เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 48 อยากหาเรื่องก็พร้อมรบ (5)

ในขณะที่การฝึกวิชาของผมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น (?) ฝั่งจิเซลที่ชักนำกลุ่มเด็กกำพร้าง่วนอยู่กับการฝึกซ้อมเตรียมตัวรับศึกแบบกลุ่ม ก็ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลต่างๆนาๆอยู่จากภายหลังฉากไปด้วย

ข้อมูลแบบไหนเหรอ ก็ต้องเป็นข้อมูลเกี่ยวกับกำลังรบของพวกคุณแคทลียา ที่เป็นคู่มือของพวกผมในการประลองอยู่แล้วสิ

 

“ งั้นก็จะจัดเรียงให้ดูได้ง่ายๆนะเว้ย ”

 

ภายหลังจากที่ทำการซ้อมรับศึกแบบกลุ่มร่วมกับจิเซลเสร็จเรียบร้อย

ณ ห้องสนทนาที่กลุ่มเด็กกำพร้ามักจะฮุบไว้เป็นของพวกตนอยู่เสมอๆ

จิเซลทำการกวาดสายตามองหน้าพวกผมทุกคนราวกับเป็นคุณครูในโรงเรียน ก่อนจะทำการเรียงข้อมูลของพวกคุณแคทลียาที่รวบรวมมาได้ในตลอดช่วงหลายวันมานี้

 

 

แคทลียา ริชมอนด์  อายุ 16 ปี  มนุษย์   <<จอมขมังเวทสองชั้น>> ธาตุไฟและดิน เลเวล 29 ที่สามารถใช้งานเวททิ้งระเบิดได้

ดาเรียส ร็อกลอนด์  อายุ 16 ปี  มนุษย์  <<อัศวินทำลายล้าง>> เลเวล 26

พาฟลอฟ โซลช์แมน  อายุ 16 ปี  มนุษย์  <<อัศวินประกายแสง>> เลเวล 26

 

 

ก่อนอื่นเลยก็คือทั้งสามคนที่ผสานกันเป็นใจกลางของปาร์ตี้

ถูกอย่างที่คุณลูด์มิร่าคาดการณ์เอาไว้เลย ผู้ติดตามสองคนที่มีความสามารถสูงล้ำเหนือกว่าพวกนั่นเป็นอาชีพสาย <<อัศวิน>> จริงๆด้วย

ฝั่งที่ร่างใหญ่และท่าทางดูจริงจังนั่นคือคุณดาเรียส เป็น <<อัศวินทำลายล้าง>> ที่มีความเป็นเลิศในด้านอำนาจโจมตีและป้องกัน

ส่วนฝั่งที่ร่างผอมและดูเจ้าอารมณ์นั่นคือคุณพาฟลอฟ เป็น <<อัศวินประกายแสง>> ที่มีความเป็นเลิศในด้านป้องกันและความเร็วแน่ะ

และข้อมูลที่จิเซลหามาได้ก็ไม่ได้หมดอยู่แค่นั้น

องค์ประกอบปาร์ตี้ของอีกฝั่งนั้น นอกจากสามคนข้างต้นซึ่งเป็นใจกลางแล้ว ก็มี <<ผู้ใช้เวทดิน>> เลเวล 20 สองคน

<<อัศวิน>> —-ที่เป็นอาชีพระดับกลางซึ่งมีจุดเด่นคือความเป็นเลิศในด้านป้องกันและสเตตัสที่มีสมดุลรอบด้าน—–เลเวล 20 สามคน  

เสริมด้วย <<เรนเจอร์ระดับกลาง>> เลเวล 20 ที่สามารถตรวจจับศัตรูได้กว้างพอสมควร กับ <<พรีสระดับกลาง>> เลเวล 22  อีกอย่างละคน……นั่นล่ะคือองค์ประกอบปาร์ตี้ของทีมอีกฝั่ง  

 

“ สุดยอดเลยจิเซล! เก็บมาได้ละเอียดขนาดนี้เชียว…… ”

 

เห็นข้อมูลจำนวนมากที่ถูกระบุเอาไว้อย่างละเอียดถี่ยิบแล้ว ผมก็ถึงกับเบิกตาโพลงอย่างทึ่ง  

ต่างกับนักผจญภัยสามัญชนที่มักจะระแวงเก็บสเตตัสของตนเอาไว้เป็นความลับสุดยอด เหล่าขุนนางนั้นไม่ได้ดึงดันที่จะปกปิดพลังของตนกันมากถึงขนาดนั้น

ที่เป็นแบบนั้นก็เนื่องมาจากแนวคิดที่ว่า [สำหรับขุนนางซึ่งมีหน้าที่ต้องปกป้องอาณาเขตแล้ว ให้คิดไว้ก่อนได้เลยว่าศัตรูมันล่วงรู้พลังอำนาจของพวกตนอย่างละเอียดแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็จะใช้ความสามารถเข้าข่มถล่มศัตรูให้ย่อยยับ นั่นล่ะคือศักดิ์ศรีของเจ้าเมือง] นั่น

ฉะนั้นการจะรวบรวมข้อมูลให้ได้ในระดับนึงมันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นหรอก…….แต่ก็ใช่ว่าขุนนางจะเที่ยวเอาข้อมูลของตนไปแพร่กระจายบอกใครต่อใครแบบไม่คิดหน้าคิดหลังซะหน่อย

เล่นสืบรู้ไปถึงเลเวลกับ <<คลาส>> ของสมาชิกทุกคนในปาร์ตี้ฝั่งศัตรูได้ก่อนที่จะถึงวันประลองแบบนี้ ตามปกติแล้วเป็นไปไม่ได้หรอก

ที่ทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลมากขนาดนี้มาได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ก็คงเป็นผลพวงจากบารมีของจิเซล แล้วก็เส้นสายที่จิเซลมีอยู่กับตัวนั่นแหละ

จิเซลนั้นมีพรสวรรค์ในฐานะนักผจญภัยโดดเด่นเหนือยิ่งกว่าใครๆ หนำซ้ำยังมีความเป็นมนุษย์ที่ทำให้เหล่านักเลงหัวไม้ต่างยอมรับจนทำให้รู้จักผู้คนได้มากมาย ฉะนั้นก็เลยเหมือนว่าเค้าจะสามารถล้วงเอาข้อมูลอย่างละเอียดของพวกคุณแคทลียามาจากแหล่งข้อมูลส่วนตัวได้น่ะนะ

 

“ เห็นว่าทุกคนเป็นอาชีพระดับกลางที่เลเวล 20 ขึ้นกันหมดแบบนี้แล้วมันก็ทำให้รู้ซึ้งถึงความต่างชั้นของพลังอีกรอบเลย…….แต่การฝึกวิชาก็เป็นไปได้สวยนี่นะ แถมถ้ามีข้อมูลนี่ละก็ จะต้องช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จของแผนเล่นทีเผลอเพื่อใช้ปราบตัวหัวหน้าในรวดเดียวได้แน่ๆเลยล่ะ! ”

“ ใช่ม้า? แต่ก็นะ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาดเว้ย ต้องระมัดระวังเตรียมตัวให้พร้อมสมบูรณ์ไปจนถึงนาทีสุดท้ายนั่นแหละ ต้องซัดเบ้าหน้าของไอ้พวกขุนนางบัดซบนั่นให้แหลกคามือให้ได้เลยนะเว้ย……! ”

“““ โอ้! ”””

 

กลุ่มเด็กกำพร้าพลันขานเสียงตอบรับจิเซลที่ฮึกเหิมเปี่ยมล้นไปด้วยใจสู้

เห็นว่าการเตรียมพร้อมรับการประลองดำเนินไปได้ด้วยดีแบบนี้แล้วพวกผมก็ยิ่งมีขวัญกำลังใจสูงมากขึ้น—–ทว่า เป็นในฉับพลันนั้นเอง

 

“ เฮ้ยจิเซล! รายละเอียดของการประลองถูกประกาศมาอย่างเป็นทางการแล้วล่ะ! ”

 

ที่มีเด็กกำพร้าคนนึงวิ่งแจ้นเข้ามาในห้องสนทนา

บรรยากาศภายในห้องพลันตึงเครียดขึ้นมาในทีเดียว

ตามจริงแล้ว ที่วันนี้ผมถูกเรียกให้มาที่นี่นั้น ไม่ได้เป็นเพียงเพราะว่าเค้าอยากจะแชร์ข้อมูลที่จัดเรียงได้ครบถ้วนแล้วอย่างเดียว แต่เพื่อให้มาอยู่รอประกาศนี้ร่วมกันด้วย

วันเวลาและกฎของการประลองที่คุณแคทลียากับจิเซลทำเรื่องประสานไปยังสมาคมร่วมกันนั่น ได้ถูกประกาศออกมาโดยทางการแล้ว

 

“ มาได้ซะทีเรอะ! เออแล้ว ตกลงมันเมื่อไหร่ล่ะ? ”

 

จิเซลถามรายละเอียดเรื่องวันเวลาที่จะจัดการประลอง

กฎนั้นได้ถูกยืนยันไว้อย่างแน่นอนแล้วว่าจะต้องเป็นแข่งโค่นตัวลีดเดอร์ที่ [ฝั่งไหนเด็ดหัวบอสของศัตรูได้ก่อนก็จะชนะ] ชัวร์  ก็เลยตัดสินว่าไม่จำเป็นต้องถามละมั้ง

ทว่า ท่าทีนั้นกลับดูประหลาดๆชอบกล

 

“ คือว่าเรื่องนั้น……ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยเหมือนกันหรอกนะ แต่…….. ”

 

เด็กกำพร้าที่เห็นรายละเอียดการประลองมาก่อนใครคนนั้น กลับทำใจพูดออกมาไม่ได้

แถมใบหน้านั้นยังซีดเผือดไปหมด แม้จิเซลจะสอบถามว่า “มันทำไมเรอะ? วันเวลามันเร็วกว่าที่กำหนดเหรอไง?” แต่เขาก็ไม่ยอมตอบกลับออกมาอย่างชัดเจนซักที

 

““ ………..? ””

 

รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล

ผมกับจิเซลหันมามองหน้ากัน ก่อนจะรีบวิ่งไปยังกระดานข่าวพร้อมกับกลุ่มเด็กกำพร้าคนอื่นๆ

 

 

“ อะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะฮะ! ไอ้เจ้าโง่ไม่มีพ่อไม่มีแม่พวกนั้น ป่านนี้คงจะหงายเงิบน้ำลายฟูมปากกันหมดแล้วละม้าง! ทำได้เยี่ยมมากเลยล่ะพาฟลอฟ! คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าเธอจะวางลูกไม้เอาไว้ป่วนประสาทพวกมันแบบนั้นด้วย ให้ว่าแล้วเธอก็รู้ใจฉันดีมาตั้งแต่ยังเล็กๆแล้วนี่นะเยี่ยมเยี่ยมเยี่ยม! ”

“ เป็นเกียรติของกระผมยิ่งครับ! ”

 

ณ มุมหนึ่งของห้องสนทนาที่มีเหล่าขุนนางมารวมตัวกันนั่นเอง ที่มุมปากของแคทลียาพลันแสยะเบิกบานขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี

กฎการประลองที่เพิ่งจะถูกประกาศออกมาเมื่อซักครู่นี้

มันได้ถูกผู้ติดตามร่างผอมที่ดูเจ้าอารมณ์——พาฟลอฟทำการใช้อำนาจดักทาง ควบคุมให้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นสิ่งที่ ยอดเยี่ยม สุดจะบรรยายเลยทีเดียว

 

“ แม้เราจะเข้าไปหาเรื่องด้วยวิธีการที่ถูกคำนวณเอาไว้อย่างดิบดีแต่แรกเริ่มแล้วว่าจะต้องทำให้อีกฝั่งโมโหเอาอารมณ์เป็นใหญ่ แต่การกระทำอันหยาบกระด้างถ่อยสถุลไม่รู้ที่ต่ำที่สูงของพวกมันที่บังอาจกล่าวผรุสวาจาแสนน่ารังเกียจใส่ท่านแคทลียานั้นก็หาได้เป็นสิ่งที่จะสามารถอภัยให้ได้ไม่ ฉะนั้นกระผมจึงได้กระทำการลงไป เพื่อบดขยี้หักหาญทำลายจิตใจของพวกมันให้แหลกสลายเสียตั้งแต่ก่อนที่การประลองจะทันได้เริ่มครับ ให้ไอ้พวกหน้าโง่นั่นมันรู้ซึ้งถึงความต่างชั้นของจุดยืนเสียบ้าง ”

 

พาฟลอฟยกมุมปากขึ้นมาแสยะอย่างเจ้าเล่ห์—-แต่หากมองในอีกมุมก็จะทราบได้ว่าเป็นสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี 100% ที่มีต่อแคทลียา——พลางกล่าวสาเหตุที่ทำให้ตนใช้อำนาจอย่างไม่เป็นทางการออกมา

 

“ หุหึหึ กระทืบไอ้พวกไม่มีพ่อไม่มีแม่ที่แต่เดิมก็กระจอกงอกง่อยอยู่แล้วให้เละคาที่ด้วยเงื่อนไขที่เราได้เปรียบอย่างท่วมท้นเหรอ อุ๊ยว้ายตายจริงแหม่แหม่แหม้ กว่าจะถึงการประลองยังเหลือเวลาอีกตั้ง 3 วันแท้ๆ แต่เธอทำแบบนี้ดิฉันก็ตื่นเต้นจนอดรนทนรอไม่ไหวกันพอดีน่ะสิ อื้อฮึพวกเราจะต้องชนะอย่างท่วมท้นแน่นอนอยู่แล้วหรอก………แต่จะทำการสั่งสอนนังเด็กที่บังอาจก่นด่าดิฉันผู้นี้ด้วยถ้อยคำอันแสนโสโครกนั่นให้หลาบจำยังไงดีนะ ”

 

หุหึหึ อะฮะฮะ

เรียกได้ว่าท่าทางนี่คือเด็กเปรตที่ทำการกลั่นแกล้งให้คนอื่นตกระกำลำบากสำเร็จโดยแท้เลย แคทลียาและพาฟลอฟต่างก็แลกเปลี่ยนรอยยิ้มที่ยากจะตัดสินว่าชั่วร้ายหรือไร้เดียงสากันแน่ให้กับกันและกัน

 

“ เฮ้อ———– ”

 

และผู้ที่เฝ้ามองทั้งสองคนนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก็คือผู้ติดตามร่างใหญ่ที่เป็น <<อัศวินทำลายล้าง>> —–ดาเรียสนั่นเอง

ตัวเขาที่เป็นชายผู้แสนจริงจังดั่งกับภาพลักษณ์ในอุดมคติของอาชีพ <<อัศวิน>> นั้น เหนื่อยหน่ายเสียเหลือเกินกับแคทลียาที่เจออะไรนิดหน่อยก็ได้ใจยกใหญ่ และพาฟลอฟที่ชื่นชอบโปรดปรานการเล่นสกปรกลูกไม้ตุกติกเสียนี่กระไร เพราะคบหากับสองคนนี้มาตั้งแต่ยังเล็กก็เลยมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่บ่อยมากเลยทีเดียว

การเปลี่ยนกฎอย่างขี้ขลาดในคราวนี้ก็เช่นกัน

ความต่างชั้นด้านกำลังรบของพวกตนกับกลุ่มเด็กกำพร้ามันชัดเจนท่วมท้นมาก คิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคงชนะสบายอย่างแน่นอน แต่เพราะนี่จะเป็นการประลองครั้งแรกสุดในฐานะผู้ติดตามของขุนนาง ตัวเขาก็เลยตื่นเต้นใจโลดโผนตั้งตารอรับศึกในคราวนี้อยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้นแหละ พอได้รับฟังแผนของพาฟลอฟเข้าแล้ว ดาเรียสก็เลยรู้สึกกร่อยเหมือนถูกป่วนทำลายความสนุกจนหมดสิ้นเลยทีเดียว

แต่ตนเองที่มีฐานะเป็นเพียงผู้ติดตามก็ไม่อาจปฎิเสธคัดค้านแผนการที่แคทลียาชื่นชมยกใหญ่นั่นได้อีก ดาเรียสจึงได้แต่ต้องลองกล่าวร้องเรียนแบบเบาๆเพียงอย่างเดียว

 

“ แต่ว่านะครับท่านแคทลียา หากเอาชนะด้วยเงื่อนไขที่ได้เปรียบเข้าทางเราถึงเพียงนี้แล้ว เหล่าผู้คนจากสถานกำพร้าจะตกลงปลงใจยอมรับผลกันได้หรือครับ ”

“ หึหึ ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ”

 

แต่แคทลียาก็ไม่แม้แต่จะสนใจถึงนัยยะของดาเรียสเลยซักนิด

 

 

“ ต่อให้อีกฝั่งจะยอมรับหรือไม่ แต่ผลการประลองนั้นก็จะเป็นที่สุด แล้วก็ไอ้พวกโง่ไม่มีพ่อไม่มีแม่พวกนั้นมันก็คงจะยังไม่เข้าใจกันเลยด้วยซ้ำละมั้ง ว่าในสังคมนี้น่ะ จะกลโกงเล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์นอกสนาม หรือการมีอำนาจทางการหนุนหลัง ทั้งหมดทุกอย่างต่างก็ถือเป็นความสามารถของเราได้ด้วยเช่นกันนะ ”

 

และด้วยตรรกะของขุนนางเช่นนั้น แคทลียาก็พลันยกเอาพัดขึ้นมากางปกปิดริมฝีปากเอาไว้ ก่อนจะแผดเสียงหัวเราะอย่างรื่นรมย์สำราญใจให้ดังกังวานไปทั่วทั้งห้องอีกครั้ง

 

 

“ ระยำเอ๊ย! เล่นกันแสบนักนะอีนังผู้หญิงสารเลว! ”

 

ห้องสนทนาพลันถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันเงียบสงัด ราวกับว่าความคึกคักกระฉับกระเฉงตลอดมาจนถึงเมื่อกี้เป็นเรื่องโกหกเลยก็ไม่ปาน

มีเพียงจิเซลที่บุกถล่มเข้าไปด่ากราดในสมาคมมาตลอดจนถึงตอนนี้เท่านั้นที่โกรธเกรี้ยวสติหลุด พาลฟาดทำลายข้าวของซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ก็ไม่มีใครคิดจะก้าวเข้าไปหยุดไว้เลยแม้ซักคนเดียว

จะเรื่องอะไรต่อมิอะไร ก็มีต้นเหตุอยู่ที่กฎของการประลองที่เพิ่งจะถูกประกาศออกมาเมื่อซักครู่นี้ทั้งหมดเลย

 

 

ศึกล้างบางโดยมีเวลาจำกัด

 

 

กล่าวคือ กฎถูกเปลี่ยนให้กลายเป็น ฝั่งที่สามารถทำให้อีกฝ่ายย่อยยับได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาที่กำหนด จะเป็นฝ่ายชนะนั่นเอง

แถมในกรณีที่ตัดสินผลแพ้ชนะไม่ได้ภายในเวลากำหนด ก็จะถูกยัดเงื่อนไขให้มีการแบ่งสนามฝึกซ้อมให้กับกลุ่มเด็กกำพร้าและกองกำลังของคุณแคทลียาฝั่งละครึ่งโดยอัตโนมัติ ฉะนั้นทางเลือกที่จะหนีเอาตัวรอดหวังเสมอนั้นจึงได้ถูกบดขยี้หายไปด้วย

หากคิดจากที่พวกคุณแคทลียาเป็นขุนนางที่มีอำนาจเหนือกว่าพวกผมมากแล้ว หากถูกแบ่งครึ่งจริงๆขึ้นมา ก็ให้คิดไว้ได้เลยว่าสิทธิควบคุมเหนือสนามฝึกซ้อมจะต้องถูกพวกเค้าแย่งไปทั้งๆอย่างนั้นแน่นอน

หากพวกผมอยากจะปกป้องสนามฝึกซ้อมเอาไว้โดยไม่ต้องยอมเป็นลูกไล่ของคุณแคทลียา ก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นใดแล้วนอกจากจะต้องถล่มเอาให้อีกฝั่งย่อยยับสถานเดียว

แถมสนามที่ถูกเลือกให้เป็นเวทีการประลอง ก็ยังเป็นป่า

เพราะเป็นป่าจำลองที่ถูกสร้างขึ้นไว้ใช้ในคาบเรียนปฎิบัติก็เลยไม่มีมอนสเตอร์ แต่สนามที่มีสิ่งกีดขวางบดบังขัดขวางการมองเห็นนั่น สำหรับพวกคุณแคทลียาที่มีทีมซึ่งผสานไว้ด้วยจอมขมังเวทอานุภาพสูงจำนวนหลายคน กับ <<เรนเจอร์ระดับกลาง>> แล้ว ถือว่าเป็นเวทีที่ได้เปรียบเข้าทางพวกตนอย่างที่สุดไม่มีอะไรเกินเลยทีเดียว

ต่อให้คิดยังไง สมาคมที่ทำเรื่องประสานการประลองก็ต้องถูกควบคุมอยู่โดยขุนนางแน่ๆ

แน่นอนว่าจิเซลถล่มเข้าไปด่ากราดในสมาคมมาตรงๆเลย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือถูกไล่ตะเพิดตั้งแต่หน้าประตู

ด้วยเหตุผลที่ว่า [การจะเปิดใช้สกิลนักบวชเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของทั้งสองฝ่ายในระหว่างทำการประลองนั้นมันจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมที่ซับซ้อนมาก และด้วยเงื่อนไขอีกมากมายจึงไม่อาจทำการเปลี่ยนกฎอย่างกะทันหันฉุกละหุกได้] แน่ะ……..เป็นเหตุผลที่เห็นได้ชัดเจนเลยว่าคือข้ออ้างดีๆนี่เอง

เหมือนว่าสมาคมที่ทำเรื่องประสานการประลองจะมีส่วนที่แยกตัวเป็นเอกเทศออกมาจากหน่วยงานการปกครองของบัสเคิลเบียร์ ฉะนั้นต่อให้แจ้งเรื่องขอคัดค้านผ่านทางกิลด์ แต่โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงกฎของการประลองที่จะเกิดขึ้นในอีกแค่ 3 วันให้หลังได้นี่ก็คือเกือบๆจะเป็น 0 เลย

 

 

“ ก็จัดไปดิวะ…….ถ้าพวกแกว๊อนท์อยากได้ตีนกันขนาดนั้น ก็จะฆ่าทิ้งเรียงตัวอย่างไม่ไว้หน้าเลยเว้ยระยำบัดซบ…….! ”

 

ในระหว่างที่จิเซลแผดเสียงที่เปี่ยมไว้ด้วยจิตสังหารและความพิโรธ สิ่งที่พลันแล่นเข้ามาในหัวของผมที่ตื้อชาไปหมด ก็คือคำพูดของคุณเอลิเซีย

 

[มันก็เริ่มจะรู้สึกขึ้นมาน่ะ ว่าตัวอันตรายที่แท้จริงนั้นไม่ใช่มอนสเตอร์ แต่เป็นหมู่เหล่ามานพด้วยกันนี่แหละต่างหาก…..ฉันคิดแบบนั้นล่ะนะ]

 

 

“ งั้นหรือ กลายเป็นเรื่องยุ่งเข้าอีกแล้วนะ ”

 

พอรายงานว่ากฎการประลองได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้ฝั่งขุนนางเป็นฝ่ายได้เปรียบมากซะจนไร้เหตุผลแล้ว คุณลูด์มิร่าก็พลันกล่าวออกมาอย่างเงียบเชียบเช่นนั้น

แล้วจากนั้นเค้าก็วางมือลงเหนือหัวของผมที่หวาดกลัวเนื่องจากความกะทันหันของสถานการณ์

 

“ เป็นโอกาสอันดีเลย ฉะนั้นจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจเสียนะ….ดูเหมือนว่าแค่ถูกจิเซล สตริงก์ รุมทำร้ายภายในป่าทิศตะวันตกนั่นจะยังไม่พอทำให้เธอมองเห็นภาพก็จริง….แต่ทีนี้ก็คงเข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าสิ่งที่จะก่ออันตรายกับคนเราอย่างไร้เหตุผล ไม่ได้มีเพียงมอนสเตอร์เท่านั้นน่ะ ”

“ ครับ…….. ”

 

ได้ยินคำพูดอันราวกับคำอภิปรายของคุณลูด์มิร่าแล้ว ผมก็ได้แต่เอ่ยตอบกลับไปด้วยเสียงค่อย

แต่เพิ่งจะมารู้ซึ้งเอาป่านนี้มันก็สายไปแล้ว

การประลองถูกกำหนดไปแล้วว่าจะถูกจัดขึ้นในอีก 3 วันให้หลัง ไม่อาจยืดขยายเวลาออกไปได้ แล้วก็จะไม่อาจฝึกวิชาพัฒนาฝีมือไปได้นานยิ่งกว่านั้นแล้วด้วยเช่นกัน

ถึงแม้การฝึกวิชาของเหล่าอาจารย์จะได้ผลดีท่วมท้นมากแค่ไหน แต่สิ่งที่สามารถทำได้ภายใน 3 วันมันก็มีจำกัด

หากเป็นแบบนี้ต่อไปละก็ พวกจิเซลจะต้องถูกแย่งสนามฝึกซ้อมไปเพราะผมจริงๆแน่

ในกรณีเลวร้ายที่สุด อาจจะถูกลากจนตกลงไปเป็นลูกไล่บริวารของขุนนางที่แสนโหดร้ายนั่นเลยด้วย

เพราะผม ปราถนาอยากจะเข้าสอบชิงสิทธิแท้ๆ

 

“ คุณลูด์มิร่าผมขอร้องล่ะครับ! ไม่มีวิธีดีๆบ้างเลยเหรอครับ! ”

 

ผมกำหนัดแน่น ก่อนจะก้มหัวให้กับคุณลูด์มิร่า

 

“ มีแค่ 3 วัน…ถึงแม้การฝึกวิชาของพวกอาจารย์จะยอดเยี่ยมเอามากๆ แต่ <<ไร้อาชีพ>> อย่างผมก็ไม่มีทางเก่งขึ้นมาได้ทันหรอก…แต่ถ้าเกิด ถ้าเกิดไม่คำนึงถึงภาระที่จะเกิดต่อร่างกายผมแล้วละก็ อาจจะพอมีทางอยู่บ้างก็ได้…..! ”

 

หากเป็นนักผจญภัยที่แกร่งสุดในโลกแล้วละก็ อาจจะพอมีการฝึกวิชาที่มีความเสี่ยงสูงแบบนั้นอยู่ก็ได้

ผมจึงวิงวอนข้อร้องคุณลูด์มิร่าแบบนั้นอย่างจนตรอก

ทว่า

 

“ …….เธอนี่มันจริงๆเลย ยังคงพร้อมจะช่วยเหลือทำเพื่อผู้อื่นโดยไม่คิดคำนึงถึงตัวเองอยู่เหมือนเคยเลยนะ ”

 

พอคุณลูด์มิร่าแสดงสีหน้าที่แยกไม่ออกว่ารู้สึกเพลีย หรือเอ็นดูกันแน่แบบนั้นแล้ว เค้าก็พลันกล่าวคำพูดอันสุดจะเชื่อออกมาจากปากในพริบตาถัดมา

 

“ ให้พูดจากข้อสรุปก็คือ ฉันไม่คิดจะทำการฝึกวิชาที่หนักหน่วงมีผลกระทบถึงร่างกายของเธอเลยแม้แต่น้อยนิด แล้วก็ไม่มีความจำเป็นให้ต้องทำด้วย ทำไมน่ะหรือ….ก็เพราะว่าฉันได้กำหนดมาตรฐานการฝึกวิชาในแบบที่จะทำให้เธอ สามารถถล่มกลุ่มขุนนางอันเป็นศัตรูให้ย่อยยับไม่เหลือแม้แต่คนเดียวเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้วยังไงล่ะ ”

“ ………เอ๊ะ? ”

“ กฎคือศึกล้างบาง? ของพรรค์นั้นหากคาดการณ์ถึงการต่อสู้จริงเอาไว้มันก็แน่อยู่แล้ว และต่อให้สนามจะเป็นป่าก็ไม่เกี่ยง เผลอๆแล้วแบบนี้จะยิ่งเข้าทางสไตล์ <<นักดาบเวทมนตร์>> เข้าไปใหญ่เลยด้วยซ้ำอีกต่างหาก ”

 

ในช่วงแรกๆ ผมไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยด้วยซ้ำ ว่าคุณลูด์มิร่าเค้ากำลังพูดอะไรอยู่กันแน่  

แต่คำพูดอันแฝงไว้ด้วยกำลังของคุณลูด์มิร่าที่แย้มยิ้มอย่างเยือกเย็นและกระหายการต่อสู้นั่น ก็ไม่ใช่ทั้งคำปลอบประโลมจิตใจหรือคำพูดให้ความหวังแต่อย่างใด มันคือวาจาที่เพียงแค่กล่าวเรียงความเป็นจริงออกมาก็เท่านั้น

 

“ ไม่จำเป็นต้องมีทั้งการฝึกวิชาอย่างหักโหมหรือแผนรับมือแบบขอไปทีใดๆทั้งสิ้น เธอแค่ปลดปล่อยสิ่งที่สานขึ้นมาออกไปให้เต็มกำลังในวันประลองเสียก็พอ ไม่ต้องห่วงไปหรอก การฝึกวิชาในอีก 3 วันที่เหลือนี้ จะต้องทำให้เธอได้มาซึ่งกำลังที่เพียงพอจะใช้ปกป้องเพื่อนพ้องจากเหล่าตัวตนอันแสนไร้เหตุผลได้อย่างแน่นอนเลย จะต้องเป็นจริงเช่นนั้นแน่ เพราะเธอคือคนที่ทำให้ฉันหลงใหล คือศิษย์รักที่ฉันลงมือเลี้ยงดูขึ้นมาอย่างดีด้วยใจเลยยังไงล่ะ ”

“ ………ฮึก! ”

 

พริบตาที่ถูกให้คำขาดด้วยดวงตาอันงดงามและซื่อตรงระดับทำให้เผลอเหม่อมองอย่างหลงใหล ร่างกายที่ถูกไล่ต้อนจนแข็งเกร็งของผมมันก็พลันเบาหวิวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

 

“ เฮ้ยเดี๋ยวเถอะ นังลูด์มิร่า [ของฉัน] นั่นมันหมายความว่ายังไงกันน่ะ!? ”

“ ตรงนั้นน่ะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็น [ของพวกฉัน] ต่างหากไม่ใช่เหรออ!? ”

 

แม้จะเกิดเหตุวุ่นๆอย่างพวกคุณลีโอเน่พุ่งกระโจนเข้าใส่คุณลูด์มิร่าคั่นกลางอยู่บ้าง

แต่ผมที่ถูกเหล่าอาจารย์ซึ่งทั้งอบอุ่นและพึ่งพาได้ช่วยปัดเป่าความหวั่นไหวให้ ก็พลันทำการทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีลงไปกับการฝึกวิชาใน 3 วันที่เหลือ

เพื่อเข้าท้าชนกับศึกตัดสินอันไร้เหตุผลของเหล่าขุนนาง แล้วปกป้องทุกคนในสถานกำพร้าเอาไว้ให้จงได้

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset