และแล้ว ในยามบ่ายของวันรุ่งขึ้น
ทางตอนเหนือของเมือง
กลุ่มปาร์ตี้นักผจญภัยกว่านับร้อยกลุ่มก็พลันมาสุมหัวรวมตัวกันอยู่ในแถบทุ่งหญ้าซึ่งแผ่กระจายกว้างขวางอยู่ทางทิศของ <<ผืนป่าเบื้องลึก>>
มีตั้งแต่ปาร์ตี้สามัญชนซึ่งดูเก่งกาจมากล้นประสบการณ์ ไปยันปาร์ตี้ที่ห้อหุ้มปกคลุมร่างกายไว้ด้วยเครื่องสวมใส่แสนหรูหราประดุจดั่งขุนนางไม่มีผิดเพี้ยนเลยทีเดียว เหล่าผู้คนที่มาเข้าร่วมในการแข่งปราบปรามต่างก็ดูมีความหลากหลายหลากสไตล์ต่างกันไป
ทางด้านหลังมี <<เรนเจอร์ระดับสูง>> จำนวนหลายคนกำลังตระเตรียมการประจำตำแหน่งอยู่เหนือแท่นสูง เพื่อทำหน้าที่คอยเฝ้านับว่าใครปราบเป้าหมายไปได้เท่าไหร่แล้ว
“ ว้าว สมกับชื่อ [การแข่ง] ปราบปรามจริงๆ บรรยากาศดูหยั่งกับว่าเป็นงานเทศกาลเลยเนอะ ”
คงจะเพราะเป็นเควสต์ปราบปรามที่ความเสี่ยงต่ำแต่ได้ผลตอบแทนสูงด้วยละมั้ง เหล่านักผจญภัยโดยรอบจึงมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระฉับกระเฉงกระตือรือร้น ส่งผลให้ความตื่นตัวนั่นกระจายตัวส่งต่อมาถึงพวกผมด้วยเลย
ให้ว่าแล้วตัวผมเองก็เพิ่งจะเคยได้ตั้งปาร์ตี้เข้าผจญเควสต์แบบจริงๆจังๆครั้งนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละ ตอนนี้ก็เลยรู้สึกตื่นเต้นใจโลดโผนสุดๆไปเลยเนี่ย
แต่ในขณะเดียวกัน
เพื่อนๆกลุ่มเด็กกำพร้าที่ตั้งปาร์ตี้กับผมและจิเซลเพื่อเข้าร่วมในการแข่งปราบปรามด้วยกัน กลับกำลังส่งเสียงซุบซิบแลกเปลี่ยนคำพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่
“ นี่……..ไอ้เควสต์เนี้ย มันคืออันที่จิเซลบอกว่าให้ปล่อยไปก่อน เพราะยังเร็วเกินไปหน่อยสำหรับพวกเรา ไว้ปีหน้าค่อยลองก็ไม่เสียหาย…นั่นไม่ใช่เรอะ? ”
“ ช่ายๆ แต่พอรู้ว่าครอสกำลังถังแตกเข้า ก็โพล่งว่า [เอ้อแต่ก็น่าจะไปไหวมั้ง] แล้วเล่นเปลี่ยนแผนแบบกะทันหันเลยน่ะนะ……. ”
“ แต่พวกเราทุกคนก็เป็นฝั่งที่พยายามตื๊อให้จิเซลตกลงรับเควสต์มาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา อุตส่าห์มีเควสต์ที่ได้กำไรเหนาะๆโผล่มาทั้งทีนี่เนอะ เปลี่ยนแผนแบบนี้ก็เข้าทางเราเลยอยู่หรอก…….แต่นี่เค้าอยากจะรับทำเควสต์ด้วยกันกับครอสมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย? ”
“ ไอ้ที่เค้าว่ายิ่งรักมากก็จะเกลียดมากกว่าเป็นร้อยเท่านั้นป่าว แต่คราวนี้กลับกัน ให้กลายเป็นรักมากร้อยเท่าแทนไรงี้……? ”
“ เฮ้ยพวกแก พูดอะไรนะตะกี้…….? ”
““““ ขึก!? เปล่าไม่มีอะไร! ””””
แต่พอจิเซลซึ่งไม่รู้ทำไมถึงหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเฉยส่งสายตามองเขม่นไปปุ๊บ กลุ่มเด็กกำพร้าก็พลันเงียบกริบกันไปในคราเดียวเลย
ปะ เป็นอะไรของพวกเค้าน่ะ
ลองถามด้วยความสงสัยดูแล้วแต่จิเซลก็เอาแต่ยืนกรานว่า “ไม่มีอะไรหรอกเว้ยไอ้ง่าว!” อยู่ท่าเดียว ผมก็เลยงงมึนตึ๊บจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยเนี่ยว่าอะไรเป็นอะไร
แม้จะมีเหตุการณ์ที่ชวนฉงนแบบนั้นอยู่บ้าง แต่ในจังหวะที่ทุกคนตรวจสอบแนวรบหรือเครื่องสวมใส่ครั้งสุดท้าย ทำการเตรียมพร้อมทุกอย่างเสร็จสิ้นครบถ้วนแล้วนั่นเอง
“มันมากันแล้ว! ”
คำสั่งการที่ถูกยกระดับความดังขึ้นโดย <<จอมขมังเวทด้านเสียง>> ก็พลันดังก้องกังวานไปทั่วทุ่งหญ้า
ตามด้วยเสียงโลหะกระทบกระทั่งกันจากการที่ผู้คนมากมายพากันชักเอาอาวุธออกมาในคราเดียว——และในท้ายที่สุด สิ่งที่กระหึ่มลั่นสั่นสะเทือนไปถึงแก้วหู ก็คือเสียงกระพือปีกนับไม่ถ้วน
“ นั่นน่ะเหรอสไลม์ปุกปุยที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นจำนวนมหาศาล……เยอะยั้วเยี้ยไปหมดเลย……! ”
สิ่งที่ลอยตามลมปรากฎขึ้นมาจากท้องฟ้าฝั่งทิศเหนือ ก็คือหมู่เหงานับไม่ถ้วนที่น่าจะมีจำนวนมากเกินหลักหมื่นได้เลย
นั่นล่ะคือฝูงสไลม์ปุกปุย——-มอนสเตอร์ริสก์ 2 ซึ่งมีร่างกายเหมือนกับเนื้อขนมปังที่มีขนปุกปุยงอกฟูฟ่องออกมาดูแสนน่ารักน่าชัง
เจ้ามอนสเตอร์ชื่อสไลม์ปุกปุยนี่ อาจจะมีรูปร่างหน้าตาและชื่อดูแสนน่ารักก็จริง ริสก์ก็ถือว่าต่ำก็จริง แต่มันก็เป็นมอนสเตอร์ที่เลื่องชื่อลือชาในด้านความดุร้ายพอสมควรเลยทีเดียว
พอถือกำเนิดขึ้นมาเป็นจำนวนมหาศาลในระยะเวลาสั้นๆ พวกมันก็จะออกเคลื่อนย้ายเป็นฝูงขนาดใหญ่เพื่อตามหาสถานที่ผสมพันธุ์แห่งใหม่ หนำซ้ำยังมีพฤติกรรมมักจะบุกโจมตีใส่เมืองที่อยู่ระหว่างทางอีกด้วย
แถมพวกมันยังมีความสามารถโลดโผนในระดับที่กระโจนข้ามกำแพงเมืองมาได้เลยอีกต่างหาก ถ้าปล่อยให้หลุดไปได้ละก็ต่อให้เป็นเมืองใหญ่ก็คงไม่วายได้รับความเสียหายรุนแรงพอตัวเลยเหมือนกันล่ะ
แม้บัสเคิลเบียร์จะมีเหล่านักผจญภัยระดับสูงประจำการรออยู่ที่แนวหลัง แต่ถ้าไม่ทำการลดหลั่นจำนวนของพวกมันลงตรงนี้ให้ได้ในระดับนึงละก็ได้เป็นคู่มือที่หืดขึ้นคอแน่ๆ
“ ดีล่ะพวกแก! วิธีการรับมือกับสไลม์ปุกปุยที่บินอยู่บนท้องฟ้ามันมีอยู่เพียงทางเดียวเว้ย! ลงมืออย่างที่ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้เลย! ”
ในฉับพลันเดียวกับที่คำสั่งการของจิเซลดังก้องกังวาน พวกผมก็พลันแตกกระจายตัวสร้างแนวรบเพื่อปกป้อง <<ผู้ใช้เวทน้ำ>> กับ <<ผู้ใช้เวทเปลวเพลิง>> ซึ่งเป็นอาชีพเวทมนตร์ระดับต่ำทั้งสองคนเอาไว้
ปาร์ตี้อื่นๆก็เคลื่อนไหวไปในแบบเดียวกันกับพวกผม เสียงคำร่ายเวทของคนจำนวนหลักหลายร้อยพลันกังวานปกคลุมไปทั้วทั้งบริเวณในคราเดียว
“ หมู่มวลอากาศที่ห่อหุ้มปกคลุมอยู่ทั่วเอ๋ยเชื่อฟังเราเสีย จงก่อตัวผสานอยู่ในมือข้างนี้ นามนั้นก็คือลมกรรโชก——- ”
และแน่นอนว่าผมเองก็เริ่มต้นกล่าวคำร่ายด้วยเช่นกัน กล่าวไปพลางกำดาบเอาไว้อยู่ในภายมือ
พอประกอบเวทมนตร์เสร็จ ก็ยิงกระแทกอัดตรงดิ่งเข้าไปใส่ฝูงสไลม์ปุกปุยโดยพลัน
“ <<วินด์ชู๊ต>> ! ”
กลุ่มก้อนมวลสายลมที่พุ่งทะยานออกไปจากฝ่ามือบดขยี้ริสก์ 2 ได้อย่างแสนง่ายดาย
ตูมตูมตูมตูมตูมตูมตูมตูมตูมตูม!
เหล่าผู้คนโดยรอบก็เริ่มต้นทำการปลดปล่อยเวทโจมตี เป่าสไลม์ปุกปุยให้ร่วงหมดสภาพลงมาได้เป็นจำนวนมาก
เท่านั้นแหละ ท่าทีของเหล่าสไลม์ที่ตลอดจนถึงตอนนี้เอาแต่บินอยู่เหนือท้องฟ้าแบบกึ่งๆปล่อยตัวไปตามกระแสลมก็พลันเปลี่ยนแปลงโดยสมบูรณ์
พวกมันปลดปล่อยเสียงประหลาดดังลั่นจนแสบแก้วหู ก่อนจะพุ่งทะยานตรงดิ่งเข้ามาใส่เหล่าอาชีพเวทมนตร์
“ โอ้ว มันมากันแล้วเว้ย! จากนี้ไปนี่แหละคือการแข่งปราบปรามของจริง! ”
จิเซลแผดเสียงร้องให้คำสั่ง ก่อนจะฟาดฟันเหล่าสไลม์ที่พุ่งตัวเข้ามาทิ้ง
ทำการเปิดฉากโจมตีก่อนโดยกลุ่มอาชีพเวทมนตร์ที่สามารถโจมตีจากระยะไกลได้ แล้วจึงลงดาบปราบเหล่าสไลม์ที่พุ่งทะยานลงมายังผืนดินเพื่อสวนกลับ
นี่แหละคือกลยุทธ์สูตรคลาสสิคสำหรับใช้ในการปราบสไลม์ปุกปุยซึ่งป็นมอนสเตอร์โบยบินให้ได้เป็นจำนวนมาก
“ หมู่มวลอากาศที่ห่อหุ้มปกคลุมอยู่ทั่วเอ๋ยเชื่อฟังเราเสีย จงก่อตัวผสานอยู่ในมือข้างนี้ นามนั้นก็คือลมกรรโชก——- ”
ผมกล่าวคำร่ายเพื่อเตรียมปลดปล่อยนัดถัดไป พลางวิ่งสะบัดคมดาบฟาดฟันสไลม์ที่พุ่งดิ่งตรงเข้ามาใส่ขนาบไปกับพวกจิเซล
“ เอาเว้ยได้แล้วสองตัว! ”
“ กระจอกน่า ฉันเนี่ยล่อไปสามแล้วเฟ้ย! ”
สกิลโจมตีระยะประชิดก็สามารถใช้ปราบสไลม์ปุกปุยที่เป็นริสก์ 2 ได้อย่างง่ายดาย พวกผมค่อยๆเก็บสะสมตัวเลขไปพลางช่วยกันปกป้องอาชีพเวทมนตร์ไปด้วย
“ โอร่าา! ตัวที่สิบห้าา! ”
ในหมู่พวกผม ก็มีจิเซลที่เป็นอาชีพระดับกลางเพียงหนึ่งเดียวนี่แหละที่เฉิดฉายโดดเด่นมากยิ่งกว่าใครๆ เหมือนเค้าจะปราบได้ตัวเลขเยอะกว่าผมถึงเท่าตัวโดยที่ไม่เสียเหงื่อเลยซักหยดเดียวเชียวแน่ะ
(จิเซลสุดยอดจริงๆอย่างที่คิดนั่นแหละ…….แต่ผมเองก็จะยอมน้อยหน้าไม่ได้!)
ตัวผมที่ถูกกระตุ้นต่อมไม่อยากแพ้ ทำการกล่าวคำร่ายต่อเนื่องไปโดยฟาดฟันสะบั้นสไลม์อย่างต่อเนื่องรัวๆ
………..ทว่า พอไปได้ถึงกลางทาง ทิศทางสถานการณ์ก็ชักจะเปลี่ยนแปลงไป
“ ……..ฮึก!? สไลม์ที่พุ่งดิ่งเข้ามาใส่ มันไม่ลดลงเลย……!? ”
นั่นก็คือปริมาณจำนวนของศัตรูที่อยู่เหนือล้ำกว่าที่คาดเอาไว้มากนัก
จำนวนของสไลม์ปุกปุยที่บีบอัดเข้ามาใส่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดช่วงมันเยอะมากเกินไป ทำให้พวกผมไม่อาจจะรับมือกำจัดได้หมดอีกต่อไปแล้ว แม้จะพยายามช่วยเหลือเกื้อหนุนกันและกัน แต่ก็แตกตื่นลนลานจนประสานกันได้ไม่ค่อยดี และในท้ายที่สุด
“ อ้อก! ”
สไลม์ตัวหนึ่งที่ลอดผ่านแนวป้องกันไปได้ก็พลันพุ่งกระแทกเข้าใส่เหล่า <<ผู้ใช้เวท>> ที่อยู่ข้างหลัง
<<ผู้ใช้เวทเปลวเพลิง>> ที่โดนมันเอาตัวกระแทกชนเข้ากลางใบหน้าจังๆ โดนบีบให้ต้องหยุดการเอ่ยคำร่ายลงกลางคัน
ชักจะส่อแววย่ำแย่ขึ้นมานิดหน่อยแล้วไงล่ะ…….!
“ <<วินด์ชู๊ต>> ! ”
“ <<วอเตอร์แคนน่อน>> ! ”
ผมกับโคลีย์ที่เป็น <<ผู้ใช้เวทน้ำ>> ซึ่งประกอบคำร่ายเสร็จสิ้นพอดีทำการยิงปลดปล่อยเวทมนตร์ เพื่อหวังจะฟื้นฟูแนวรบกลับมาให้ได้ซักหน่อยเดียวก็ยังดี
ทว่า
“ ขึก!? หยุดไม่อยู่เลย!? ”
ใช้เวทมนตร์ระดับล่างไปก็เหมือนกับราดน้ำใส่หินร้อน
ทำได้เพียงเป่าสไลม์ร่วงไปไม่กี่ตัว แต่สถานการณ์โดยรวมแล้วไม่ได้เปลี่ยน พวกผมถูกบีบให้ต้องเป็นต่ออย่างไม่อาจเลี่ยง
“ ชิ เฮ้ยพวกแก! เข้ามาอัดรวมอยู่ใกล้ๆกันแล้วเปลี่ยนมาเน้นป้องกันแทนซะเว้ย! ”
ทำตามคำสั่งของจิเซล เข้ามารวมตัวอยู่ในระยะเกือบๆไม่ให้ดาบฟาดโดนพวกเดียวกันเอง
แบบนี้ก็ละก็ไม่มีทางพลาดท่าให้กับพวกสไลม์แน่
แต่เพราะระยะห่างระหว่างกันมันใกล้เกินไปก็เลยเก็บตัวเลขได้ไม่ค่อยดี พวกผมถูกบีบให้ต้องหืดขึ้นคออยู่กับศึกที่ปริมาณจำนวนของศัตรูไม่ยอมลดน้อยลงเลยแม้แต่นิดเดียว
——–เป็นในฉับพลันนั้นเอง
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงง!
ที่เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นกู่ก้องไปทั่วทั้งสนามรบ
“ อะ อะไรน่ะ!? ”
อยู่ระหว่างต่อสู้แท้ๆ แต่ผมก็ถึงกลับหันขวับไปมองทางนั้นอย่างตกตะลึงเลย
และก็พบภาพอันสุดจะเชื่อแผ่กระจายอยู่ตรงนั้น
ฝูงสไลม์ที่ยั้วเยี้ยปกคลุมจนฟ้ามืดไปหมดพลันเกิดเป็นรูโหว่ เผยให้มองลอดไปเห็นท้องฟ้าสีครามได้
ซากเศษเล็กเศษน้อยของพวกสไลม์มันร่วงโรยลงมาเป็นจำนวนมหาศาล พร้อมกับที่มีควันสีแดงดำลอยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
“ นั่นมัน……..อย่าบอกนะว่าเวททิ้งระเบิด!? ”
พอผมเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึงอีกรอบ เสียงหัวเราะอันแสนรื่นรมย์ก็ดังก้องขึ้นมาจากจุดที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
“ อะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะ! รู้สึกดีจริงๆเลยนะ! พอลองใช้สกิลที่เน้นโจมตีเป็นวงกว้างมากยิ่งกว่าอานุภาพดูแล้วก็ล่าได้มากมายก่ายกองจนกลั้นขำไม่อยู่เลยนี่นา! ”
พอมองไป ก็พบหญิงสาวเผ่าฮิวแมนที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ด้วยเครื่องสวมใส่ของอาชีพเวทมนตร์แสนหรูหรา กำลังยืนเด่นสง่าอยู่เหนือเนินเล็กๆราวกับเป็นการป่าวประกาศให้โลกทราบถึงตัวตนของเธอเลยยังไงยังงั้น
“ เอาล่ะ ไปอีกนัดหนึ่งก็แล้วกันนะ ——แสงเจิดจรัสซึ่งนำพาการล่มสลายในชั่วอึดใจ ละอองทรายร้อนรุ่มที่แล่นทะยานปลิวไสว จงเชื่อฟังตามคำบัญชาแห่งเราแล้วสั่นคลอนโลกนี้ทั้งใบ ”
“““ กี๊——————-! ”””
ในฉับพลันที่หญิงสาวอ้าปากกล่าวคำร่าย เหล่าสไลม์ที่สัมผัสได้ถึงอันตรายก็กรูกันพุ่งตัวบีบอัดตรงรี่เข้าไปใส่เธอคนนั้นในคราเดียว
ระดับความหนาแน่นนั้นสูงส่งพอสมควร ขนาดที่ทำให้ทราบได้เลยว่าสไลม์ที่จ้องเล่นงานพวกผมลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัด
ทว่า
““ เวทศิลาระดับกลาง <<ร็อคแคนน่อน>> ! ””
เหล่าอาชีพเวทมนตร์ระดับกลาง—– <<จอมขมังเวท>> ที่ประจำการอยู่ข้างหลังหญิงสาวพลันทำการปลดปล่อยสกิลเวทมนตร์ออกมาหลากหลายรูปแบบ
แม้จะมีความรุนแรงต่ำกว่าเวททิ้งระเบิดเมื่อครู่ แต่อานุภาพเหล่านั้นก็เหนือล้ำมากขนาดที่เวทระดับต่ำที่พวกผมใช้งานไม่อาจเทียบเคียงได้เลยแม้แต่นิด
กลุ่มก้อนมวลเวทมนตร์ขนาดยิ่งใหญ่นั่นพลันถาโถมเข้าเหยียบย่ำทำลายเหล่าสไลม์จำนวนมากอีกครา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสไลม์ที่เหลือรอดอยู่ไม่น้อยเลย พวกมันแล่นทะยานตรงดิ่งอัดเข้าใส่พวกหญิงสาวก็จริง—— แต่การพุ่งทะยานนั่นสุดท้ายก็ไปไม่ถึงตัวของเหล่า <<จอมขมังเวท>> …..เพราะเหล่าอาชีพระยะประชิดที่ยืนเด่นอยู่รอบตัวของหญิงสาว ถลำเข้ามาฟาดสไลม์ที่กระชั้นชิดเข้ามาใกล้ร่วงลงไปหมดสภาพทีละตัวๆเลยนั่นเอง
“ ฮึ่ม! ”
“ ฮะฮะ ช่างอ่อนหัดสิ้นดี! ”
โดยเฉพาะ กองหน้าสองคนที่กวัดแกว่งดาบอยู่เบื้องหน้าหญิงสาวผู้ปลดปล่อยเวททิ้งระเบิดคนนั้น
ท่วงท่าการเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเหนือล้ำมากยิ่งกว่าผมและจิเซลซะอีก
แม้จะถูกลดหลั่นลงไปโดยเวทโจมตีแล้ว แต่พวกสไลม์ที่บีบอัดเข้ามาด้วยจำนวนมากพอสมควรกลับถูกทั้งสองต้านเอาไว้ไม่อาจเข้าไปใกล้หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังได้เลยซักนิด พวกเขาน่าจะต้องเป็นอาชีพระดับกลางที่มีเลเวลสูงมากยิ่งกว่าจิเซลอีกแน่ๆ
และแล้ว——เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงง!
เวททิ้งระเบิดเจ้าพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากมือของหญิงสาวที่ได้รับการปกป้องคุ้มครองอยู่อย่างดีอีกครา ก็ทำการลดหลั่นจำนวนของพวกสไลม์ให้หายลับไปอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง
“ สะ สุดยอด…….! ”
พอผมอึ้งตะลึงงันอยู่กับการประสานงานอย่างงดงามเป็นระบบและอานุภาพทำลายล้างมหาศาลนั่น จิเซลก็พลันเอ่ยเสียงพูดออกมาอย่างหงุดหงิด
“ ชิ……..เล่นใหญ่น่าดูเลยนี่หว่า นั่นมันคือนังแคทลียา ริชมอนด์สินะ ”
“ ? จิเซลรู้จักเค้าด้วยเหรอ ”
“ ก็นะ แคทลียา ริชมอนด์ ขุนนางระดับกลางของพรรคดิออสเกรฟ แล้วก็เห็นว่าเป็น <<จอมขมังเวทสองชั้น>> ที่ขึ้นเป็นอาชีพระดับกลางและปลุกตนเองให้ใช้เวททิ้งระเบิดได้ในปีนี้ที่มีอายุครบ 16 ปีแน่ะ ”
“ เอ๊ะ……. <<จอมขมังเวทสองชั้น>> ที่ใช้เวททิ้งระเบิดได้โดยมีอายุแค่ 16 ปีนี่…….นั่นมันสุดยอดมากๆๆเลยไม่ใช่เหรอ!? ”
คำพูดของจิเซลที่หลุดออกมาจากปากได้เนื่องจากม่านสไลม์ที่ถาโถมเข้ามาชักจะลดน้อยลงนั่น ทำเอาผมตกตะลึงซะจนพูดจาเป็นเด็กๆเลย
ตามปกติแล้วสกิลเวทมนตร์จะถูกจำแนกออกเป็นธาตุหลักทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
จะใช้ธาตุใดได้นี่ก็ขึ้นอยู่กับ <<คลาส>> ที่ได้รับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นอาชีพที่ใช้ได้เพียงธาตุเดียว อย่าง <<ผู้ใช้เวทน้ำ>> หรือ <<ผู้ใช้เวทลม>> จำพวกนี้ซะมาก
ในอีกด้านนึง อาชีพเวทมนตร์ที่ใช้ได้หลากหลายธาตุนี่จะถูกเรียกเป็นอย่างเช่น <<ผู้ใช้เวทสองชั้น>> หรือ <<ผู้ใช้เวทสามชั้น>> ……เนื่องจากสามารถรับมือกับหลากหลายสถานการณ์ได้ด้วยตัวคนเดียวจึงถูกมองยกย่องกันว่าเป็นอาชีพเวทมนตร์ที่มีระดับสูงยิ่งกว่าปกติแน่ะ
และภายในหมู่ผู้ใช้งานหลากหลายธาตุนี้ ก็จะมีเพียงผู้ที่ครอบครองเซนส์และคุณสมบัติอันเป็นเลิศอย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะสามารถปลุกเวทมนตร์ที่ถูกเรียกขานว่า เวทพัฒนา ให้ปรากฎขึ้นมาได้
ผสมน้ำกับลมเข้าด้วยกันให้กลายเป็นเวทน้ำแข็ง ผสมดินกับลมเข้าด้วยกันให้กลายเป็นเวทเสียงกัมปนาท และถ้าผสมไฟกับดินเข้าด้วยกันก็จะได้เป็นเวททิ้งระเบิด…….อารมณ์แบบนั้นแหละ กล่าวคือมันจะพัฒนาขึ้นกลายเป็นธาตุที่ทรงพลังมากกว่าเดิมนั่นแหละนะ
แต่การจะปลุกธาตุพัฒนานั่นให้ปรากฎ แล้วคลาสอัพขึ้นเป็น <<จอมขมังเวท>> ระดับกลางหรือระดับสูงทั้งๆในสภาพแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยซักนิดเดียว
เวทมนตร์น่ะหากเน้นฝึกแบบธาตุใดธาตุนึงเพียงธาตุเดียวแล้วจะเติบโตได้ไวกว่ากันสุดขั้วเลย กลับกันแล้ว ผู้ที่ครอบครองเวทหลายธาตุซึ่งจำเป็นต้องฝึกปรือยกระดับธาตุต่างๆที่มีให้เชี่ยวนาญก่อนนั้นต่อให้ทำยังไงก็จะมีการเติบโตที่ล่าช้ามากยิ่งกว่า
และการเติบโตที่เชื่องช้านี่ มันก็เป็นข้อเสียมากระดับที่ทำให้มีคนจำนวนไม่น้อยจงใจยอมเลือกเป็นผู้ใช้เวทธาตุเดียวในพิธีประทาน <<คลาส>> เลย
แค่ครอบครองหลายธาตุมันก็ช้าหนักแล้ว แต่ถ้ามีธาตุพัฒนาด้วยนี่การเติบโตก็จะยิ่งช้าเข้าไปมากยิ่งกว่าเดิมอีก
เป็นแบบนั้นแท้ๆ แต่หญิงสาวขุนนางที่ชื่อแคทลียาคนนั้นกลับเป็น <<จอมขมังเวทสองชั้น>> ระดับกลางได้ตั้งแต่อายุ 16 ปีเลย
หนำซ้ำยังมีธาตุพัฒนาซึ่งก็คือเวททิ้งระเบิดอยู่ในครอบครองด้วยอีกต่างหาก
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ใช่ระดับความเร็วการเติบโตแบบปกติแล้ว
ก็ได้ยินเค้าพูดว่า [เพราะขุนนางส่วนใหญ่ต่างเป็นผู้ที่เปี่ยมล้นมากไปด้วยพรสวรรค์ เราจึึงได้เรียกขานพวกเขาเหล่านั้นว่าเป็นขุนนาง] กันอยู่บ่อยๆก็จริงหรอกนะ แต่เหมือนว่าจะเป็นจริงตามนั้นเลยแฮะ
แต่พอคิดไปถึงตรงนั้นแล้ว ผมก็พลันเกิดข้อสงสัยขึ้นมา
“ จะว่าไปแล้ว ทำไมจิเซลถึงรู้เรื่องของคุณคนที่ชื่อแคทลียานั่นละเอียดมากถึงขนาดนั้นล่ะ? ”
จิเซลมีเส้นสายเพื่อนพ้องเยอะ ฉะนั้นถ้าจะมีข้อมูลต่างๆนาๆของเหล่าขุนนางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ถ้าเป็นแค่ชื่อหรืออายุก็ว่าไปอย่าง นี่เล่นรู้ลึกละเอียดไปถึง <<คลาส>> หรือพรรคดิออสเกรฟ? อะไรนั่นเลยด้วยนี่ มันก็ชักจะแหม่งๆแล้วแฮะ
เท่านั้นแหละจิเซลพลันตอบกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายใจทันที
“ ไอ้บื้อเอ๊ย เพราะการเดินทางมาหาผัวของทั่นผู้สืบสายเลือดของผู้กล้า เมืองนี้มันก็เลยกลายเป็นสถานที่แก่งแย่งอำนาจเพื่อสำแดงพลังของพวกขุนนางไปนะเว้ย ถ้าจะปกป้องเอาตัวเองให้รอดมันก็ต้องขยันหมั่นหาข้อมูลของไอ้พวกคุณๆขุนนางทั้งหลายเป็นปกติอยู่แล้วรึเปล่าวะ ”
“ ปกป้องเอาตัวให้รอด……? ”
หมายความว่ายังไงน่ะ…….ผมยิ่งฉงนหนักมากเข้าไปใหญ่ ทว่า
“ ……..ฮึก! เฮ้ยไม่ใช่เวลามาคุยกันอยู่นะเว้ย ไอ้พวกสไลม์มันเพิ่มจำนวนบุกเข้ามากันอีกรอบแล้วนั่น! ”
เพราะโดนอัดด้วยเวททิ้งระเบิดแสนทรงอานุภาพเข้าไป ทั้งฝูงจึงสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างรุนแรงละมั้งนะ
และเพื่อที่จะเข้าเผชิญหน้ากับเหล่าสไลม์ที่บุกเข้ามาอย่างรุนแรงหนักหน่วงมากยิ่งขึ้นทั่วทั้งสนามรบ ผมจึงทำการผลักดันข้อสงสัยเล็กๆน้อยๆออกไปจากหัว ก่อนจะลงมือทำการต่อสู้โต้กลับสุดชีวิต ”
พวกผมที่ไล่ต้อนสไลม์ปุกปุยระลอกแรกกลับไปได้แบบหืดขึ้นคอ เพิ่งจะได้กลับมายังเมืองเอาก็ตอนเย็นตะวันใกล้จะลับฟ้าแล้ว ปาร์ตี้ที่เข้าร่วมแข่งต่างก็มารวมตัวกันอยู่หน้าประตูเมือง แล้วจากนั้นจึงมีการจ่ายเงินค่าตอบแทนที่แปรผันตามตัวเลขที่ปราบได้ซึ่งถูกนับอยู่โดย <<เรนเจอร์ระดับสูง>>
และสิ่งที่ถูกจัดขึ้นภายหลังจากที่แจกจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ทุกฝ่ายเสร็จสิ้นครบถ้วนแล้ว ก็คือพิธีมอบรางวัล
เป็นงานที่ปาร์ตี้ซึ่งพิชิตสไลม์ไปได้เยอะเป็นระดับต้นๆ (ไม่นับเหล่านักผจญภัยระดับสูงที่ประจำการอยู่แนวหลังสุด) ภายในการแข่งครั้งนี้จะได้รับมอบรางวัลจากทางกิลด์โดยตรงเลยนั่นเอง
และก็ไม่ผิดคาด กลุ่มคนที่พลันปรากฎขึ้นมาอยู่เหนือแท่นรับรางวัลแบบพื้นๆ ในฐานะเหล่าผู้ที่เก็บตัวเลขปราบปรามไปได้เป็นอันดับหนึ่ง ก็คือกลุ่มที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ด้วยเครื่องสวมใส่ที่มีแสงประกายวาววับ
“ มันแน่อยู่แล้วเนอะ! ”
ผู้ที่ยืนยืดอกอย่างผ่าเผยอยู่เหนือแท่นก็คือคุณแคทลียา ริชมอนด์
โดยมีอาชีพระยะประชิดสองคนที่แสดงลีลาความสามารถโดดเด่นมากกว่าพวกยืนติดตามอยู่ขนาบข้างซ้ายขวา
ทั้งสองต่างก็เป็นเผ่าฮิวแมนที่น่าจะมีอายุไล่เลี่ยกันกับคุณแคทลียา คนนึงคือผู้ชายร่างผอมเพรียวที่ดูมีลักษณะเหมือนเป็นคนเจ้าอารมณ์เพราะดวงตาซัมปาคุผนวกกับขอบตาที่ลึก ส่วนอีกคนคือชายร่างใหญ่ที่มีรูปโฉมตรงตามแบบฉบับของนักรบผู้มีนิสัยจริงจังกับทุกเรื่องเป๊ะๆเลย
ทั้งสามที่ดูเหมือนจะเป็นใจกลางของปาร์ตี้พากันจ้องมองต่ำลงมาจากเบื้องสูง พลางยืดอกรับเสียงปรบมืออันดังกังวานเอาไว้อย่างผ่าเผย
“ เอ้อ มันก็ต้องได้ผลงานออกมาดีแหงอยู่แล้วแหละว่ะ ”
เพื่อนๆกลุ่มเด็กกำพร้าเอ่ยเสียงพูดออกมา พลางตบมือแปะๆให้แบบส่งเดช
“ มีอาชีพเวทมนตร์ระดับกลางอยู่ 3 คน โดยเอาผู้ใช้เวททิ้งระเบิดเป็นแกนกลาง อาชีพระยะประชิดที่เหมือนจะเลเวลสูงยิ่งกว่าจิเซลอีก 2 คน แถมไอ้ 5 คนที่เหลือก็ยังเป็นกำลังรบแบบที่จัดแนวล่าเจ้าร็อกลิซาร์ด วอริเออร์นั่นได้อย่างเสถียรไร้ความเสี่ยงเลยนี่หว่า ”
“ กะอีแค่การแข่งปราบปรามสไลม์ปุกปุย ชนะใสแหงอยู่แล้วเนอะ ”
ในระหว่างที่ปาร์ตี้ขุนนางได้รับคำสรรเสริญเยินยออย่างล้นหลาม พวกผมก็ทำการแบ่งเงินค่าตอบแทนที่ได้รับมา พลางเปิดงานสำนึกผิดแบบง่ายๆมันกันตรงนั้นเลย
ก็ได้เงินมาเป็นจำนวนไม่น้อยเลยเหมือนกันหรอก แต่เพราะหืดขึ้นคอหนักมากกว่าที่คาด บวกกับจำนวนตัวเลขที่ปราบได้นั้นแทบไม่เพิ่มขึ้นจากตอนช่วงแรกๆเลย บรรยากาศรอบๆตัวพวกผมมันจึงกลายเป็นหดหู่ชวนให้ซึมกะทือเองโดยธรรมชาติน่ะนะ
“ คาดว่าสไลม์ปุกปุยมันจะบุกมากันใหม่ในอีกราวๆสามสัปดาห์ให้หลังนี้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นคงต้องวางมาตรการรับมือให้ได้เรียบร้อยนะเนี่ย ”
จิเซลว่าแล้วก็ยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง
“ เอ้อก็ ถ้าพูดถึงจุดที่ต้องปรับปรุง ก็คือการประสานงานของพวกเราอาชีพระยะประชิดล่ะนะ ความสามารถเราแต่ละคนไม่ได้แพ้ให้กับไอ้พวกสไลม์มันแท้ๆ แต่พอโดนเอาจำนวนเข้าข่มแล้วก็ต้านไว้ไม่ได้โดนมันถล่มจนแนวป้องกันพังยับเยินหมด อีแบบนั้นใช้อานุภาพของอาชีพเวทมนตร์ได้ไม่เต็มที่ชัวร์ เรียกได้ว่าไม่มีความหมายในการตั้งปาร์ตี้เลยซักกะนิดเดียว เอาเป็นว่าการบ้านที่ต้องเคลียร์ให้ได้อย่างเร่งด่วนที่สุดก็คือการหาทางทำอะไรซักอย่างให้ทีมเวิร์คประสานงานมันราบรื่นเป็นระเบียบยิ่งขึ้นนี่แหละว่ะ ”
จิเซลสรุปผลให้ฟังอย่างง่ายๆด้วยความสามารถการวิเคราะห์อันยอดเยี่ยม ทั้งผมและทุกคนต่างก็ไร้คำคัดค้านใดๆ
แล้วพอจิเซลกวาดสายตามองพวกผมที่เหนื่อยล้าจากการแข่งปราบปรามสุดขีดปุ๊บ
“ งั้นเอางี้เว้ย มีสนามฝึกซ้อมส่วนตัวเฉพาะของกลุ่มเด็กกำพร้าอยู่ใช่มั้ยล่ะ ถ้าพักฟื้นซัก 2-3 วันแล้วเราก็มาซ้อมฝึกประสานงานกันที่นั่นแล้วกัน ……..โดยเฉพาะครอส แกน่ะต้องมาร่วมฝึกด้วยให้ได้เลยเชียวนะเว้ย ”
ไม่รู้ทำไมในตอนสุดท้ายเค้าถึงเรียกชื่อเน้นเฉพาะผมคนเดียวเฉย แถมยังเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆราวกับจะกระซิบคุยเรื่องลับๆอีก
“ ให้ไอ้สัตว์ประหลาดพวกนั้นฝึกให้มันอาจได้ประสิทธิภาพดีที่สุดก็จริงนะ แต่การประสานงานทีมเวิร์คกับคนอื่นนี่มันก็อีกเรื่องนึง ถ้าแกอยากจะทำเงินให้ได้มากยิ่งกว่าวันนี้ ก็โผล่หัวมาฝึกร่วมกับพวกฉันซะด้วยล่ะห้ามลืมนะเว้ย ”
“ เอ๊ะ? อะ อือ แน่นอนเลย ผมมาฝึกด้วยอยู่แล้วแหละนะ? ”
พวกอาจารย์เค้าก็แนะนำให้มาโรงเรียนเพื่อจะได้ฝึกประสานงานและประลองฝีมือกับ <<คลาส>> หลากหลายรูปแบบเหมือนกัน ฉะนั้นเรื่องให้มาร่วมฝึกเนี่ยคือเข้าทางผมเลย แต่เหมือนจิเซลจะดูพยายามดันให้ผมมาให้ได้สุดชีวิตยังไงชอบกลแฮะ…….
คงจะเพราะยอมรับผมเป็นหนึ่งในกำลังรบที่ใช้งานได้อย่างแท้จริงละมั้ง….พอคิดอย่างดีใจอยู่เช่นนั้น เหล่าเพื่อนๆกลุ่มสถานกำพร้าก็หันหน้าเข้าหากันแล้วซุบซิบๆคุยอะไรซักอย่างกันอีกรอบ
“ นี่ ยัยจิเซลก็น่าจะรู้อยู่แต่แรกแล้วไม่ใช่เรอะ ว่าเควสต์เนี่ยหินตึงมือแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลยอะ? ”
“ ข้ออ้างเหรอ? อยากได้ข้ออ้างไว้ชวนให้มาร่วมฝึกด้วยกันทุกวันงั้นเหรอ? ”
“ เอ้อพวกเราก็มีโอกาสได้เก็บเกี่ยวเงินกับค่าประสบการณ์พอสมควรอยู่เหมือนกัน ฉะนั้นไม่คิดจะคัดค้านอะไรหรอก……..แต่ช่วยซื่อตรงต่อความรู้สึกมากกว่านี้หน่อยไม่ได้เลยรึไงนะ ”
“ เฮ้ยพวกแก๊! ถ้าข้องใจมีอะไรอยากพูดงั้นก็พูดออกมาดังๆเลยสิวะ! ”
ละ แล้วไหงจิเซลถึงปรี๊ดแตกเฉยเลยละนั่น!?
แม้จะพยายามเข้ารวบหยุดจิเซลไม่ให้ไปกระชากลากตัวกลุ่มเด็กกำพร้า แต่จิเซลที่แปลงโฉมกลายเป็นอาชีพระดับกลางแล้วก็ใช่ว่าจะหยุดได้ง่ายๆ แถมยิ่งพอผมเข้าไปใกล้แล้วกลับยิ่งจะคลั่งดุร้ายหนักมากเข้าไปใหญ่เลยด้วยซ้ำนั่น……..
และแล้วตัวผมที่มึนงงตามความปั่นป่วนของกลุ่มเด็กกำพร้าไม่ทัน ก็พลันเหลือบสังเกตไปยังสภาพของเพื่อนๆกลุ่มเด็กกำพร้าทุกคนเอาตอนนี้
ไปยังร่างกายที่ถึงแม้จะไม่ได้บาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์ แต่ก็ถูกสไลม์พุ่งเข้ากระแทกซ้ำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งของทุกคนนั่น
(เพราะโค่นริสก์ 4 สำเร็จก็เลยลิงโลดได้ใจไปยกใหญ่…….แต่มอนสเตอร์ก็มีอยู่หลากประเภทหลายสายพันธุ์เหมือนกัน นอกจากจะต้องฝึกประสานงานกับพวกจิเซลแล้ว ต้องไปปรึกษาพวกคุณลีโอเน่เพื่อวางมาตรการรับมือด้วย ผมจะต้องแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้นให้ได้มากกว่านี้อีก……..)
เป็นในฉับพลันที่รับรู้ถึงความละอ่อนของตนเองที่ปรากฎให้เห็นชัดเพราะการแข่งปราบปราม พร้อมกับตัดสินใจมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวอีกครั้งนึงนั่นเอง
“ …………? ”
ที่ผมสัมผัสได้ถึงสายตา
พอหันขวับไปเองโดยอัตโนมัติ——ก็พบหญิงสาวขุนนางอยู่ตรงนั้น
คุณแคทลียาที่เอาพัดพับได้อันแสนหรูหราซ่อนปกปิดริมฝีปากของตนเอาไว้……เค้ากำลังจ้องเขม็งตรงมาทางพวกผมอยู่เลย
แต่พอคิดแบบนั้นปุ๊บ เค้าก็เบือนสายตาไปยังทิศทางอื่นในทันที ก่อนจะเดินนำผู้ติดตามหลายคนหายลับไปจากที่แห่งนั้น
“ คิดไปเองมั้ง……..? ”
หรือไม่ก็ได้ยินพวกผมเอะอะโหวกเหวกโวยวายกันเสียงดัง เลยหันมามองเฉยๆเหรอ?
ตัวผมที่ไม่อาจทราบความจริง ก็ได้เพียงแต่เอียงหัวอย่างฉงนท่าเดียว