ที่อยู่ตรงกลางระหว่างผมกับกิมเล็ตที่เข้าประจำตำแหน่งเริ่มการประลองและกำลังหันจ้องเข้าหากัน ก็คือพวกคุณกรรมการที่เริ่มต้นตรวจสอบครั้งสุดท้าย เพื่อเช็คว่าข่ายอาคมแบบพิเศษที่จะลบล้างบาดแผลสาหัสถึงชีวิตได้เพียงหนึ่งครั้งนั่นยังคงทำงานได้ดีอยู่หรือไม่
เสียงโห่ร้องระเบิดระเบ้อที่เปี่ยมไปทั่วลานประลองค่อยๆลดระดับลงมา ความประหม่าเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นทีละระดับ
[ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทั้งสองฝ่าย เตรียมพร้อม!]
เมื่อเสียงแหลมของกรรมการดังก้องขึ้นมา ภายในสถานที่ก็พลันเงียบกริบกันลงไป
“ ……ฟู่วว ”
ผมเอามือแตะไปยังด้ามดาบ ราวกับเป็นการปรับลมหายใจ
(ทาสกามของขุนนางโรคจิตบ้างล่ะอะไรบ้างล่ะ โดนเงื่อนไขสุดจะบ้าที่โพล่งออกมาอย่างกะทันหันปั่นหัวจนสมาธิเสียไปเลยก็จริงหรอก……แต่ถึงยังไงสิ่งที่ต้องทำก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอยู่ดี)
ต้องเอาชนะศัตรูที่แกร่งเหนือกว่าอย่างท่วมท้น
เพื่อการนั้นแล้วจะเข้าท้าชนด้วยการเตรียมใจแบบครึ่งๆกลางๆไม่ได้ ความคิดวอกแวกทั้งหลายมีไปก็รังแต่จะเกะกะเปล่าๆ
หวนรำลึกถึงการสู้ประลองฝีมือประหนึ่งร่ายรำที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าร่วมกับคุณลีโอเน่ และศึกเป็นตายกับ ริสก์ 5 ที่ปะทะห้ำหั่นแก่งแย่งชีวิตกันในส่วนลึกสุดของดันเจี้ยน
เพ่งจิตทั้งหมดมวลให้ไปรวมอยู่กับการต่อสู้เบื้องหน้า——และผมก็กระชากเอาดาบสั้นออกมา
“ หึ ถึงจะต่ำต้อยด้อยกว่าแต่ก็พกกำลังใจมามากพอตัวนี่ ”
กิมเล็ตชักดาบเรียวยาวที่ส่องประกายแวววาวออกมาอย่างเงียบงัน
ท่วงท่าที่ถูกฝึกฝนอย่างดี รวมทั้งความน่าเกรงขามอันท่วมท้นของผู้แข็งแกร่งมันทำเอาราวกับว่าสุ้มเสียงทั้งหมดมวลในรอบบริเวณได้เลือนหายไป——และเป็นท่ามกลางสภาวะที่รู้สึกหลอนเหมือนกับว่าในสถานที่แห่งนี้มีเพียงแค่ผมกับกิมเล็ตนั่นเอง ที่กรรมการพลันยกมือขึ้นมาดังฟึ่บ
[ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวกันพร้อมแล้วนะ? ถ้าอย่างนั้นก็——เริ่มได้!]
พริบตานั้น บรรยากาศของลานประลองที่เงียบกริบจนถึงขีดสุดก็ได้ระเบิดบึ้ม
เสียงโห่ร้องดังก้องกังวานขึ้นดัง โว้ววววววว! ลานประลองสั่นคลอน ความเร่าร้อนและใจสู้ลุกโชนขึ้นมาอยู่ลึกภายในร่างกาย
“ บัฟ——! ”
ราวกับถูกผลักดันโดยตัวแปรสารพัดอย่าง ผมเตะพื้นพุ่งทะยานออกไปด้วยความคิดที่ว่าเปิดก่อนได้เปรียบ
แต่ในพริบตาถัดมา——
“ ขึก!? ”
เมื่อได้ประจักษ์ภาพอันแสนประหลาดนั่นแล้ว เท้าของผมก็หยุดกึกลงกับที่
หยุดกึกแบบฉับพลันในระดับที่หากเป็นปกติแล้ว คงจะถูกเหล่าผู้ชมโวยวายว่าไอ้ป๊อดเอยไอ้ใจปลาซิวเอยเลยทีเดียว
แต่กลับไม่มีเสียงก่นด่าว่าร้ายใส่ผมดังขึ้นมาเลยซักแอะเดียว เพราะว่า
“ เป็นอะไรไป? ใยจึงไม่เข้ามา? ”
กิมเล็ตเลิกตั้งท่าแล้วกลับมายืนนิ่งเฉยอยู่กับที่นั่นเอง
ไม่สิ ไม่ใช่ยืนนิ่งเฉยด้วยซ้ำ
เขากางแขนออกกว้างในสภาพที่เอาปลายนิ้วหนีบดาบให้ห้อยต่องแต่ง เผยท่าทางดั่งกับกำลังล่อให้โจมตีเข้ามาเลยยังไงยังงั้น
“ คิดจะทำอะไรน่ะ……! ”
“ ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น แค่การประลองในวันนี้มันคือการแสดงประเภทนึงน่ะนะ ”
กิมเล็ตยักไหล่
“ หากฉันเป็นฝ่ายบุกเข้าไป การดวลก็จะจบสิ้นลงในพริบตาเลย หากเป็นเช่นนั้นแล้วเหล่าผู้ชมก็คงจะไม่พอใจกันใช่ไหมล่ะ? เอาสิ จะอยู่ในสภาพนี้ให้อีกซักระยะ ดังนั้นเชิญรุกเข้ามาใส่ได้ตามใจชอบเลย ”
“ ……ขึก! ”
ยั่วโมโหกันอย่างชัดเจน ไม่สิ สำหรับกิมเล็ตแล้วอาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นการยั่วยุเลยก็ได้
<<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> เลเวล 50 กับ <<ไร้อาชีพ>> เลเวล 0
เราสองคน มีความต่างชั้นที่มากมายมหาศาลถึงขนาดนั้นแหละ
ทว่าถึงอย่างนั้น……หากถูกทำบ้าๆใส่แบบนี้แล้วก็ไม่มีทางจะสงบใจไม่ให้ถูกกระตุ้นไว้ได้หรอก
และต่อให้จะยังไงก็ตามแต่ หากต้องเผชิญกับผู้ที่แกร่งกว่าแล้ว ก็จะยอมนิ่งเฉยเป็นฝ่ายรับไม่ได้เด็ดขาดเลย
ถ้าอย่างนั้น——
“ ก็ยิ่งเข้าทางผมเลย! Lv12—— <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย>> ! ”
ผมแผดเสียงคำรามลั่นเป็นการยินดีรับคำท้าทาย
พุ่งปรี่กระชั้นชิดเข้าไปใกล้ด้วยเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ในตัว แล้วจึงเปิดใช้สกิลบัฟที่ฝึกปรือขึ้นมาในพริบตาที่ฟาดโจมตี
การลอบจู่โจมที่เพิ่มระดับความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน ได้ถูกปล่อยกระแทกกระทั้นไปยังเบ้าหน้าที่ปราศจากการป้องกัน!
“ โฮ่ เร็วเป็นคนละระดับกับในตอนเทศกาลวิวาทเลยนี่นา ”
“ ฮึก!? ”
ลอดผ่านการโจมตีมาได้!?
ไม่สิ กิมเล็ตขยับตัวหลบในระยะฉิวเฉียดต่างหาก
ด้วยการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุด หนำซ้ำยังมองการโจมตีของทางนี้ออกอย่างสมบูรณ์แบบ
“ เห็นได้ชัดว่าทุ่มกำลังหามรุ่งหามค่ำไปกับการฝึกฝนมากพอดูเลยในตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ”
กิมเล็ตทำการประลองด้วยท่วงท่าแสนเย่อหยิ่งที่ไม่ยอมตั้งดาบซะด้วยซ้ำ
แต่ดวงตาที่เพ่งเน้นไปยังการหลบหลีกก็เฝ้าสังเกตวิถีดาบของผมอย่างไม่มีประมาท
กิมเล็ตแสดงความสบายๆระดับที่ทำได้กระทั่งเฝ้าวิเคราะห์ความสามารถของผมอย่างเยือกเย็นไปพลาง สร้างรอยยิ้มขึ้นมาด้วยท่วงท่ายั่วยุ
“ ขุ่ก หนอยยยยยยยยย! <<บัฟกำลังดาบระดับกลาง>> ! ”
คำราม
ตามด้วยเปิดใช้สกิลระยะประชิด ฟาดอัดเข้าใส่กิมเล็ตด้วยสุดกำลังเต็มพิกัด
เร่งและลดความเร็วอย่างกะทันหัน, โจมตีลวง, สลับใช้สกิลต่างๆ
ทุ่มกลเม็ดเคล็ดลับสารพัดหลากหลายอย่างแยบคาย เอาแต่ตั้งหน้าฟาดคมดาบอัดเข้าใส่ไม่ยั้ง
ทว่าถึงอย่างนั้นก็เถอะ
“ เข้าใจแล้ว ดูท่าแกจะครอบครองพลังอำนาจแบบพิเศษที่ไม่สมกับเป็นสามัญชน <<ไร้อาชีพ>> จริงๆนั่นล่ะ ”
ดาบของผม กลับไปไม่ถึงตัวกิมเล็ตเลยแม้แต่น้อย
ระยะห่างแบบฉิวเฉียดนั่น มันช่างห่างไกลอย่างไร้ขีดจำกัดเหลือเกิน!
“ มีเวลาแค่หนึ่งเดือนแต่กลับเติบโตได้ถึงขนาดนี้ ไม่ธรรมดาเลย ทว่า ”
พริบตานั้น ร่างของกิมเล็ตก็พลันพร่ามัว
“ ถึงอย่างนั้นก็ยังมาไม่ถึงฉันอยู่ดี นี่ล่ะคือความต่างชั้นอันท่วมท้นระหว่างสามัญชนกับขุนนางที่ผ่านการฝึกฝนตนเองมาอย่างหนักหน่วง ”
“ ขั่ก——!? ”
ถูกถีบด้วยความเร็วที่ตามองตามไม่ทัน
ในจังหวะที่รับรู้ได้แบบนั้น ร่างของผมก็ปลิวกระเด็นไปอย่างยิ่งใหญ่ กลิ้งกระดอนไปตามเวทีที่ถูกโรยทรายประหนึ่งเศษขยะ แข็งแกร่งมาก เร็วมาก มากเกินไปแล้ว
“ โอ๊ะโอ เพราะคิดว่าถ้าเอาแต่หลบอย่างเดียวแล้วผู้ชมคงจะเบื่อ ก็เลยเผลอตัวไวเท้าลื่นไปซะได้ ขอโทษด้วยนะ เอ้าถึงตาของเธอแล้ว ”
กิมเล็ตปั้นรอยยิ้มที่เหมือนข่มขวัญ แล้วจึงกางแขนสองข้างออกกว้างอีกครั้ง
“ ……ขึก ถ้าการโจมตีระยะประชิดใช้ไม่ได้ผลละก็——! ”
ผมที่ถูกถีบกระเด็นจนเว้นระยะออกห่างมาจากกิมเล็ต ได้เอามือกดท้องที่ถูกถีบแล้วเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา ที่ร้องขับขาน ก็คือท่วงทำนองของพลังเวทที่อัดพลังใส่เข้าไปเต็มเหนี่ยว
“ ——จักกุมบังเหียนเหนืออำนาจอันท่วมท้นให้กลายมาเป็นกระสุนปืนใหญ่แห่งเราแล้วปัดเป่ามารศัตรูให้หมดไป—— <<ทริปเปิลวินด์แลนซ์>> ! ”
ที่ถูกปล่อยออกจากฝ่ามือ ก็คือทอร์นาโดสามลูกที่แผดเสียงคำรามอย่างหนักหน่วง
หอกสายลมที่ทำให้แม้กระทั่ง <<อัศวินทำลายล้าง>> ซึ่งเป็นเลิศในด้านป้องกันก็ยังต้องน็อคหมดสภาพในเปรี้ยงเดียวนั่น พลันพุ่งถาโถมคุกคามเข้าใส่กิมเล็ตด้วยความเร็วมหาศาล ต่อให้เป็นอาชีพระดับสูงก็เถอะ แต่ถ้าโดนเข้าไปแล้วก็คงจะเจ็บหนักเลยเหมือนกันล่ะ ถ้าโดนละก็นะ
“ ช้าจริง ”
กิมเล็ตหลบการโจมตีได้ดั่งกับเป็นเรื่องปกติสมควร
อาชีพระยะประชิดที่หลบเวทโจมตีได้ด้วยสเตตัสเพียวๆโดยไม่ต้องใช้สกิลสายเพิ่มความเร็วเลยนี่ มันคือฝันร้ายชัดๆ แต่แบบนี้แหละดี ไม่ได้คิดว่าจะโดนตั้งแต่แรกแล้ว
“ ย่าาาาาาาาาาาาาา! ”
ผมที่ทะยานออกไปในฉับพลันเดียวกับที่ปลดปล่อยเวทลม ได้อาศัยฝุ่นทรายที่ฟุ้งกระจายเพราะวินด์แลนซ์เป็นตัวกำบังเพื่อกระชั้นชิดเข้าใกล้กิมเล็ต
กระแทกกระทั้นอัดการโจมตีที่เร็วมากที่สุดเข้าใส่ในระยะเผาขน!
“ เป็นกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมมาก ถือเป็นแผนที่มีเพียงแค่แกซึ่งใช้ได้ทั้งสกิลเวทมนตร์และระยะประชิดเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้ ”
“ ห้ะ——!? ”
แต่แม้จะทำถึงขนาดนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้า <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> แล้วก็ไร้ความหมายสิ้นดี
กิมเล็ตที่ขยับขาไปข้างๆเพียงก้าวเดียวนั้น ได้หลุดออกไปจากม่านฝุ่นทรายภายในชั่วอึดใจเลย
แน่นอน ดาบของผมไม่ได้เฉียดผิวแม้แต่นิด
“ ——ขึก! ยังหรอก! ต่อไปจะพัดฝุ่นทรายให้กระจายเป็นวงกว้างยิ่งขึ้นอีก! หมู่มวลอากาศที่ห่อหุ้มปกคลุมอยู่ทั่ว—— ”
“ มุกนั้นน่ะพอได้แล้ว ผู้ชมเบื่อแล้ว ”
“ ข่ะ——อั่ก!? ”
เปรี้ยง!
การโจมตีเร็วสุดขั้วไร้ทางหลบหนีได้ถูกปล่อยกระแทกอัดเข้ากลางท้องของผมเข้าอีกรอบ
อย่าว่าแต่จะฟาดด้วยเวทมนตร์ให้โดนเลย ถูกขยี้คำร่ายอย่างรวดเร็วซะก่อนจะทันได้เปิดใช้ซะอีก
จะระยะใกล้หรือระยะไกลก็ไร้ค่าเหมือนกัน ความต่างชั้นอันเข้มงวดมันขวางกั้นอยู่ในระดับที่กระทั่งประกายที่จะนำไปสู่การพิชิตก็ยังไม่มี
“ เอาละ เท่านี้ก็ขยี้ไพ่ในมือแกไปได้หมดแล้วสินะ? ”
ตุบ ตุบ
กิมเล็ตก้าวเข้ามาใกล้ผมที่คืบคลานอยู่เหนือพื้น
“ อ๊ะไม่สิ ยังมีอยู่อีกนี่นะ เหมือนว่าจะเป็น <<ครอสเคาน์เตอร์>> ใช่ไหม? ”
รอยยิ้มที่สนุกสนานกับการทารุณ ได้ลอยปรากฎขึ้นมาเหนือใบหน้าของกิมเล็ตที่เอามือแตะคางอย่างจงใจ
“ เข้าใจล่ะ นั่นคือสกิลที่จะไม่ทำงานตราบที่ทางนี้ไม่เป็นฝ่ายโจมตีเข้าไปสินะ ……งั้นก็ขอให้ฉันได้เริ่มต้นโชว์ของบ้างก็แล้วกัน ”
“ ฮึก! ”
เป็นตรงนั้นเองที่กิมเล็ตเริ่มต้นจับดาบอย่างดีๆ——และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็คือการต่อสู้ที่ดำเนินไปเป็นฝ่ายเดียวอย่างสุดขั้ว
“ ——อึ้ก! อุว๊าาาาาาาาาาา!? ”
คลื่นดาบเบาๆที่เหมือนข่มขวัญรังแกนั่น การฟาดกระแทกอันไร้ซึ่งปรานีนั่น ได้ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยระดับความเร็วที่ตามองตามไม่ทัน
ตั้งหลายเปรี้ยง หลายสิบเปรี้ยง หลายร้อยเปรี้ยง!
เข่าลอยที่ถูกปล่อยกระแทกกระทั้นเข้าใส่เครื่องป้องกันมันทำให้ร่างผมงอเป็นทรงตัว < , เลือดที่ไหลทะลักออกมาจากปากแผลฉีกขาดนับไม่ถ้วนมันย้อมเครื่องสวมใส่ให้เป็นสีแดงไปหมด
การกระหน่ำจู่โจมที่ถูกผ่อนแรงไม่ยอมให้ผมหมดสตินั่น ได้ถาโถมเข้าทำร้ายทำลายร่างกายผมไม่หยุดยั้งไม่ขาดสายประหนึ่งเป็นพายุคลั่งที่พัดเอาซากแหลมมาด้วย
“ หะ เฮ้ย รู้ผลกันแล้วมั้งเนี่ย!? ”
“ การประลองจะไม่จบจนกว่าจะหมดสติหรือขอยอมแพ้นั่นแหละ! แต่ว่าแบบนี้มัน…… ”
“ อย่าได้หยุดเชียวนะว้อย! ตรูมาเพื่อดูไอ้นี่แหละ! เยี่ยมเล้ย เอาอีกสิวะเอาอีก! ”
“ นั่นคือการต่อสู้ของคนอายุ 19 ปีจริงๆน่ะเรอะ……!? ”
“ ไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> นั่นก็มีสกิลเซ็ตสุดจะบ้าบอสมชื่อที่สามารถถล่มปาร์ตี้อาชีัพระดับกลางของขุนนางได้เลยแท้ๆ แต่กลับถูกเล่นอยู่ฝ่ายเดียวแบบนั้นเลย…… ”
เลือดที่สาดปลิวกระเซ็น ทำให้มีเสียงสารพัดรูปแบบดังก้องขึ้นมาจากทางที่นั่งคนดู
กิมเล็ตจ้องมองสภาพของลานประลองดังกล่าวอย่างพึงพอใจไปพลาง ส่งสายตาลงมายังผม ผมที่เละเทะสะบักสะบอมมากซะจนแค่จะยืนก็ยังเต็มกลืนน่ะ
“ เอาละ น่าจะเข้าใจในความต่างชั้นของขุนนางและสามัญชนได้มากพอแล้วกระมัง ทั้งคนดู แล้วก็ตัวแกเองด้วย ”
การลงทัณฑ์ <<ไร้อาชีพ>> ที่ริอาจมาทำให้นามของพรรคดิออสเกรฟต้องเสื่อมเสีย
การกู้คืนอิทธิพลของพรรคดิออสเกรฟที่เสื่อมถอย
กิมเล็ตที่เข้าบดขยี้ผมในสภาพเต็มกำลังอย่างซึ่งหน้าและกระทืบให้ยับเยินหมดรูปจนเกือบจะทำตามเป้าหมายสำเร็จลุล่วงไปแล้วนั่น พลันกล่าวออกมาอย่างไร้ปรานีประหนึ่งเป็นเพชรฆาตเหนือแท่นตัดหัว
“ ถึงแม้จะเห็นผลแพ้ชนะกันอยู่เต็มตาแล้ว……แต่แค่ลงดาบเผด็จศึกอย่างเรียบง่ายมันก็คงจะน่าเบื่อตาย นั่นสินะ ทำการ ลงดาบใส่แกอย่างต่อเนื่อง ให้ต้องทุกข์ทรมานไปจนถึงนาทีสุดท้ายเลยดีกว่า ”
“ ——ขึก!? ”
พริบตานั้น
กิมเล็ตก็พลันปรากฎขึ้นมาอยู่ต่อหน้าผมอย่างกะทันหัน……ในจังหวะที่คิดแบบนั้น การโจมตีที่สาหัสถึงชีวิตก็ได้ถูกเสียบเข้าไปยังร่างกายของผมเรียบร้อยแล้ว
แคร่ก!
แรงกระแทกและเสียงประหลาดที่ไม่ใช่แค่เนื้ออย่างเดียว แต่เหมือนกับว่าจะแล่นทำลายไปจนถึงกระดูกเลยด้วยซ้ำ
กิมเล็ตได้เสียบดาบลงลึกเข้าไปในไหล่ของผม จนคมดาบทะลุออกมาโดยสมบูรณ์เลยนั่นเอง
“ ——-อึ้ก!? อ๊าาาาาาาาากกกกกกกกก! ”
สัมผัสร้อนผ่าวที่แล่นทะลวงสมองอย่างล่าช้า มันบีบให้มีเสียงร้องโหยหวนทะลักทะล้นออกมาจากปากของผม
“ ครอส! ”
รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องของจิเซลดังขึ้นมาจากที่ไหนซักแห่งที่ห่างออกไป
แต่ที่สะเทือนแก้วหูของผมดั่งกับเป็นการกลบเสียงของจิเซลให้หายไป ก็คือเสียงหัวเราะเยาะของกิมเล็ตที่เสียบดาบเข้าไปในร่างกายของผมด้วยระยะห่างที่แทบจะตัวติดชิดกัน
“ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แขนขวาจะถูกพิษความเจ็บปวดเล่นงานจนไม่อาจขยับเขยื้อนดั่งใจได้อีกแล้ว เอ้า ต่อไปจะทำลายตรงไหนต่อดีนะ ”
ในเมื่อเป็นตอนนี้ที่การดวลเกือบๆจะรู้ผลไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแค่ต้องไตร่ตรองว่าจะทารุณทำร้ายทำลายไอ้เจ้า <<ไร้อาชีพ>> ที่เหิมเกริมมาทำให้พรรคต้องเสื่อมเสียยังไงดีเท่านั้น กิมเล็ตทุ่มจิตคิดร้ายเช่นนั้นเข้ามาใส่กันแบบไม่มีไว้หน้าปรานีเลย
และผมที่รับฟังเสียงหัวร่อของขุนนางลำดับสูงอยู่แบบนั้น ก็ได้เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา
“ ……ดก็…… ”
“ อื๋อ? ว่าอะไรนะ เพิ่งจะมาอ้อนวอนขอความเมตตาเอาป่านนี้หรือ? ”
“ ในที่สุดก็——เข้ามาฆ่าผมแล้วสินะครับ……? ”
“ ฮึก!? อะ ไรกันน่ะแก!? ทำไมถึงได้ในสถานการณ์เช่นนี้—— ”
พริบตานั้น ใบหน้าของกิมเล็ตที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจก็พลันแข็งเกร็งไปด้วยความตกตะลึง
คิดว่าคงจะเป็นเพราะ——ผมที่น่าจะกำลังทำหน้าเบี้ยวเนื่องด้วยความเจ็บปวดที่ถูกเสียบทะลุไหล่นั่น กลับ ปั้นรอยยิ้มอย่างเบิกบานขึ้นมาเต็มใบหน้า ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้นั่นเอง
“ ……ฮึก!? เสียสติไปแล้วรึไอ้สามัญชน! ”
กิมเล็ตที่สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด พยายามจะผละตัวออกห่างจากผมด้วยแววตาที่เหมือนกำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดแสนน่าขยะแขยง
ทว่า
“ ไม่ให้หนี ”
“ อะ……ไร!? ”
แขนขวาของผมที่ถูกแทงทะลุไหล่จนไม่น่าจะขยับเขยื้อนได้แล้ว มันคว้าหมับจับเสื้อของกิมเล็ตเอาไว้สุดแรงเต็มเหนี่ยวไม่ยอมปล่อย
นั่นคือจุดบอดทางจิตใจของกิมเล็ตที่เชื่อมั่นว่าทำลายไหล่ขวาของผมไปโดยสมบูรณ์แล้ว
ช่องโหว่เพียงชั่วพริบตาที่ทั้งกายและใจต่างก็แข็งทื่อหยุดกึกกับที่ต่อหน้าสถานการณ์ประหลาดที่ประดังกันเข้ามา
สภาวะหัวหยุดทำงานอันร้ายแรงถึงชีวิต ที่ทำให้ความเร็วแสนภาคภูมิใจตายสนิทไปชั่วอึดใจ
พริบตานั้น สกิลที่ผมได้เตรียมการเอาไว้ ก่อนเริ่มต้นการประลอง ก็พลันฉุดดึงเอาพลังเวทมารวมกันในบัดดล!
“ เมจิคสต็อกเกอร์ รีลีส! (กลั้นหน่วงเวทมนตร์ ปลดปล่อย!) สกิลสายมารระดับกลาง <<สปีดเอาท์ : เบรค>> ! ”
“ ห้ะ——!? ”
จะพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาแต่เกิด หรือประสบการณ์ที่สั่งสมมาแบบไหนเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยงทั้งสิ้น
หมอกสีดำประหนึ่งจิตเคียดแค้นพยาบาทที่จะฉุดลากผู้มากฝีมือให้ร่วงหล่นลงมาจากยอดสูงอย่างไร้ทางต่อกร ได้กระจายเข้าห่อหุ้มขุนนางลำดับสูงที่ดวงตาเบิกโพลงอย่างตกตะลึงในระยะห่างเป็นศูนย์