เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย – ตอนที่ 77 การประลองแห่งความวิบัติ (3)

“ ห้ะ——!? ”

 

กิมเล็ตตกอยู่ในห้วงแห่งความสับสนสุดขั้ว

ทั้งที่การดวลน่าจะได้ผลตัดสินไปโดยสมบูรณ์แล้วแท้ๆ แต่ครอสกลับปั้นรอยยิ้มอันน่าขนลุกขึ้นมา

มือขวาอันเหนือความคาดหมาย ที่แม้ถูกทำลายไหล่ไปแล้วแต่ก็ยังเข้ามาตะครุบจับเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงเต็มเหนี่ยว

ทั้งหมดนั่นล้วนคือเหตุผิดปกติที่มากเพียงพอจะทำให้แม้กระทั่งอาชีพระดับสูงผู้มากล้นประสบการณ์ก็ยังถึงกับต้องร่างกายแข็งทื่อไปด้วยความสับสน ส่งให้หมอกดำที่ถูกปล่อยกระแทกกระทั้นเข้ามาโดยปราศจากคำร่ายกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลบเลี่ยงไปโดยบริบูรณ์

หมอกดำที่ประหนึ่งห้วงลึกได้เข้าห่อหุ้มทั่วร่างกายของกิมเล็ต

 

“ ขุ่ก——!? ”

 

ท่ามกลางสภาวะที่ยังคงสับสนไม่สร่างจากความตกตะลึงที่ประดังกันเข้ามา กิมเล็ตก็ได้กระชากปัดมือขวาของครอสทิ้งพร้อมกับชักดาบ แล้วจึงถอยเว้นระยะห่างแบบเกือบๆตามสัญชาติญาณ

ถูกอาบด้วยหมอกดำไปเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

ไม่ได้รับความเสียหายตรงไหนเลย เห็นเช่นนั้นแล้วกิมเล็ตก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก——แต่มันเป็นในบัดนั้นเองที่เขารู้ตัว รู้ตัวถึงเรื่องที่ตนเองถอยเว้นระยะห่างออกจากครอสได้ไม่ไกลอย่างที่คาดเอาไว้

รู้ตัวถึงเรื่องที่ภาพทิวทัศน์รอบตัวซึ่งไหลผ่านไป มันช่างเชื่องช้ามากเหลือเกินหากเทียบกับในยามปกติแล้ว

 

“ นี่มันอะไรกันน่ะ……!? ร่างกายหนักอึ้งไปหมด……!? ”

 

ไม่ใช่แค่ความเร็วการเคลื่อนไหวอย่างเดียว

ทั้งมือที่จับดาบ ทั้งสายตาที่แล่นสำรวจตรวจหาความผิดปกติเหนือร่างกาย การเคลื่อนไหวทั้งหมดมวลมันหนักอึ้งและติดขัดไปหมด

ปรากฎการณ์ที่เหมือนดั่งคำสาปนี่ พอจะคิดออกได้แค่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

 

“ อย่าบอกนะว่าหมอกดำนั่นคือ……เวทลดความเร็วหรือ!? ”

 

สกิลดีบัฟที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นสิ่งที่มอนสเตอร์ใช้เข้ามาใส่

ความเป็นจริงที่ตนโดนเจ้าสิ่งนั้นเข้าภายในการต่อสู้กับมนุษย์ด้วยกัน มันยิ่งทำให้ความสับสนมึนงงของกิมเล็ตยกระดับเพิ่มขึ้นไปอีก

 

(หมายความว่าอย่างไรกัน!? ต่อให้ <<ไร้อาชีพ>> จะสามารถเรียนสกิลพื้นฐานของ <<คลาส>> ทั้งหมดได้ก็เถอะ แต่ต้องไปทำที่ไหนทำอย่างไรถึงได้สกิลดีบัฟที่แสนทรงอำนาจมากถึงเพียงนี้มา……!? ไม่สิ ที่ยิ่งกว่านั้น——)

“ ใยฉันผู้นี้ จึงโดนเวทโจมตีของพวกที่ต่ำต้อยด้อยกว่าเข้าไปได้!? ”

 

กิมเล็ตเปล่งเสียงออกมาต่อสถานการณ์ที่สุดจะเชื่อมากเกินไป

หมอกดำที่ครอสปล่อยออกมานั่นไม่ได้มีวี่แววของคำร่ายเลย

ไร้คำร่าย?

ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้

สกิลไร้คำร่ายมันคือสกิลขั้นสูงส่งที่มีความยากในการเรียนระดับ A และถูกเรียกขานว่าเป็นกุญแจที่จะเปิดทางไปสู่การเข้าถึงระดับเหนือมนุษย์ (อาชีพระดับสูงสุด) เลยทีเดียว ต่อให้การเติบโตของครอส อาราเกาท์จะรวดเร็วมากมายถึงเพียงใด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถไขว่คว้ามาได้ง่ายๆแบบนั้นหรอก

ถ้าอย่างนั้นแล้ว ความเป็นไปได้ที่พอจะคิดออกก็คือ——

 

“ เมจิคสต๊อกเกอร์……สกิลที่ใช้หน่วงเวลาตั้งแต่หลังจากกล่าวคำร่ายเสร็จไปจนถึงเปิดใช้เวทมนตร์——สกิลลอบจู่โจมสำหรับใช้ยืดขยายเวลาประคองเวทหรือ!? ”

 

ไม่สิแต่ว่า ต่อให้ครอสใช้เมจิคสต๊อกเกอร์จริง แต่ก็ยังมีจุดที่ประหลาดอยู่

ในตอนปลดปล่อยหมอกดำนั่น ครอสได้ถูกแทงทะลุไหล่อย่างไม่ผิดพลาดแน่นอน

น่าจะถูกพิษความเจ็บปวดเล่นงานจนไม่อาจทนประคองเวทไว้ได้อีกต่อไปเลยนี่ แต่แล้วทำไมถึง……

 

“ อะไรมันเป็นอย่างไรกันแน่……ห้ะ!? ”

 

กิมเล็ตที่หันตามองไปทางครอสในสภาพสับสนสุดขีด พลันพบเห็นเข้ากับสิ่งที่ไม่อยากจะเชื่อมากยิ่งกว่า

 

“ สำเร็จ โดนแล้ว……! ”

 

ครอสที่จับดาบด้วยสองมือและปลุกใจสู้ให้ลุกโชนประหนึ่งว่าไม่สัมผัสถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อยนิด

และรอยแผลอันน่าสยดสยองที่เสียบทะลุไหล่ข้างนั้นก็กำลังฟื้นฟูคืนสภาพด้วยตัวเองดังชู่วชู่ว……ภาพที่เป็นราวกับฝันร้ายชัดๆ

ไม่พอ ดั่งกับว่าการคืนสภาพของไหล่เป็นตัวจุดประกาย กระทั่งรอยเฉือนที่ถูกสลักไปทั่วทั้งร่างของครอสก็ยังค่อยสมานกันขึ้นมาเรื่อยๆ

สภาพนั่นดังกับเป็น มอนสเตอร์ที่มีรูปทรงเป็นมนุษย์

ไม่ก็เหมือนรูปโฉมถอดแบบมาจากเผ่าพันธุ์ที่มีความสามารถฟื้นฟูเหนือล้ำไม่สมกับเป็นเผ่ามานพ, โนไลฟ์คิงที่ถูกร่ำลือเรียกขานว่าเป็นเผ่าพันธุ์ทหารรับจ้างฆ่าคนที่แข็งแกร่งมากที่สุด——และเป็นในจังหวะนี้เอง ที่กิมเล็ตรับรู้ถึงธาตุแท้ของไพ่ตายที่ครอสตระเตรียมเอาไว้ได้ซะที

จะคำสาปลดความเร็วก็ดี ท่าทางที่เหมือนกับไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดก็ดี ไอ้เจ้านี่มันคือ

 

“ อย่าบอกนะว่า ทักษะของ <<คลาส>> หายากที่ว่ากันว่าแทบจะไม่มีใครเลือกเป็น, สกิลผู้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์สายมารงั้นหรือ!? ”

 

เบื้องหน้ากิมเล็ตที่แผดเสียงตะโกนกร้าว——ฮี่

ก็คือครอสซึ่งฟื้นฟูหายขาดจากบาดแผลฉกรรจ์ได้ในพริบตา และกำลังปั้นรอยยิ้มอย่างกระหายการต่อสู้ที่ได้รับจากพวกอาจารย์ขึ้นมา

 

 

 

 

——อิมมอร์ทัลและโนไลฟ์คิงซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีระดับสูงขึ้นมา จะมีพลังการฟื้นฟูเป็นเอกลักษณ์จุดแข็งของเผ่าน่ะนะ เพราะแบบนั้นก็เลยถนัดในการต่อสู้กับคนด้วยกันสุดๆเลยน้าา~ ต่อให้โดนอัดด้วยการโจมตีที่หากเป็นปกติแล้วอาจสาหัสถึงชีวิตขึ้นมาแต่ก็สามารถโต้กลับได้อย่างหน้าตาเฉย ก็เลยฉวยโอกาสเล่นงานในตอนที่อีกฝั่งเผลอได้ชะงัดนักเลยไงล่าา~

 

 

ก่อนเริ่มต้นการประลอง

ครอสที่อยู่ตรงทางเดินสู่ลานประลอง ได้เก็บคำสอนของเทโลเมียร์เอาไว้ในใจ แล้วจึงเปิดใช้สกิล 3 อย่างขึ้นมาก่อนล่วงหน้า  

 

“ สิ่งนั้นคือจิตอาฆาตแค้นยามโพล้เพล้ ยลสยบลงสู่ผืนดิน ฝังลึกลงสู่พื้นพิภพ แล้วจงก้มหัวศิโรราบต่อความสิ้นหวังแห่งห้วงลึก—— <<สปีดเอาท์ : เบรค>> ล็อค (ผนึก) ”

 

อย่างแรกก็คือทักษะที่ได้รับถ่ายทอดมาจากลูด์มิร่า

<<เมจิคสต๊อกเกอร์>> (กลั้นหน่วงเวทมนตร์) ที่จะทำให้เปิดใช้สกิลที่กล่าวคำร่ายไว้เรียบร้อยแล้วออกมาได้ในฉับพลัน

และอีกสองอย่างที่เหลือ ก็คือสกิลลับของผู้ประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์สายมารที่ได้รับมาจากเทโลเมียร์

<<ลดหลั่นความเจ็บปวด Lv8>> ที่จะทำให้ประสาทรับรู้ความเจ็บปวดของตนเองตื้อชา ต่อให้ถูกทำร้ายมากขนาดไหนแต่ก็จะต่อสู้ได้โดยไม่หวั่นไหว

<<ฟื้นฟูแผลฉกรรรจ์อัตโนมัติ Lv8>> อันเป็นสกิลฟื้นฟูระดับกลางที่จะทำงานขึ้นมาในกรณีที่ได้รับบาดแผลสาหัสอย่างเช่นกระดูกหัก

คอมโบแสนน่าหวาดหวั่นขวัญผวาที่จะแปลงสภาพเด็กหนุ่มเผ่าฮิวแมนให้มีสภาพคลับคล้ายกับโนไลฟ์คิงได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ ผ่านการกล่าวคำร่ายอย่างยืดยาวและสังเวยพลังเวทเป็นปริมาณพอสมควร  

ทั้งหมดมวลนั่นก็เพื่อการโจมตีเพียงครั้งเดียว

เพื่อซัดสกิลลดความเร็วแบบสุดกำลังเต็มพิกัดเข้าใส่ แล้วแก่งแย่งความเร็วเข้าขั้นโกงไปจาก <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> เพียงเท่านั้น

นี่แหละคือสไตล์การต่อสู้แบบนอกคอกอันชุ่มโชกไปด้วยเลือด ที่เด็กหนุ่มต้องผลาญเวลาการฝึกเกือบครึ่งนึงเพื่อให้ได้มาติดตัว

ครอสเฝ้ารอคอยมาตลอด

คอยนาทีที่กิมเล็ตจะเข้ามาใกล้เพื่อมอบบาดแผลที่สาหัสถึงชีวิตนั่น

ใช้สกิลลดหลั่นความเจ็บปวดแล้วเสแสร้งแกล้งทำเป็นทรมานต่อการทารุณไปพลาง คอยตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าจ้องหาโอกาสอย่างเดียว

ร่วมกับบุกเต็มกำลังเข้าไปใส่กิมเล็ตที่เดาได้ว่าต้องออมมืออ่อนข้อให้ในช่วงแรกเพื่อเป็นการเอาคืนและแสดงพลังให้คนดูเห็น หลอกให้เขาประมาทคิดว่าไม่มีไพ่ตายหลงเหลืออีกแล้ว

 

(ปัญหาก็คือถ้ากิมเล็ตทำร้ายทารุณผมนานมากเกินไป ก็มีความเสี่ยงที่ฤทธิ์ของสกิลเมจิคสต๊อกเกอร์และสกิลฟื้นฟูอัตโนมัติจะหมดก่อนอยู่เหมือนกันหรอก——)

 

พูดในเชิงนี้แล้ว ก็จะเรียกได้ว่าการที่กิมเล็ตแสดงท่าทางยั่วยุแบบเข้าใจได้ง่ายนั่นแหละคือเคราะห์ดีของครอสเลย

เพราะจะทำให้การทุ่มสุดกำลังเข้าไปตั้งแต่แรกเริ่มดูไม่ผิดธรรมชาติ แถมยังสามารถเสแสร้งให้เห็นเหมือนใกล้จะพ่ายแพ้ได้อย่างแนบเนียนมากไงล่ะ

ผลลัพธ์จากการกระทำดังกล่าว ทำให้กิมเล็ตรีบด่วนสรุปว่าครอสคงไม่มีไพ่ตายเหลือแล้ว

หันมาซ้อมเล่นงานครอสจนสะบักสะบอม แล้วจึงเข้ามาสร้างแผลสาหัสให้กันอย่างรวดเร็ว

 

(ดังที่ผมปรารถนาเลย)

 

และในตอนนี้ สกิลลดความเร็วก็โดนเป้าหมายเข้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ

นอกจากทำให้สเตตัสตกต่ำลงแล้วไม่พอ คำสาปแสนทรงอำนาจที่จะทำให้การเคลื่อนไหวของเป้าหมายหน่วงช้าอย่างยิ่งใหญ่เนื่องจาก ‘ความแตกต่าง’ ที่ไม่ลงล็อคกับสมรรถภาพร่างกายในยามปกตินั่น ก็ได้กัดกินเข้าไปในร่างของขุนนางลำดับสูงเรียบร้อยแล้ว

ไม่จำเป็นต้องแสดงให้ดูเหมือนเจ็บปวดอีกต่อไป

และก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งเป็นคนเขลาที่เอาแต่บุกเข้าใส่อย่างมุทะลุอีกแล้ว

จากตรงนี้——

 

 

ก็แค่ต้องเค้นสุดกำลังทั้งหมดเท่าที่มีออกมา แล้วทุ่มอัดเข้าใส่ด้วยทักษะวิชาที่สานสร้างขึ้นมาทั้งหมดมวลเท่านั้น!

 

 

“ <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย>> ! ”

“ ฮึก!? ”

 

ครอสแผดเสียงคำราม ดั่งกับจะไม่ยอมมอบเวลาให้กิมเล็ตที่สับสนอลหม่านได้พักหายใจเลย

ใช้บัฟสมรรภาพร่างกายแบบสุดกำลังเต็มพิกัด เพื่อทะยานกระชั้นชิดเข้าไปใกล้กิมเล็ตในอึดใจเดียว

 

(ถึงจะซัดสกิลลดความเร็วเข้าใส่แบบจังๆด้วยกำลังทั้งหมดเท่าที่มีไปแล้ว แต่กิมเล็ตก็คืออาชีพระดับสูงที่เก่งกาจในด้านความเร็ว ยังคงมีสปีดเหนือกว่าผมอยู่มากมายหลายเท่านัก ดังนั้นแหละก่อนอื่นจึงต้อง——)

 

อาศัยจังหวะก่อนที่กิมเล็ตจะตั้งตัวได้นี้ บดขยี้อำนาจการเคลื่อนไหวให้ได้มากที่สุด!

 

“ สิ่งนั้นคือจิตอาฆาตแค้นอันเป็นนิรันดร์ ร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน จมดิ่งลงสู่พื้นพิภพ—— ”

 

ที่กล่าวขับขานออกมาอีกครา ก็คือบทกลอนคำสาปที่จะฉุดรั้งตัวผู้แกร่งเหนือกว่าให้ร่วงหล่นลงมา

โรมรันเข้าใส่แบบสายฟ้าแลบ รุกให้กิมเล็ตที่ความเร็วตกลงอย่างกะทันหันจนสับสนคนนั้นไม่มีเวลาได้ถอยหนี

ขับขานคำร่ายไปพลางสะบัดเหวี่ยงดาบเป็นวงกว้าง บีบบังคับขืนใจให้ต้องเผชิญชอยส์สองตัวเลือกว่าจะรับมือกับคมดาบหรือคำสาปดี!

 

“ ขึก!? ”

 

สถานการณ์ประหลาดที่ประดังประเดเข้ามา ร่างกายที่ไม่ขยับเขยื้อนตามใจสั่ง การไล่บี้ของครอสที่เผยธาตุแท้ออกมาโดยสมบูรณ์นั่น พลันทำให้สีหน้าของกิมเล็ตบิดเบี้ยวไปด้วยความร้อนรนระคนตื่นตระหนก

ทว่า

 

“ ……ฮึก! ”

 

ต่อให้จะยังไง แต่กิมเล็ตเองก็เป็นผู้มากฝีมือที่ไต่เต้าขึ้นมาถึงอาชีพระดับสูงได้โดยที่มีอายุเพียง 19 ปี

แม้จะร้อนรนและตื่นตกใจจนรับมือได้ล่าช้า แต่ความสามารถที่สานสร้างสั่งสมขึ้นมาก็ยังคงครบถ้วนอยู่ดี

แกร๊งงง!

กิมเล็ตเหวี่ยงดาบด้วยความเร็วที่แม้จะโดน <<สปีดเอาท์ : เบรค>> เข้าไปแต่ก็ยังคงเหนือชั้นผ่าเหล่า

พริบตานั้น สองมือของครอสที่เป็นช่องปล่อยหมอกดำ ก็พลันถูกปัดให้หันเยื้องไปยังทิศอื่นพร้อมๆกับดาบที่กำเอาไว้

และในจังหวะเดียวกันกิมเล็ตก็ยกขาพุ่งขึ้นมา ฟาดลูกถีบอันแหลมคมตรงดิ่งเข้าใส่ลำตัวของครอส

เพราะหากสร้างแรงกระแทกให้กับลิ้นปี่ได้ซะ ก็จะสามารถบีบให้ยุติคำร่ายได้โดยไม่เกี่ยงว่าจะสัมผัสถึงความเจ็บปวดหรือไม่เลยยังไงล่ะ

ทว่า——

 

“ ก็เป็นไปดังที่เล็งเอาไว้อีกเหมือนกัน! สกิลระยะประชิดระดับต่ำเอนกประสงค์—— <<เตะตัดล่าง>> ! ”

“ ห้ะ——!? ”

 

นั่นก็คือ จุดบอดโดยสมบูรณ์ของกิมเล็ตที่ระแวงคำสาปลดความเร็วมากจัดจนเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับแต่ร่างกายท่อนบนของครอสเพียงอย่างเดียว ตัวเลือกที่สามซึ่งหลบซ่อนแฝงตัวอยู่เบื้องหลังชอยส์สองตัวเลือก

ลูกเตะแทงเข่าเพื่อบดขยี้ทำลายอำนาจการเคลื่อนไหว ที่ได้รับถ่ายทอดมาจากดราโกเนียซึ่งเป็นสุดแกร่งในด้านศึกระยะประชิด

เปรี้ยง!

 

“ อั่ก!? ”

 

ลูกเตะของครอสที่ถูกปล่อยพุ่งออกไปเร็วมากยิ่งกว่าลูกถีบของกิมเล็ต พลันแทงเปรี้ยงอย่างจังเข้ากลางเข่า

แม้จะถูกบัฟเสริมกำลังด้วยพลังเวท แต่ก็เป็นเพียงสกิลระดับต่ำ อานุภาพไม่ได้สูงส่งมากมายอะไรหรอก

ทว่า หากลูกเตะที่อาศัยประโยชน์จากกระทั่งแรงส่งของสองแขนที่ถูกปัดกระเด็นจนได้สปีดเพิ่มขึ้นมานั่น มันถูกปล่อยกระแทกทีเผลออย่างจังเข้าไปกลางขาข้างที่เหยียบพื้นพยุงน้ำหนักทั้งตัวเอาไว้แล้วละก็……ความเจ็บปวดที่ไม่อาจเมินเฉยพลันบีบให้ใบหน้าของกิมเล็ตบิดเบี้ยวผิดรูป

และการโจมตีก็ไม่ได้จบอยู่แค่นั้น ยังมีประดังเพิ่มเข้ามาอีก

 

“ <<เตะตัดล่าง>> ! ”

 

ลูกเตะแทงเข่าครั้งที่สองของครอสได้ทะยานเล็งจู่โจมเข้าใส่ขาข้างที่เหยียบพื้นของกิมเล็ต

 

“ ขุ่ก——! ”

 

แต่ก็ไม่ง่ายระดับที่การโจมตีเดิมจะใช้ได้ผลเป็นครั้งที่สอง กิมเล็ตกระโดดเหินไปข้างหลังอย่างยิ่งใหญ่ ถอยเว้นระยะออกห่างพลางหลบ <<เตะตัดล่าง>> ไปด้วย

และแล้วกิมเล็ตที่เหินฟ้าอยู่แบบนั้น ก็พลันถูกคุกคามโดยการไล่โจมตีที่เหนือขั้นไปอีก

 

“ ——แล้วจงก้มหัวศิโรราบต่อความสิ้นหวังอันเป็นนิรันดร์—— ”

“ ฮึก!? กล่าวคำร่ายต่อเนื่องไปควบคู่กับสกิลระยะประชิดหรือ……! ”

 

เอกลักษณ์พิเศษของ <<ไร้อาชีพ>> ที่ได้ยินมาจากดาเรียส, ข้ารับใช้ของแคทลียา

คำร่ายของสกิลลดความเร็วที่ถูกดำเนินควบคู่ไปกับการกระหน่ำฟาด <<เตะตัดล่าง>> นั่นทำเอากิมเล็ตถึงกับเบิกตาโพลง

ทว่า

 

“ ห่างกันมากเช่นนี้ไม่มีทางโดนหรอก! ”

 

ตามหลักแล้ว สกิลดีบัฟจะมีระยะทำงานสั้นมาก

และหากดูจากระยะหวังผลของสกิลสายมารที่ได้เห็นเมื่อซักครู่ ก็จะรู้ได้ว่าตำแหน่งของกิมเล็ตในตอนนี้อยู่ในโซนปลอดภัยแล้ว

——แต่เป็นในระหว่างอุ่นใจนั่นเอง ที่จู่ๆการมองเห็นของกิมเล็ตก็ถูกย้อมกลายเป็นสีดำสนิท

 

“ สกิลสายมารระดับกลาง <<สปีดเอาท์ : เบิร์สต์>> ! ”

“ อ๊ะ——!? ”

 

คนละอย่างกับ <<สปีดเอาท์ : เบรค>> !?

กิมเล็ตที่ตกตะลึงพยายามจะหลบหลีกในบัดดล—— แต่เพราะต้องกระโดดขึ้นฟ้าเพื่อหลบ <<เตะตัดล่าง>> ก็เลยทำให้รับมือได้ล่าช้าไปไม่กี่วินาที และที่ถาโถมเข้าห่อหุ้มร่างกิมเล็ตในไม่กี่วินาทีที่ว่านั่นก็คือหมอกดำอันเจือจาง

นั่นก็คือสกิลสายมารระดับกลางที่แตกหน่อพัฒนาต่อยอดออกมาจาก <<สปีดเอาท์>> เช่นเดียวกับ <<สปีดเอาท์ : เบรค>> ——คำสาปลดความเร็วที่มีอานุภาพเบาบางลงแต่ถัวคืนได้ด้วยระยะหวังผลที่กว้างมากยิ่งขึ้น

 

“ ห้ะ นะ นี่แก……!? ในระยะเวลาสั้นๆแค่นี้แกเรียนได้สกิลมากมายเท่าไหร่เลย——!? ”

 

กิมเล็ตเปล่งเสียงที่ระคนไปด้วยความร้อนรนและตื่นตะลึงออกมา แต่ก็ไม่มีใครตอบรับต่อความสับสนพรรค์นั้นเลย

ไม่เปิดช่องให้ขัดขืนใดๆทั้งสิ้น ครอสพุ่งปรี่เข้าใส่กิมเล็ตที่ความเร็วตกลงมายิ่งกว่าเมื่อกี้

 

“ ย่าาาาาาาาาาาา! ”

“ ขุ่ก <<ถอนตัวฉุกเฉิน>> ! <<บัฟความว่องไว>> ! ”

 

ในที่สุดก็จำต้องยอมเปิดใช้สกิล กิมเล็ตหลบหลีกรอดไปจากการโจมตี

หวังจะถอยกรูดเต็มพิกัดเพื่อเว้นระยะห่างจากครอสแล้วพักปรับลมหายใจให้เข้าที่

แต่ว่า

 

“ สวมใส่อาภรณ์แห่งนภา สานห้วงแห่งความว่างเปล่า ให้เห็นราวกับฉกฉวยกลีบดอกที่ปลิวไสว ให้เป็นราวกับเอ่ยอ้างถึงวิหคที่สยายปีกกว้างไกล ผู้ขนส่งแสงยามเช้าอันเลือนหายนั้นไซร้คือตัวเรา—— <<ทะยานหุ้มวายุ>> ! ”

 

ขับขานคำร่ายที่สั้นมากยิ่งกว่าเวทโจมตี

เด็กหนุ่มผู้ห่อหุ้มร่างกายไปด้วยสายลมพลันแล่นทะยานไปตามลานประลองอย่างสุดกำลังเต็มเหนี่ยว

แล้วจึง ไล่ตามทัน

กระแทกกระทั้นอัดคมดาบด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เข้าไปใส่ <<นักดาบประกายแสงระดับสูง>> ที่อำนาจการเคลื่อนไหวตกต่ำลงมาถึงขั้นที่สามารถถูกไล่ตามทันได้โดยการเปิดใช้ <<บัฟสมรรถภาพร่างกาย (กลาง)>> และ <<ทะยานหุ้มวายุ>> ควบคู่ไปพร้อมกัน

 

“ ชิ! ”

 

แกร๊งงงงงงง!

 

“ อึ๊ก!? ขุ่ก!? ”

 

ดาบของครอสปะทะชนเข้ากับดาบของกิมเล็ตที่อดรนทนไม่ไหวต้องถูกบีบให้กลายไปเป็นฝ่ายตั้งรับ

แทรกกลางอยู่ระหว่างดาบที่บรรจบกัน, ครอสแผดเสียงคำรามลั่น

 

“ คุณน่ะรวดเร็วแล้วก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าผมมากมายหลายเท่าเลยจริงนั่นแหละ หากสู้กันแบบตรงๆละก็ไม่มีทางจะเอาชนะได้เลย……! ”

 

จ้องเขม่นเข้าใส่ผู้แกร่งเหนือกว่าที่ฉุดกระชากร่วงลงมาในระยะประชิดใกล้, แล้วจึงให้คำขาดด้วยดวงตาที่ดุดัน

 

“ แต่ว่า เท่านี้ก็สูสีกันแล้ว! ”

“ ……ขึก! อย่ามาทำเป็นปากดีนะไอ้สามัญชนน! ”

 

พริบตานั้น กิมเล็ตที่ถูกการโหมโจมตีและสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันของครอสรุมเร้าเล่นงานจนหัวหมุนมาตลอด ก็พลันเค้นแรงดันดาบของครอสกลับมาด้วยท่วงท่าเหมือนระเบิดพลังโทสะ

ร้อนรนตื่นตระหนกจนเหงื่อแตกพลั่ก ขาโซเซเสียศูนย์ด้วยความสับสน นับเป็นสถานการณ์สุดเลวร้ายที่ถูกไล่ต้อนเล่นงานให้ต้องอับอายกลางสายตาประชาชีจนสำแดงพลังดั้งเดิมออกมาได้ไม่เต็มที่ กระนั้นแล้ว ความเป็นจริงที่ถูกครอสไล่ตามทัน ก็กลายเป็นประกายจุดให้มีไฟลุกโชนโชติช่วงขึ้นมาในใจของกิมเล็ต

ที่กระจายเหนือใบหน้าของขุนนางลำดับสูงซึ่งไม่เหลือคราบความสุขุม ก็คือศักดิ์ศรีอันบริสุทธิ์ที่ถูกสานสร้างขึ้นมาจากพรสวรรค์และความพยายามอย่างหนักหน่วง

 

“ สูสีบ้าบออะไรกัน……! กะอีแค่ความเร็วตกเท่านั้นอย่าได้เหลิงลำพองใจไปเชียว! ไอ้พวกที่ใช้ลูกไม้ข้ามขั้นเลเวลมันไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งหรอก! ผู้ที่ฝึกปรือสั่งสมประสบการณ์จนสามารถโค่นล้มคู่มือในระดับขั้นเดียวกันหรือที่เหนือชั้นมากยิ่งกว่าได้นั่นต่างหาก จึงจะสามารถไต่เต้าขึ้นไปจนถึงยอดสูงได้! เช่นเดียวกับฉันผู้นี้นี่! ”

“ ฮึก! ”

 

แกร๊งงงงงงงงงงง!

คมดาบอันหนักหน่วงที่ถูกฟาดกระแทกเข้าใส่ ทำให้ครอสแสยะรอยยิ้มอันดุร้ายที่ได้จากพวกอาจารย์ขึ้นมา

 

 

ต่อจากนี้ไปจะเป็นการดวลที่แท้จริง——!

 

 

เสียงจากที่นั่งคนดูซึ่งตื่นตระหนกตกตะลึงกับสถานการณ์อันเป็นไปไม่ได้นั่น ไม่ได้ลอยมาเข้าหูของทั้งสองอีกต่อไปแล้ว

ทะยานไปเหนือกว่าความขุ่นเคืองและการเอาคืน ก้าวข้ามแม้กระทั่งการสะสางบัญชีแค้น

การปะทะชนกันเต็มรูปแบบระหว่างประสบการณ์ที่สั่งสมและอารมณ์ความรู้สึกอันเดือดพล่าน ทำให้ลานประลองสั่นสะเทือนเลือนลั่นดั่งกับเป็นสัญญาณชี้แจงว่าการประลองของจริงได้เปิดฉากเริ่มต้นขึ้นแล้ว

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย

เหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ย
Status: Ongoing
อ่านนิยายเหล่าอาจารย์หญิงสุดแกร่งที่อยากจะให้ผมเทพเค้าตีกันเรื่องแนวทางการฝึกจนวอดวายหมดแล้วเนี่ยกาลครั้งนึงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ ได้มีวีรสตรี 3 คนที่ถูกกล่าวขานล่ำลือกันว่าเป็นตัวตนผู้แข็งแกร่งทรงพลังมากที่สุดในโลกอยู่ครับ ความแข็งแกร่งของพวกเธอนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับเหนือมนุษย์เลยเชียว คนนึงสามารถต่อยขุนเขาให้แหลกกระจุยได้ด้วยหมัดเปล่า คนนึงสามารถเป่าร่างของพลทหารนับหมื่นนายให้ลอยปลิวหายไปได้ด้วยการโจมตีจากเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงพิลึกพิลั่นที่เอาเวทฟื้นฟูกับเวทสนับสนุนมาใช้ฆ่าคนได้ เลยกลายเป็นตัวตนที่ถูกหวาดกลัวไปตามระเบียบ แค่เพียงคนเดียวก็โหดพอจะทำให้ประเทศหนึ่งถึงการล่มสลายได้อย่างง่ายดายแล้ว ยิ่งถ้าเหล่าวีรสตรี 3 คนนั้นมาสุมหัวรวมตัวไปไหนมาไหนด้วยกันแล้วนี่คงอาจต้องเรียกว่าเป็นภัยพิบัติเดินได้ การหวนคืนชีพของเทพมาร หรือในบางพื้นที่ก็อาจจะระบุตัวตนของพวกเธอเป็นเทพผู้ชั่วร้ายกันเลยก็เป็นได้…..หากอาศัยใช้งานความแข็งแกร่งนั่นซะอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อมิอะไรก็คงบันดาลให้เป็นดั่งที่ใจพวกเธอต้องการได้เกือบทั้งหมดเลยกระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีสิ่งที่แม้แต่สามคนนั้นเอง ก็ยังไม่อาจได้มาครอบครองอยู่ครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset