้าเลยเนี่ย ต่อให้ทำยังไงก็ปราบไม่ได้หรอก….ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่แกซึ่งยกระดับสเตตัสลำบากสมควรต้องทำเป็นอย่างแรก ก็คือการคว้าเอาพลังทำลายล้างที่เพียงพอจะใช้โค่นศัตรูได้มาครองนั่นเอง
——-และฉันก็มีสกิลเหมาะๆจะแนะนำอยู่พอดีเลย เอ้อ แต่มันก็เป็นสกิลระดับล่างแหละนะ ถึงจะมีข้อจำกัดอยู่มั่ง แต่ก็เป็น เอ็กตร้าสกิล สุดสะดวกที่ยิ่งศัตรูมีพลังมากเท่าไหร่อานุภาพการโจมตีของสกิลก็จะยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้นตามเท่านั้น แถมถ้าเรียกใช้งานได้เป๊ะถูกจังหวะละก็ รับรองฟันธงเลยว่าศัตรูหลบไม่พ้นแน่ๆ
เล่นซ้ำคำพูดของคุณลีโอเน่ให้ดังอยู่ในหัวไปพลาง กระหน่ำโจมตีเข้าใส่จิเซลไปด้วย และแล้วการต่อต้านอันกระจอกงอกง่อยของผม ก็ผลักดันทำให้ความเยือกเย็นหลุดร่วงเลือนหายไปจากสีหน้าของจิเซล ทุกครั้งที่การโจมตีของ <<ไร้อาชีพ>> แล่นเฉี่ยวร่างไป ความร้อนรนและความหงุดหงิดมันก็ยิ่งเพิ่มพูน จนดวงตาข้างนั้นดูราวกับว่าถูกห่อหุ้มปกคลุมไปด้วยความพิโรธเลยก็มิปาน
และเนื่องจากต้านเอาไว้ได้เป็นระยะเวลานาน ทำให้การโจมตีของผมที่เริ่มจะชินกับการเคลื่อนไหวของจิเซล…มันแล่นเฉือนชุดเกราะของสาวน้อยไปได้แบบกึ่งๆบังเอิญ เป็นฉับพลันที่เกิดเสียงดังกรี๊กกสนั่นก้องไปทั่วทั้งสนามประลองนั่นเอง
“ ………..ขึก! อย่ามาทำเป็นได้ใจใหญ่นะเว้ยไอ้ครอส 0 ตลอดศก! ”
จิเซลระเบิดอารมณ์
จู่ๆจิเซลก็ผละตัวถอยห่างไปจากผมด้วยการเคลื่อนไหวที่ไม่เป็นธรรมชาติ….คงจะใช้สกิลหลบหลีกละมั้ง
และเมื่อทำการใช้สกิลยกระดับสมรรถภาพร่างกายให้พุ่งสูงกลับขึ้นมาอีกครั้ง สาวน้อยก็ตั้งบัสตาร์ดซอร์ดใหม่ด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ ฉันจะฆ่าแกทิ้งให้ดู…….! Lv9…….<<สะบั้นสองคม>> ! ”
“ ……….ขึก! ”
ไม่ผิดแน่นอน นั่นแหละคือการโจมตีอันยิ่งใหญ่ที่สุดและรวดเร็วที่สุดของจิเซล
ปลดปล่อยแรงกดดันที่หนักหน่วงระดับเทียบชั้นกับตลอดมานี่ไม่ได้ออกมา แล้วจากนั้นจิเซลที่ย่นระยะห่างระหว่างสองเราเข้ามาได้ภายในชั่วพริบตาเดียว ก็พลันทุ่มจิตสังหารทั้งหมดทั้งมวลเท่าที่ตนเองมีใส่เข้าไปในบัสตาร์ดซอร์ดแล้วฟาดดิ่งตรงลงมา
สิ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมเสียงคำราม ก็คือท่าไม้ตายที่ถูกเสริมด้วยกำลังอานุภาพระดับที่ต่อให้ผมเปิดใช้สกิลป้องกันแล้วตั้งท่าการ์ด ก็คงไม่วายถูกบดขยี้จนแหลกในเปรี้ยงเดียวเลยอยู่ดี
ฉะนั้นผมจึง——
พุ่งตรงเอาหน้าดิ่งเข้าหาการโจมตีนั่นซะเลย ……แม้ความกลัวมันจะพยายามรัดพันหยุดการเคลื่อนไหวของมือและขาให้ไม่ยอมขยับ แต่ในนาทีสุดท้ายของสุดท้าย สิ่งที่ช่วยผลักหลังผมให้ก้าวตรงออกไปได้ ก็คือคำพูดอันแสนอ่อนโยนนั่นของคุณลีโอเน่
——-ฟังดีๆล่ะ? สิ่งที่สำคัญต่อการใช้เอ็กตร้าสกิลนี่ก็คือความกล้าแหละ กล้าที่จะไม่หวั่นไหวต่อจิตสังหารของศัตรูที่พุ่งตรงเข้ามาแบบกะจะฆ่า กล้าที่จะคอยเฝ้าสำรวจการเคลื่อนไหวของศัตรูอย่างเยือกเย็น และสุดท้ายแล้วความกล้าหาญพร้อมจะพุ่งทะยานตรงเข้าใส่ท่าไม้ตายนั่นแหละ จะเป็นตัวกระชากชิงเอาชัยมาให้เป็นของเราได้
——-เอ้อแต่สรุปแล้ว ที่อยากจะสื่อก็คือ เป็นสกิลที่โคตรจะเหมาะกับแกที่วิ่งตรงดิ่งเข้าใส่ฮีโดร่าได้อย่างไม่คิดหน้าคิดหลังเป๊ะๆเลยนั่นแหละนะ
คุณลีโอเน่พูดด้วยรอยยิ้มอย่างดุดัน พลางส่งต่ออาวุธนั่นมาให้กับผม นามของเอ็กตร้าสกิลที่ถือกำเนิดเกิดจากการนำเอา <<หลบหลีกฉุกเฉิน>> กับ <<ฟันแหวก>> มาผสมผสานร่วมกันนี้ก็คือ——-
“ เอ็กตร้าสกิลระดับล่าง—— <<ครอสเคาน์เตอร์>> !! ”
ในสภาวะเพ่งเน้นสมาธิขั้นสุดยอด ที่พริบตาเดียวรู้สึกเหมือนกับว่ายาวนานเป็นชั่วนิรันดร์นี่
คมดาบของจิเซลที่เคลื่อนไหวตรงแหน่วเนื่องจากขาดความเยือกเย็นมันสะบั้นเส้นผมหลุดร่วงไปหลายสิบเส้น เฉี่ยวหู แล่นสวนทางถูไถเสื้อของผมที่กำลังบิดเอี้ยวร่างกายไป—-และแล้วสิ่งที่พลันถูกปลดปล่อยพุ่งทะยานออกไปราวเป็นการสวน (ครอส) กับการโจมตีนั่น——ก็คือดาบสั้นของผมที่มีพลังเวทอัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม
และปลายทางของการโจมตีครั้งนี้ก็คือ จุดบอดของสติสัมปชัญญะ เพราะว่ากำลังเพ่งเล็งอยู่กับการโจมตีนั่นเอง——-เพราะหลงคิดว่าตนเองคือฝ่ายที่กำลังโจมตีนั่นเอง——–มันจึงได้เกิดเป็นช่องว่างอันเปลือยเปล่าไร้ซึ่งการป้องกัน ขึ้นมาตรงสีข้างของจิเซล
“ ห้ะ——-!? ก๊าาาาาาาาาาาาาาาาา!? ”
กระแทกดาบสั้นเข้าไปกลางร่างกายของจิเซล โดยไม่ลืมที่จะเล็งไปตรงบริเวณเหนือชุดเกราะเพื่อไม่ให้เกิดแผลฉกรรจ์
ไม่ได้ขี้กังวลโอเวอร์เกินเหตุไปเลยแต่อย่างใด
เพราะนี่มันคือกำลังอานุภาพระดับที่ตัวผมเพียงคนเดียวไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้อย่างแน่นอน การโจมตีของดาบสั้นที่ซึมซับเอาพาวเวอร์จากการพุ่งเข้าชนที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังเวทของจิเซลเข้ามาด้วยนั้น มันเป่าร่างของสาวน้อยให้ลอยปลิวกระเด็นไปได้อย่างง่ายดายเลย
จิเซลกลิ้งเกลือกไปตามพื้นหลายต่อหลายครั้ง จนบัสตาร์ดซอร์ดร่วงหล่นลงจากมือข้างนั้นในที่สุด
แกร้งแกร้ง……..ดาบตกกระทบพื้น เป็นเสียงที่ไม่ได้ดังอะไรเลยแท้ๆ แต่หูของทุกคนกลับได้ยินมันเหมือนๆกันหมด สาเหตุก็เพราะความเงียบงันระดับนั้น มันห่อหุ้มปกคลุมไปทั่วสนามประลองเลยนั่นเอง กรรมการและเหล่าคนดูต่างพากันเงียบกริบ จิเซลที่ล้มฟุบลงไปก็ไม่ได้แผดเสียงใดๆ
“ ————-อึก แฮ่ก………แฮ่ก……….. ”
ตัวผมเอง หลังจากที่เรียกใช้เอ็กตร้าสกิลที่ยังเป็นแค่ Lv2 กลางเวทีใหญ่ปุ๊บ สมาธิทั้งหลายแหล่มันก็พลันหลุดลอยไป ทำได้แต่หอบหายใจอย่างแรงพลางวาดดาบเป็นวงไปอยู่ทั้งๆอย่างนั้น ทว่า ในพริบตาถัดมา
——-โอ้วววววววววววววววว!
สนามก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่มระเบิดระเบ้อ
“ ระ รู้ผล! ครอส อาราเกาท์ ผ่านการสอบชิงสิทธิ! ”
และพอได้ยินเสียงเชียร์ดังกล่าวแล้วปุ๊บ ในที่สุดพวกคุณๆกรรมการก็พลันยกธงขึ้นป่าวประกาศ ราวกับเพิ่งจะตื่นจากภวังค์
“ …………สำเร็จ….แล้ว……..? ”
แต่ก็คือผมนี่แหละที่สัมผัสได้ถึงความจริงนั้นล่าช้ามากกว่าใครๆ
“ สะ สำเร็จแล้วววววววววววววว! ”
กระโดดกระเด้งมันตรงนั้นอย่างกับเด็กๆ โดยที่ยังกำดาบสั้นเอาไว้อยู่ภายในมือ
“ ผะ ผมสอบผ่านจริงๆสินะครับ!? ผม….ผมชนะจิเซล แล้วก็จะกลับมาที่โรงเรียนได้จริงๆสินะครับ!? ”
ปักใจเชื่อเช่นนั้นไม่ลง ต้องวิ่งเข้าไปถามไถ่คุณกรรมการตั้งหลายรอบ
ถึงแม้คุณกรรมการที่สับสนถึงขีดสุดเค้าจะพยักหน้าหงึกๆให้ด้วยแววตาเหมือนกำลังจับจ้องมองดูสัตว์ประหลาด แต่แล้วสติของผมก็พลันหันไปสนใจสิ่งอื่นแทน
สำเร็จ! สำเร็จแล้ว! สอบผ่านแล้ว! ทั้งหมดนี่เป็นเพราะพวกคุณลีโอเน่แท้ๆเลย!!
เรื่องที่ว่าพวกคุณลีโอเน่นั่นแหละที่เป็นตัวการวางแผนจัดการสอบสุดจะบ้าบอแบบนี้ขึ้นนั่นมันหลุดลอยหายจากหัวที่กำลังยินดีของผมไปแล้ว ผมเริ่มต้นกวาดสายตามองหาพวกคุณลีโอเน่ที่น่าจะกำลังเฝ้าดูอยู่จากที่ไหนซักแห่ง อยากจะเข้าไปรายงานและกล่าวขอบคุณให้ได้โดยเร็วที่สุด เป็นในฉับพลันนั้นเอง
“ ข่ะ…….อะ……ยะ….อย่ามาทำเป็นเล่นนะเว้ย……! ฉันคนนี้…..จะมาแพ้ให้กับ….ไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> กากสวะพรรค์นั้นได้ยังไง…….! จะยอมแพ้ให้ได้ที่ไหน……. ”
จิเซลที่ถูกเสียงเชียร์ดังกลบจนไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเธอลุกขึ้นมาแล้ว ค่อยๆกวาดมือจับอาวุธกลับขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ ก่อนจะ
“ แกใช้กลโกงลูกไม้ตุกติกแบบไหนวะไอ้ระยำ 0 ตลอดศก!! ”
ฝ่าความพยายามที่จะหยุดยั้งของพวกคุณๆกรรมการที่ตอบสนองล่าช้าเพราะคาดไม่ถึง พุ่งดิ่งตรงเข้ามา หมายมั่นกะจะฟันดาบใส่หลังของผมที่กำลังกวาดสายตามองหาพวกคุณลีโอเน่อยู่ ฉับพลันนั้น
“ ——–ฮึก!! ”
นั่นคือผลข้างเคียงจากการตะบี้ตะบันฝึกใช้ <<ครอสเคาน์เตอร์>> มาตลอดช่วงระยะนี้
“ <<ครอสเคาน์เตอร์>> ! ………อ๊ะ!? ”
การต่อสู้จบลงไปแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับแหกกฎโรงเรียนเต็มที่โดยการใช้สกิลอัดใส่อีกฝั่งเต็มแรงเฉย แถมไม่รู้ทำไมสกิลมันยังทำงานง่ายกว่าเมื่อกี้นี้หลายเท่าตัวเลยอีกต่างหาก……..ตัวผมที่ถือดาบสั้นอยู่กลับด้าน พลันใช้ปลายด้ามดาบกระแทกเข้ากลางคางของจิเซลจังๆ
“ ขุคั่ก!? ”
โดนเต็มๆ จิเซลที่มีเลือดไหลออกมาจากคางที่แตกนั้น คราวนี้ถึงกับตาเหลือกล้มลงแน่นิ่งน้ำลายฟูมปากไปเลยทีเดียว
“ วะ ว๊ากกกกกกก!? จิเซล!? จิเซลผมขอโทษ! เพราะมัวเอาแต่ฝึกใช้สกิลนี้มาตลอดตัวมันเลยขยับไปเองน่ะ! โฮ้ยจิเซล!? ขะ ใครก็ได้ครับช่วยไปเรียกคุณฮีลเลอร์มาที———! ”
ผมที่เผลอป้องกันตัวเกินกว่าเหตุจนทำให้จิเซลบาดเจ็บหนักโดยมิได้เจตนานั้นถึงกับอารมณ์พลิก 180 องศา——-เอาแต่คอยร้องเรียกชื่อจิเซลอยู่ไม่หยุดหย่อน โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าบรรยากาศภายในสนามสอบนั้นยิ่งแตกตื่นฮือฮากันหนักมากไปกว่าเดิมซะอีก
หลังจากนั้น ครอสซึ่งโล่งอกหลังจากที่เห็นว่าบาดแผลของจิเซลถูกเวทฟื้นฟูรักษาจนหายเป็นปลิดทิ้งในพริบตานั้น ก็หลบหลีกสายตาของเหล่ากรรมการ—ซึ่งกำลังตะลึงงันกับ <<ไร้อาชีพ>> ที่สามารถรับมือกับการโจมตีทีเผลอของผู้ที่แกร่งกว่าได้โดยสมบูรณ์—ก่อนจะเดินออกจากสนามมาตามหาเหล่าอาจารย์
และพอเห็นพวกลีโอเน่ที่รออยู่หน้าประตูทางเข้าออกของสนามประลองปุ๊บ เด็กหนุ่มก็ยิ้มเบิกบาน วิ่งตรงเข้าไปหาทั้งคู่ราวกับหมาน้อยแสนเชื่องทันที
“ ทำได้แล้วครับ! ผมทำได้แล้วครับคุณลีโอเน่! คุณเทโลเมียร์! ”
“ โอ้วเห็นแล้วล่ะ! ทำได้เยี่ยมไปเลยนี่นา! ”
“ สุดยอดเลยครอสคุง คุ้มกับที่พยายามมาตลอดจนถึงตอนนี้จริงๆเน้อออ ”
ครอสที่วิ่งตรงเข้ามาหาถูกลีโอเน่เอามือลูบๆขยี้หัวเต็มๆ ส่วนเทโลเมียร์ก็จับมือครอสยกขึ้นทำท่าฉลอง
แม้ครอสจะถูกคำชื่นชมและสกินชิปดังกล่าวทำให้เขินจนอายม้วนหน้าแดง “ อะหวาหวาหวา ” แต่เด็กหนุ่มก็พูดต่อออกมาว่าเช่นนี้
“ สุดยอดเลยครับ! ผมเนี่ยนะ ชนะจิเซลคนนั้น แล้วก็จะได้กลับมาเรียน…..มันเหมือนฝันมากจนตอนนี้ก็ยังปักใจเชื่อไม่ลงเลย……เป็นเพราะได้พวกคุณลีโอเน่ช่วยเอาไว้แท้ๆเลยครับ! ”
ค่าความนับถือและค่าความชอบของครอสที่มีต่อพวกลีโอเน่นี่คือเรียกได้ว่าพุ่งสูงจนตันหลอดแล้ว
พอเห็นแววตาที่แฝงเร้นไว้ด้วยความชื่นชอบอันบริสุทธิ์ของครอส (ที่ลืมไปสนิทเลยว่าใครกันที่เป็นตัวการจัดการสอบสุดจะบ้าระห่ำแบบนั้นขึ้น) เช่นนั้นแล้ว ลีโอเน่กับเทโลเมียร์ก็ “ ใช่มั้ยล่ะใช่มั้ยล่า ” พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ โอ๊ะ จริงด้วยครอส ลองเอาสเตตัสเพลทออกมาดูหน่อยดิ้ ”
เป็นตอนนั้นเองที่ลีโอเน่ซึ่งพูดชมครอสที่กำลังตื่นเต้นดีใจได้ไม่เบื่อ พลันพูดเช่นนั้นออกมา
“ หลังจากจบศึกใหญ่แบบนี้แล้ว สกิลมันมักจะเติบโตได้เร็วขึ้นน่ะ ถือว่าเป็นรางวัล…..ไม่ดิ พูดแบบนี้ไม่เชิงถูกซะทีเดียวแฮะ เอ้อเอาเป็นว่าลองเปิดดูเหอะ จะทำให้ยิ่งดีใจที่สอบผ่านได้มากขึ้น ”
“ ………..ฮึก! ”
พอได้ยินคำพูดลีโอเน่เช่นนั้น ครอสก็พลันควักเอาสเตตัสเพลทออกมาด้วยแววตาที่เป็นประกายมากยิ่งกว่าเดิม
“ !? จะ จริงด้วย!? ”
และแล้วครอสที่เช็คตรงช่องสกิลก็ดวงตาเบิกโพลงดีใจใหญ่อีกรอบ ก่อนจะส่งสเตตัสเพลทมาให้พวกลีโอเน่ดู ราวกับเป็นเด็กเล็กๆที่อยากจะอวดสมบัติประจำตัวเลยงั้นแหละ
พวกลีโอเน่เฝ้ามองสภาพยินดีปรีดาของเด็กหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “ ไหนๆ ” ก่อนจะรับเพลทไป ทว่า—-
““ ……….อื๋อ? ””
พอได้เห็นช่องสกิลปุ๊บ ทั้งสองก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในพริบตาเดียวกัน
สาเหตุมันก็เป็นเพราะว่า “ประวัติการเติบโตของสกิลในระยะนี้” ที่มีแสดงอยู่นั่นมันพิลึกพิลั่นอย่างชัดเจนเลยนั่นเอง
<<เสริมกำลัง Lv4 (+30)>> ——-> <<เสริมกำลัง Lv6 (+47)>>
<<เสริมป้องกัน Lv4 (+33)>> ——-> <<เสริมป้องกัน Lv6 (+50)>>
<<เสริมความว่องไว Lv4 (+30)>> ——-> <<เสริมความว่องไว Lv6 (+47)>>
<<ฟันแหวก Lv6>> ——-> <<ฟันแหวก Lv7>>
<<เคลือบแข็งร่างกาย (เล็ก) Lv3>> ——-> <<เคลือบแข็งร่างกาย (เล็ก) Lv4>>
<<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล็ก) Lv2>> ——-> <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (เล๋็ก) Lv3>>
<<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv2>> ——-> <<ตรวจจับพลังเวทในร่าง Lv3>>
<<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv2>> ——-> <<ควบคุมพลังเวทในร่าง Lv3>>
<<ครอสเคาน์เตอร์ Lv2>> ——-> <<ครอสเคาน์เตอร์ Lv4>>
จำนวนของสกิลที่เติบโตนั่นก็เอาเรื่องอยู่ แต่ระดับความชำนาญที่พุ่งสูงขึ้นนี่….รวมแล้วได้ถึง 13 เลยทีเดียว
ต่อให้การต่อสู้แบบจริงจังมันจะทำให้สกิลเติบโตไวขึ้นก็เถอะ แต่หากพิจารณาจากที่ระดับความชำนาญสกิลตลอดการฝึก 20 วันที่ผ่านมานี้ของครอส รวมๆกันได้ 14 (ต่อให้บวกการการพัฒนาของสกิลเสริมสเตตัสที่จะโตไวในช่วงแรกๆเพิ่มเข้าไปด้วย ก็ได้แค่ 23) แล้ว…..พูดได้คำเดียวเลยว่าระดับการเติบโตนี้มันผ่าเหล่าสุดๆไปเลย
แถมที่แปลกหนักมากเข้าไปอีก ก็คือเนื้อแท้ของสกิลที่เติบโตนี่แหละ
พวกสกิลสามัญทั้งหลายอย่างเช่น <<ฟันแหวก>> หรือ <<เคลือบแข็งร่างกาย>> ที่ถูกใช้ในการต่อสู้นั้นต่างก็ได้อัพสกิลละ 1Lv เหมือนๆกันหมด นี่น่ะยังพอโอเคอยู่ ยังเป็นการเติบโตในระดับที่ไม่แปลกมากนักเท่าไหร่
แต่เอ็กตร้าสกิลที่น่าจะเติบโตยากกว่าสกิลปกติหลายเท่าตัว กับพวกสกิลเสริมสเตตัสที่น่าจะเริ่มโตช้าขึ้นมากๆหลังจากเกิน Lv4 ทั้งหลายแหล่นี่ กลับได้อัพสกิลละ 2Lv เหมือนๆกันหมดซะอย่างนั้น แถมถ้าดูดีๆแล้วจะเห็นว่า <<ตรวจจับพลังเวทในร่าง>> กับ <<ควบคุมพลังเวทในร่าง>> ที่โตยากอีกเหมือนกันนั่นก็ได้อัพ Lv กับเค้าด้วยนี่นา
ต่อให้คิดยังไงมันก็ประหลาดอยู่ดี
จะสกิลไหนก็ไม่ใช่สกิลที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้แบบนั้นเลยซักนิด
แถมถ้ายกระดับสกิลมาจนถึงขั้นนี้ได้ด้วยการต่อสู้จริงเพียงครั้งเดียว ก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าแบบนี้มันคือการมองข้ามทำเมินลักษณะเด่นของ <<ไร้อาชีพ>> ที่ว่ากันว่ามีระดับการเติบโตช้าแบบสุดๆนั่นไปแล้วโดยสมบูรณ์
“ ………..แบบว่า……….โตไวไปหน่อยรึเปล่าหว่า…….? ”
“ …………อือ ”
ลีโอเน่กับเทโลเมียร์จ้องครอส “ ? ” ที่กำลังส่งสายตาขึ้นมายังทั้งสองคนแบบงงๆ ด้วยหางตา ก่อนจะหันหน้ามามองกันด้วยสีหน้าจริงจังซีเรียส
ไม่เหมือนกับลูด์มิร่า ทั้งสองที่เพิ่งจะเคยมีลูกศิษย์เป็นครั้งแรกในชีวิตนั้น—–ทั้งสองที่เพราะเป็นอัจฉริยะระดับแกร่งสุดของโลก ทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวถึงระดับความเร็วการเติบโตพื้นฐานของพวก “คนปกติ” นั้น…เพิ่งจะมารู้สึกแหม่งๆเอาก็ตรงนี้แหละครั้งแรก
รู้สึกขึ้นมาว่า
แม้จะฝึกฝนอยู่ภายในสภาพแวดล้อมอันฟุ่มเฟือยเป็นอันดับหนึ่งของโลกที่พวกตนสร้างขึ้นมาเองกับมือ——-แต่ระดับความเร็วการเติบโตของครอสมันก็ชักจะแหม่งๆอยู่ดี….แน่ะ