แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน – ตอนที่ 39 ไม่อยากเสียใจทีหลังเป็นครั้งที่สาม

 

ผมยังจำ ‘วันนั้น’ ได้ดี

เป็นเหตุการณ์ที่จำรายละเอียดทั้งหมดได้ดีราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

 

ห้องเต็มไปด้วยโต๊ะหลังเลิกเรียน สมการที่ถูกเขียนทิ้งไว้บนกระดานไวท์บอร์ด

ท้องฟ้าสีส้มจากอาทิตย์จวนเจียนจะตกดิน

 

ฉาบบนสีหน้าประหม่าผิดปกติของพิมที่นั่งอยู่ตรงข้าม ในห้องเรียนที่เหลือเราเพียงแค่สองคน

 

“ฉันชอบนายนะ… ชอบมาสักพักแล้ว”

          แก้มทั้งสองของเธอแดงระเรื่อ น้ำเสียงเบาลงเพราะความเขินอายจากการสารภาพความในใจ

          ถึงแบบนั้น ดวงตาของเธอก็จ้องมองมาที่ทัตตรง ๆ สบตากับเขาอย่างจริงจังและจริงใจ แม้ว่ามันจะสั่นรัวมากแค่ไหนก็ตาม

 

“อะ…”

          ใบหน้าของทัตร้อนผ่าว ปากพะงาบพูดอะไรไม่ออก

          นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนบอกว่าชอบพอเขา ต้องการเขาในฐานะของผู้ชายคนนึง แถมอีกฝ่ายยังเป็นสาวงามยากจะหาใดเปรียบ

          เรื่องนิสัยอาจมีข้อติบ้าง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลยในเมื่อเขาเองก็ชอบเธอมากพอจะมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ พวกนั้นไปได้ทั้งหมด

 

“ขอฟัง… คำตอบได้ไหม”

          เห็นทัตนิ่งไปพิมจึงถามย้ำ สายตาเธอสั่นระรัวมากขึ้นเร่งเร้าทัต หัวใจที่มีกำแพงหลายชั้นปริแตกออกอย่างง่ายดายไปจนถึงชั้นในสุด

 

“ฉัน… ฉันเองก็———”

          แต่ความรู้สึกบางอย่างกลับเข้ามาแทรกเสียก่อน…

 

          คนธรรมดาอย่างฉันน่ะเหรอจะได้คบกับผู้หญิงเพียบพร้อมไปทุกอย่างแบบพิม

          คนที่จัดการชีวิตของตัวเองยังไม่ได้ แถมยังไม่เคยเผชิญหน้ากับครอบครัวด้วยใจจริงจะคู่ควรกับความรู้สึกที่พิมมอบให้อย่างนั้นเหรอ?

          คนครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบเราจะเหมาะสมกับพิมอย่างนั้นเหรอ?

          ความรู้สึกนั้นฝังอยู่จุดเดียวกับใจจริงของเขาที่มีต่อพิมทำให้ประโยคต่อไปกลืนหายลงคอ

          ใช่… มันคือความกลัว อย่างไม่ต้องสงสัย

 

“…ขอโทษนะ ฉันคง… เป็นแฟนเธอไม่ได้หรอก” ทัตตอบเสียงแห้งผาก

“เอ๊ะ?”

          พิมหลุดเสียงผิดคาด นั่นเพราะเธอมั่นใจมากว่าทัตเองก็รู้สึกแบบเดียวกันถึงได้สารภาพความในใจออกไป

          กลับกัน… ถ้าไม่มั่นใจว่าทัตชอบเธอเหมือนกันก็คงไม่สารภาพแต่แรก เธอเป็นผู้หญิงแบบนั้น

          ดังนั้น คำตอบที่ออกมาจึงทำให้เธอประหลาดใจมาก

 

“ฉันไม่คิดว่าตัวเองดีพอสำหรับเธอหรอก ฉันขอโทษจริง ๆ นะ”

          ทัตกลับไปก้มหน้าลงมองพื้นโต๊ะด้วยแววตาเศร้า ชัดเจนว่าพิมคาดการณ์ผิดไปเรื่องนึง

          นั่นคือสภาพจิตใจอันซับซ้อนของทัต ทำให้เขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างซื่อตรงตามที่ตัวเองต้องการ

 

ทั้งที่เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอด…

ทัตเป็นคนที่ยอมเงียบปากเรื่องที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานใหม่ของพ่อเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข หากมันเป็นการทำเพื่อฉันแล้วทำไมเขาจะทำแบบเดียวกันไม่ได้ล่ะ?

          พิมเพิ่งตระหนักความจริงข้อนั้น พร้อมกับที่รู้ว่าตัวเธอเองอยากจะคบหากับทัตมากเกินไปจนสูญเสียความเยือกเย็นตามปกติ พิมจึงมองความจริงง่าย ๆ นี้ไม่ออก

 

“คงจะเร็วไปหน่อย… สินะ” พิมยิ้มแห้ง จังหวะแรกเธอเองก็ไม่กล้ามองทัตตรง ๆ เหมือนกัน

“ขอโทษนะ คงทำให้นายลำบากใจแย่เลยสิ”

          พิมยิ้มขมออกมา ความรู้สึกผิดที่ทัตแสดงออกกลายเป็นสิ่งที่พิมซึมซับไปด้วย

 

“นั่นมันคำพูดของฉันต่างหาก… จริง ๆ แล้วฉันดีใจมากเลย” ทัตเห็นแล้วอดไม่ได้ แต่ในสถานการณ์อย่างนี้ คำพูดนั้นเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากคำแก้ตัว

“แต่ว่า… ขอโทษจริง ๆ นะ”

          ทัตยิ่งทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรพูดอะไรต่อเลยขอได้แต่ขอโทษ

          

          ถึงแบบนั้น พิมที่น่าจะลำบากใจยิ่งกว่ากลับยิ้มให้ทัตแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร”

          ภาพรอยยิ้มกว้างต่างไปจากทุกที แสดงออกได้ถึงความเศร้าและปลอดโปร่ง ถูกฉาบย้อมด้วยแสงสีส้มที่ลอดผ่านหน้าต่าง ไร้ความไม่พอใจใด ๆ นอกจากเห็นแก่ความรู้สึกของทัตทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกปฏิเสธ

          แสงอาทิตย์ก่อนตกดินทำทัตรู้สึกอบอุ่นจากความโอบอ้อมของพิมเอง

          นั่นทำทัตยิ่งบอกไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกยังไง

 

          ไม่สิ… ไม่อยากจะยอมรับต่างหากว่าตัวเองรู้สึกยังไง

 

อา… ฉันไม่น่าปฏิเสธผู้หญิงดี ๆ อย่างเธอไปเลย

          ทัตคิดแบบนั้นแทบจะทันทีที่เห็นภาพนั้น

 

ทำไมฉันถึงได้โง่ขนาดนี้

ฉันคิดแบบนั้น

 

คิดแบบนั้นมาตลอดจนถึงเมื่อไม่นานมานี้

…ถึงเมื่อไม่กี่วินาทีนี้

 

ไม่เป็นไรหรอก โอกาสหน้ายังมีอยู่

ถ้าฉันเข้มแข็งขึ้นกว่านี้เมื่อไหร่ค่อยขอคบกับพิมอีกครั้งก็ยังไม่สาย

 

เผลอคิดไปแบบนั้นอย่างไร้เดียงสา

โดยไม่ได้ตระหนักถึงความจริงง่าย ๆ ของโลกใบนี้

 

…ว่ามันไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่างเดียว

 

คนเราจะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้

วันดีคืนดีพิมอาจต้องย้ายไปต่างประเทศ

 

หรือบางโอกาสอาจมีเรื่องที่ทำให้เราต้องย้ายไปอยู่คนละที่และไม่ได้เจอกันอีกก็ได้

 

ถ้าเรื่องนั้นเกิดขึ้น เราก็จะไม่มีโอกาสได้ใช้เวลากับพิมอีกน่ะสิ?

ใช่ว่าคำถามพวกนั้นจะไม่เคยอยู่ในหัว

 

แต่ฉันก็มักคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เสมอว่าเรื่องที่มีโอกาสน้อยนิดนั่นมันคงไม่เกิดขึ้นหรอก

คิดเรื่องสะดวกแบบนั้น ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย

 

เพียงเพราะความกลัวต่อสิ่งที่ยังไม่เกิดก็เลยไม่กล้าเดินหน้า

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อาจโดนพิมเกลียดหรือความเข้ากันได้ในความสัมพันธ์

 

ฉันไม่สนเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว!

 

ถึงกลัวก็จะเดินหน้าต่อแม้ขาจะยังไม่หายสั่น

ต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น มันก็ไม่แย่ไปกว่าเรื่องที่พิมจะแยกจากเราไปก่อนจะได้ทำอะไรอยู่แล้วไม่ใช่รึไง!?

 

จะไม่ยอม… มานั่งเสียใจทีหลังในตอนที่สายเกินไปอีกแล้ว

ไม่อีกแล้ว

 

❖❖❖❖❖

 

“…”

          ลมเย็นกระทบแก้มทำให้เด็กสาวลืมตาตื่นจากความฝัน

 

          ฝันร้าย… ที่ถูกมอนสเตอร์ยักษ์ในรูปลักษณ์ของอัศวินเกราะสีดำทมิฬไล่ล่า ถูกมันโจมตีจนบาดเจ็บเกือบตาย แถมหลังจากโค่นมันได้ก็ถูกแบกไปตามท้องถนนและการรับรู้ก็ขาดหายไป

          ทับซ้อนกับความทรงจำที่กำลั่งนั่งม้านั่งอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าก่อนเกิดเรื่อง

 

          เคียงข้างเด็กหนุ่มที่มาเดทด้วยกันวันนี้ พิมรู้ทันทีว่าเวลาได้ถูกย้อนกลับมาแล้ว 

          และเรื่องน่ากลัวก็คือ เธอจำไม่ได้ว่าตัวเองรอดไปจนถึงเช้ารึเปล่า?

 

“ทัต———”

          ไม่ทันจะหันไปสบตา ทัตก็โผเข้ากอดพิม

          ความกลัวที่เกิดขึ้นปลิวหายไปหมด ถูกย้อมด้วยแรงกอดกะทันหันและความอบอุ่นยากจะรับมือ 

          พิมทำตัวไม่ถูก ใบหน้าของเธอร้อนผ่าวไปหมดจนลืมตัวไปชั่วขณะ

 

“นะ นี่! ทัต?” พอได้สติกลับคืนมาจากความเคลิบเคลิ้ม เธอพยายามตบหลังทัตเบา ๆ

          แต่แขนทั้งสองข้างของทัตกลับสั่นระรัว ความหวาดกลัวกลืนกินเขาไปถึงแผ่นหลังที่พิมกำลังสัมผัสอยู่ เธอได้ยินเสียงทัตสั่นสะอื้นด้วยซ้ำไป

 

“อยู่กับฉันนะ… ขอร้องล่ะ อย่าเพิ่งหายไปไหนนะ”

          แรงกอดที่ทัตส่งให้เองก็มีแต่จะมากขึ้นและมากขึ้น เรื่องที่หวาดกลัวที่สุดออกมาจากปากอย่างไม่อาย 

          น้ำเสียงของเขาสั่นจนพิมเผลอลูบหลังปลอบประโลม

 

ทัต….

          พิมทำความเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมทัตกลายเป็นเช่นนี้

 

ซื่อตรงขึ้นแล้วไม่ใช่รึไงเนี่ย

          พิมคิดแล้วอดอมยิ้มไม่ได้

          การได้เห็นเด็กหนุ่มแสดงด้านอ่อนแอออกมาเป็นเรื่องที่ผู้หญิงหลายคนปรารถนา เพราะนั่นหมายถึงว่าเขาไว้วางใจ

          และเหนือสิ่งอื่นใด นั่นคือการแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นห่วงเป็นใยเธอปานจะขาดใจตายมันให้ได้เสียตรงนี้ หญิงสาวที่ไหนเล่าจะไม่ปลื้มใจ

 

“ไม่เป็นไรนะทัต… ฉันไม่เป็นไรแล้ว…” พิมสวมกอดทัตกลับ เธอเองก็รู้สึกกลัวว่าจะเสียทัตไปเหมือนกัน

          แต่ด้วยความใจเย็นที่มากกว่าเธอถึงรู้ว่าไม่จำเป็นต้องกังวล เรื่องนั้นต้องขอบคุณทัตด้วยที่ทำให้เธอเรียกมันกลับมาได้

 

“ถ้าพวกเราไม่รอดจนถึงรุ่งเช้าจริง ๆ ป่านนี้เราน่าจะตายไปแล้วล่ะ”

          หากผู้มีพลังเกิดเสียชีวิตในช่วงกลางคืนแรก หลังเวลาถูกย้อนกลับมาจะทำให้อวัยวะภายในของคน ๆ นั้นล้มเหลวเฉียบพลันและเสียชีวิตในทันที

          พิมจึงไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะเห็นแล้วว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับทั้งเธอและทัต

 

          เสียงสั่นของโทรศัพท์ทัตดังขึ้นในจังหวะนั้นพอดี แต่ทัตไม่มีท่าทีสนใจมันเลย

 

“โทรศัพท์มัน… ดังอยู่นะ”

“รู้อยู่แล้ว”

          ได้พิมเตือน ทัตยิ่งออกแรงกอดเธอมากยิ่งกว่าเดิม

          จึงไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจสายเรียกเข้า หากแต่เขาสนใจพิมที่กำลังอยู่ข้างหน้านี้มากกว่า

          พิมเห็นความสำคัญตัวเองในสายตาของทัตแล้วอุณหภูมิร่างกายยิ่งสูงขึ้น หัวใจเองก็เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาทุกที

 

“ยะ ยังไงก็ใจเย็นลงได้แล้ว มันเขินนะรู้ไหม” พิมพยายามหยุดไม่ให้สถานการณ์นั้นเกิดขึ้น

          ทัตได้ยินแล้วก็ค่อยผละตัวออกมาตามที่พิมร้องขอ

 

“…ขอโทษนะ” ทัตตอบกลับเสียงเบา เริ่มรู้ตัวแล้วว่าทำเกินกว่าเหตุ

“ไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะนายเป็นห่วงฉันใช่ไหมล่ะ”

          ใบหน้าพิมในระยะใกล้เห็นชัดว่าใบหน้าถูกย้อมเป็นสีแดงก่ำ

          เธอประหม่าจากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น เรื่องนั้นไม่ผิดแน่ แต่ก็ดีใจด้วยเหมือนกันถึงได้ยิ้มออกมาโดยไร้ซึ่งความลำบากใจ

          ไม่สิ… จะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิง

 

“ตะ แต่ว่า มันก็ออกจะเกินไปหน่อยอยู่นะ” 

          หนแรกทัตก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพิมถึงเกาแก้มตกประหม่าทั้งที่ผละออกมาแล้ว

          กระทั่งพิมชี้ไปรอบ ๆ จึงเห็นว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ทั้งสองตั้งแต่เมื่อครู่ ทัตจึงรู้ตัวในที่สุดว่าได้ทำเรื่องแปลก ๆ ไปโดยไม่รู้ตัว

 

          แน่นอน สายตาคนทั่วไปคงไม่คิดว่าทัตกับพิมได้ทักทายกันด้วยการสวมกอดแห่งความประทับใจหลังรอดตายมาด้วยกันอย่างปาฏิหาริย์เป็นแน่

          พวกเขาน่าจะมองเห็นเพียงเด็กหนุ่มหญิงสาวน่าไม่อายพลอดรักกันโดยไม่สนใจสายตาประชาชีมากกว่า

 

“เผ่นกันเถอะ!”

“เอ๊ะ!?”

          จะให้อยู่ตรงนี้ก็ใช่ที่ ทัตรีบคว้ามือพิมลุกหนีทำเอาเธอเกือบคว้าตุ๊กตาน้องแมวไม่ทัน

          การเป็นเป้าสายตาไม่ใช่สิ่งที่คนรักความเงียบสงบอย่างทัตชอบอยู่แล้ว

          

          เขาจ้ำอ้าวเพื่อหลบสายตาอยู่พักใหญ่ พอรู้ตัวอีกทีก็มาถึงลานจอดจักรยานยนต์ชั้นใต้ดินของห้างแล้ว

 

“พ้นสักที”

“นะ นั่นสินะ”

          ทัตหายใจหอบแต่เหมือนพิมจะยังพูดไม่เป็นคำ

          พอหันไปมองก็เห็นสาวเจ้าหน้าแดงก่ำ ทัตเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองกุมมือพิมเสียแน่นเอาการถึงได้รีบปล่อยมือออกมา

          ทำแก้มเขากลายเป็นสีแดงอย่างเดียวกับพิมไปด้วย

 

“!!!?”

          โทรศัพท์สั่นขึ้นมาเป็นหนที่สอง ต้องขอบคุณมันทำให้ทัตไม่จมไปกับความประหม่าที่เขาก่อขึ้นกับพิม

          ทัตกลับไปสนใจโทรศัพท์อย่างที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรก เขาพอจะเดาปลายสายได้จึงรีบรับขึ้นแนบหูทันที

 

“ฮัลโหล———”

‘ไม่ต้องมาฮัลโหลเลยค่ะ!!!!’

          เสียงปลายสายตะโกนเสียดังลั่นจนแก้วหูจะแตก ดูไม่เหมาะสมกับเสียงใสกังวลของน้องสาวที่น่ารักน่าชังของเขาเลยแม้แต่น้อย

          แต่ถ้านับเรื่องที่เขาเมินสายแรกของฝ้าย ว่าไปแล้วก็สมควรจะโดนตะคอกใส่อยู่

 

‘ให้ตายสิ! ถ้าปลอดภัยก็น่าจะติดต่อมาเร็ว ๆ สิคะ! หนูน่ะเป็นห่วงพวกพี่จะแย่อยู่แล้วนะรู้ไหม!’ ฝ้ายตะโกนเสียงเบาลง เธอคงโล่งใจไม่เบาที่ได้ยินเสียงของทัต

          สัมผัสเรื่องนั้นได้ทัตก็ยิ้มออกเช่นกัน

 

“ขอโทษจริง ๆ นะฝ้าย แต่ตอนนี้พี่กับพิมปลอดภัยดีแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ” ทัตก้มหน้าสำนึกผิดทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีทางเห็น แต่ก็ทำฝ้ายบ่นไม่ออกเหมือนกัน

‘…เฮ้อ! พี่ทัตก็เป็นซะอย่างนี้’

          ฝ้ายถอนหายใจด้วยความรู้สึกหลายอย่างผสมกัน สุดท้ายแม้จะไม่เห็นหน้า แต่น้ำเสียงจริงใจของทัตก็ส่งไปถึงทำเธอโกรธไม่ลง

          อย่างน้อยก็สำหรับตอนนี้

 

‘หนูรู้มาจากคุณหมอนิวแค่นิดหน่อย แต่เรื่องรายละเอียดจะขอฟังทีหลังแล้วกันนะคะ’ ฝ้ายทิ้งท้ายทำทัตยิ้มแห้ง ดูเหมือนสุดท้ายเขาก็ต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอยู่ดี

‘วันนี้พี่ทัตกับพี่พิมพักผ่อนเยอะ ๆ ด้วยนะคะ หนูยอมรามือเท่านี้ก็แล้วกันค่ะ’

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะฝ้าย”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะจ๊ะน้องฝ้าย”

          พิมยื่นหน้าเข้ามาส่งเสียงผ่านโทรศัพท์เป็นคนสุดท้าย

          ฝ้ายตอบกลับสั้น ๆ ว่า ‘แน่นอนค่ะ’ ก่อนจะตัดสาย เห็นชัดว่าเธอไม่ค่อยอยากกวนเวลาของทัตกับพิม โดยเฉพาะช่วงที่ทั้งสองคนอยู่ระหว่างการเดท แถมเพิ่งรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด

 

          บรรยากาศจากความสิ้นหวังที่หายไปกลายเป็นเริ่มทำให้รู้สึกแปลก ๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่ แต่สาเหตุหลักน่าจะมาจากเรื่องที่ทัตตัดสินใจเรื่องของพิมอย่างเด็ดขาดมากกว่า

          อย่างตอนนี้ แค่พิมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าของทัตก็กลับร้อนแดงขึ้นอย่างง่ายดาย 

          เช่นเดียวกับพิม

 

“ละ แล้วนี่จะไปรอพ่อบ้านขับรถมารับที่ไหนเหรอ” ทัตเอ่ยถาม เขาเผลอเบี่ยงหน้าหลบไปทางอื่นไม่รู้ตัว แต่ทางพิมเองก็ขยับออกห่างเพราะเขินเหมือนกัน

“…ก็รอแถว ๆ นี้แหล่ะ” เสียงพิมตอบเบาลงเรื่อย การกอดตุ๊กตาเสียแน่นทำให้รู้ว่าเธอกำลังหวั่นไหวเอาการ

“กลับไปนั่งรอที่เดิมจะดีเหรอ?”

          ทัตเสนอถาม พิมได้ยินแล้วก็เอียงคอสงสัยเพราะการกลับไปนั่งจุดที่เคยทำเรื่องน่าอายไม่ทำให้เธอรู้สึกอะไรทั้งนั้น

          เขาเองก็น่าจะรู้ว่าพิมไม่สน คำตอบของสิ่งที่เธอสงสัยจึงมีอย่างเดียว 

          นั่นคือทัตกำลังหวังจุดประสงค์อื่น

 

“แล้ว… คิดว่าฉันควรไปรอที่ไหนดีเหรอ” คิดเองคงไม่ได้คำตอบ พิมมองตรงถามทัตจ้องตาต่อตา ไหล่คอเธอเกร็งไม่เบาตอนถาม

          นั่นง่ายสำหรับทัตที่ตั้งใจจะบอกเรื่องสำคัญกับเธอ

 

“ไปรอที่หอฉันไหม”

เพราะถ้าเป็นที่ที่ไม่มีใคร ก็คงพูดได้สะดวกใจกว่าล่ะนะ

          ทัตมองพิมกลับไปด้วยสายตาจริงจังไม่มีการสั่นไหวใด ๆ จากความประหม่า

          จริงจังมากผิดปกติจนพิมเองยังรู้สึกแปลกใจ

 

“เอ๊ะ!? เอ่อ ก็ ไม่ใช่ไม่ได้นะ แต่ว่ามัน…” พิมที่สบสายตานั่นเข้ายิ่งหวั่นไหว ความคิดเองก็เตลิดเปิดเปิงไปพอกัน

“งั้นก็ไปกันเถอะ เดี๋ยวพ่อบ้านของเธอจะมารับก่อน”

“อะ”

          ทัตว่าแบบนั้นอย่างรีบร้อนหมายความตามที่พูด ยิ่งทำพิมสับสนแต่ก็ไร้ท่าทีปฏิเสธ

          ระหว่างนั้น รู้ตัวอีกทีพิมก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซของทัตขึ้นมาแล้ว

 

          ทัตสตาร์ทเครื่องไม่รอรีให้เสียเวลา ยื่นหมวกกันน็อคที่มีอันเดียวให้พิมก่อนจะบิดออกตัว

          ลมหนาวพัดใส่หน้าทำเขาหนาวไม่เบา พิมสวมกอดเขาในจังหวะนั้นราวรู้ใจ

          สำหรับพิมแล้วคงเป็นเพราะโหยหามากกว่า เห็นชัดว่าไม่ใช่ทัตคนเดียวที่กลัวการแยกจากกัน 

          เผลอ ๆ พิมอาจรู้สึกมากกว่าเสียด้วยซ้ำถึงเตรียมใจมอบทุกอย่างให้กับทัต ราวกับปรารถนาให้มีบางสิ่งผูกมัดกันไว้

 

          แต่ทัตเองก็คงไม่รู้เรื่องนั้นจนขับมาถึงที่หมายอย่างหอของเขา

          ทัตเดินผ่านบันไดขึ้นหอไปยังด้านหน้าของหอ นั่นกลับทำพิมแปลกใจ

 

“อ้าว? ไม่ได้ จะขึ้นห้องเหรอ?” พิมเอ่ยถามอย่างเกรง ๆ เสียงเธอยังสั่นด้วยความตื่นเต้นไม่หาย

“หืม?”

“เอ๊ะ!?”

          ทัตเอียงคอกลับมาทำให้พิมเอียงคอกลับไป

          พิมเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป ดูเหมือนการเลือกใช้คำเองจะทำให้สาวเจ้าคิดไปไกลถึงดาวอังคารเสียแล้ว

 

“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ก็เลยอยากหาที่สงบ ๆ ที่เป็นส่วนตัวหน่อยน่ะ” ทัตรู้เลยพูดให้ชัดเจน ถึงจะช้าไปหน่อยก็ตาม

“เฮ้อ… เป็นงั้นเองหรอกเหรอ” พิมถอนหายใจ

          ใจนึงก็โล่ง แต่ใจนึงก็แอบนึกเสียดายอยู่เหมือนกัน

          เจ้าตัวถึงกับเอามือลูบแก้มตัวเองบิดตัวไปมาด้วยแก้มแดง ๆ เสียยกใหญ่ พลางบ่น ‘คิดอะไรของเราอยู่กันเนี่ย’ ซ้ำไปมา ถ้าเป็นในการ์ตูนควันคงออกหัวเธอไปแล้วกระมัง

 

          เป็นอะไรของเธอเนี่ย? ทัตอยากจะเปิดปากถามแบบหยอกกวน แต่คิดว่าคงทำให้เรื่องแย่กว่าเดิมเลยปิดปากเงียบเดินต่อไปจนถึงหน้าหอ

          ใกล้ ๆ ถนนมีม้านั่งอยู่เหมาะจะเป็นที่รอรถสำหรับพิม

          แต่สุดท้ายก็เอาไว้วางตุ๊กตาแมวของพิม ทั้งสองคนไม่ได้นั่ง ไม่สิ… เพราะมีเรื่องที่ยังคาใจและอยากทำถึงนั่งไม่ติดมากกว่า

 

แล้ว… ถ้างั้นทัตต้องการอะไรกันนะ?

          แม้จะตัดไปได้อย่างสองอย่างแต่ข้อสงสัยของพิมก็ยังไม่หายไป

          ความคิดเองก็ยังเตลิดอยู่ ไม่ได้ลดน้อยลงไปจากหนแรกเลย

 

“นี่…” 

“คะ!!!?”

          ทัตเรียกทำให้พิมได้สติจากห้วงความคิดกลับมาโลกจริง ถึงนั่นจะดูตกใจเกินเหตุไปหน่อยก็เถอะ

          แต่การตอบกลับแบบนั้นแสดงให้เห็นว่าเธอรอฟังทัตอยู่ เขาจึงไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากเดินหน้า

          แม้ต้องดับเครื่องชนก็ตาม

 

“ตั้งแต่ ‘วันนั้น’ เธอยังรู้สึกกับฉันเหมือนเดิมอยู่รึเปล่า?”

“เอ๊ะ?”

          เธอหันขวับมองทัต เสียงนั่นลอดผ่านลำคอเบามากจนแทบไม่ได้ยิน แต่ดวงตาของพิมเบิกโพลงจนเห็นได้ชัดว่าตกตะลึงแค่ไหน

          ดวงตาของทัตไม่สั่นไหวเลยสักนิด พิมเองก็อยู่กับทัตมานาน เธอไม่เคยเห็นทัตมีแววตาแบบนี้มาก่อน

          นั่นเกินกว่าระดับของคำว่าจริงจังตามปกติไปมาก หรืออย่างน้อยทัตก็ไม่เคยจริงจังเท่านี้มาก่อน

 

          อย่างไรก็ดี… พิมก็ไม่ได้หัวทึบ

          การระบุถึงวันที่อย่างเฉพาะเจาะจงเข้าใจกันได้แค่สองคน มันไม่มีความหมายอื่นนอกจากคำว่า ‘เธอยังชอบฉันอยู่รึเปล่า?’

 

“ถะ ถ้าบอกว่าไม่ล่ะ”

          พิมไม่ได้โกหก เธอไม่ได้รู้สึกเหมือนวันนั้นอีกแล้ว

          แม้ใบหน้าแดงก่ำนั่นจะไม่มีทางมองเห็นเป็นทางที่ไม่ดีก็ตาม แต่ทัตจะทำอะไรได้หากเธอบอกออกมาอย่างนั้น

 

“เหรอ…”

          ทัตตอบสั้นเหมือนเสียดาย ลึกในใจก็คิดว่ากรรมตามสนองแล้ว

          ตามปกติเขาคงเศร้า แต่ทัตเรียนรู้แล้วว่านั่นเป็นเรื่องเสียเวลาที่สุด 

          เขาไม่คิดเอาเวลาที่เหลือในชีวิตมาคร่ำครวญแล้ว

 

“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะพยายามจนกว่าเธอจะกลับมาชอบฉันเหมือนเดิมให้ได้” ทัตมองเข้าไปในดวงตาของพิม ให้เธอเห็นว่าเขาจริงจังแค่ไหน 

          แน่นอนว่ามันส่งไปถึงตั้งแต่แรกแล้ว ดวงตาของพิมถึงยิ่งเบิกกว้าง หน้าทั้งใบก็ฝาดสีแดงโดยไม่ต้องฉาบด้วยแสงอาทิตย์ตกดิน ทำหวนนึกถึง ‘วันนั้น’

          เพราะพิมกำลังรู้สึกเหมือนกับ ‘วันนั้น’

 

          แต่ทัตนั้นแตกต่าง… เขารู้สึกกับพิมมากกว่า ‘วันนั้น’

 

“ฉันจะไม่มีวันปล่อยให้เธอห่างจากฉันไปอีก! ฉันกลัวว่าตัวเองจะไม่เหมาะกับเธอแล้วก็โดนเกลียด แต่ว่า… ฉันกลัวที่จะไม่ได้ใช้เวลากับเธอมากกว่า!”

          ทัตไม่รู้ว่าตัวเองส่งเสียงดัง เขาไม่รู้และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นอย่างนี้ได้ ความที่ผิดจากทุกทีเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาต้องการให้พิมมาอยู่เคียงข้างเขามากแค่ไหน พิมเองก็มองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลายอย่าง

          ไม่ว่าจะเป็นความดีใจ ความดีใจหรือความดีใจ เธอปิติจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาเทียบเคียงหลังได้เห็นสายตาราววิงวอนจากชายที่เธอหมายปองคนนี้

 

“นับแต่วันนี้… จะกี่วัน กี่เดือน กี่ปี กี่สิบปี” ความปรารถนาของเขาทอดยาวออกไป แม้พิมจะไม่แลแต่เขาก็จะพยายามอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน

“จนกว่าเธอจะกลับมาชอบฉัน…”

          ทัตนิ่งเหมือนถูกความประหม่าเข้าครอบงำ ถึงแบบนั้นก็ไม่ยอมเลื่อนสายตาหนีไปจากพิม

          จะมาหยุดตรงนี้ก็ไม่ใช่เวลา เพราะถ้าพูดสิ่งที่อยากพูดไม่ได้ ทั้งหมดที่ทำมาก็ไม่มีความหมาย

 

“ฉันจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะทำให้เธอรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยกันตลอดไป… ฉันจะทำให้เธอหลงรักฉันแบบเดียวกับที่ฉันรักเธอให้ได้!”

          พิมไหล่กระตุกเกือบเซ รู้สึกเหมือนความรู้สึกทั้งหมดที่ทัตมีกระแทกเข้าใส่เธอ

          อย่างที่ต้องการให้เป็นมาตลอด

 

“!!?”

          พิมพุ่งเข้าไปสวมกอดทัต ความรู้สึกที่เธอมีให้เขามาตลอดไม่สามารถเก็บไว้ได้อีก มันมาถึงจุดที่ล้นออกจากหัวใจดวงเล็ก ๆ ของเธอไปแล้ว

          ทัตทำอะไรไม่ถูกได้แต่เบิกตาตะลึง ถึงแบบนั้นก็เผลอสวมกอดพิมกลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

“ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ” พิมซุกหน้าตัวเองลงไปตรงอกทัต พยายามซ่อนใบหน้าดีใจของตัวเอง

          แต่แค่ทัตฟังเสียง เขาก็รู้แล้วว่าเธอกำลังยิ้มกว้างอยู่ มากกว่าครั้งไหน ๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันอีก

 

“ความรู้สึกที่ฉันมีให้นายมันไม่มีทางเหมือนเดิมหรอก… ตลอดเวลาที่ได้ใช้กับนายฉันมีแต่จะมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ นายพยายามจะเข้าใจฉันทั้งที่เป็นคนใจแคบ เรื่องที่ทำได้เพื่อฉันนายก็พยายามอย่างเต็มที่อยู่ตลอด ไม่เคยทอดทิ้งฉันเลย” พิมกอดทัตแน่นขึ้น หวงแหนเขามากขึ้นยิ่งกว่าสิ่งใด

“เทียบกับวันนั้น ความรู้สึกที่ฉันมีให้นายมันมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยต่างหากล่ะ มากจนฉันเองก็ทนเก็บมันไว้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”

          พิมยิ่งพูดยิ่งประหม่า แต่ก็ยิ่งสวมกอดทัตแน่นขึ้นและแน่นขึ้น ราวกับแมวสร้างกลิ่นติดเจ้าของ แสดงให้เห็นว่าเธอต้องการทัตมากแค่ไหน

          ทัตรู้แบบนั้นยิ่งกอดพิมกลับไปแน่น ขยับใบหน้าแนบเข้าข้างใบหูของพิม แนบชิดด้วยความโหยหา 

          หากเป็นความใกล้ชิดนี้คงมากพอให้ความกลัวจากการแยกจากกันอันตรธานหายไปได้

          เขาหวังเช่นนั้น… ทั้งสองคนหวังเช่นนั้น

 

          เวลาผ่านไปเรื่อย ไม่รู้เข็มชี้ไปถึงเลขไหนแล้ว แต่ทั้งสองคนรู้สึกราวกับทุกอย่างหยุดลงเพื่อช่วงเวลาของเขาทั้งสอง

          ต่อให้มันไหลไปเรื่อยก็ไม่คิดสนใจ ทั้งสองคนไม่คิดว่ามีอะไรสำคัญกว่าช่วงเวลาที่ใช้ร่วมกันแบบนี้อีกแล้ว

 

          แต่น่าเสียดาย… โทรศัพท์ของพิมสั่นขึ้นในจังหวะนั้น คงมาจากพ่อบ้านที่กำลังขับรถมารับเธอไม่ผิดแน่

          ทั้งแบบนั้น ทัตกับพิมก็ไม่ได้ผละจากกันทันที

          ทัตรู้ความจำเป็นเลยต้องจำใจถอนตัวออกมาก่อน แต่พิมนั่นแหล่ะที่ไม่ยอม เธอยังกอดทัตแน่นไม่ยอมปล่อยเสียที

 

น่ารักซะจริงนะแม่คุณ

          ทัตแอบคิดแบบนั้นจนอยากจะโอบพิมเข้ามากอดไว้แน่น ๆ อีกครั้ง

          แต่นั่นเป็นจังหวะที่พิมผละออกไปรับโทรศัพท์แบบเอียงอาย ทัตเลยคิดว่าไว้ทำแบบนั้นโอกาสอื่นดีกว่า

 

“ขอโทษนะ ขัดจังหวะหมดเลย” พิมทำหน้ารู้สึกผิดเหมือนหมาหงอย นั่นเสียมารยาทก็จริงแต่พิมก็แสดงออกใกล้เคียงแบบนั้นดังว่า ทัตเลยลูบหัวเธอไปครั้งนึงให้พิมไม่ต้องคิดมาก

          ทัตไม่ทำอะไรนอกจากยิ้มให้ พิมเห็นแบบนั้นดีใจแทนในทันที

          ถึงเธอจะทำหน้าหงอยออกมาอีกในตอนที่ทัตเอามือออกก็เถอะ

 

“นี่… พิม”

“อะไรเหรอ?”

          ทัตกลับมาเกาแก้มออกอาการเขินอีก เป็นการกระทำที่ยากจะเข้าใจสำหรับพิมจนเธอต้องเอียงคอ

 

“คือพวกเรา… เป็นแฟนกันแล้ว ใช่ไหม?”

          อันที่จริง ทัตก็แค่อยากจะยืนยันอะไรสักหน่อยก็เท่านั้นเอง เขาไม่กล้ามองหน้าพิมตอนถามด้วยซ้ำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดเรื่องน่าอายมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ

          ไม่สิ… คงเพราะก่อนหน้านี้ทัตพยายามก้าวข้ามความไม่มั่นใจของตัวเองมากกว่า ตอนนี้จึงเป็นท่าทางปกติอันน่ารักน่าชังในสายตาของพิม จนทำเธออดอมยิ้มออกมาไม่ได้

 

น่ารักซะจริงนะพ่อคุณ

“ก็ลองบอกว่า ‘ไม่’ ดูสิจ๊ะ”

          พิมใช้นิ้วจิ้มแก้มทัตขยิบตาให้ นั่นไม่ดีต่อใจเอาซะเลยแต่ก็เป็นคำตอบที่ชัดเจน

 

“…ยัยตัวแสบเอ้ย” ทำทัตอดยิ้มไม่ได้เลยเชียว

“เฮะ ๆ”

          เสียงหัวเราะขี้เล่นดังออกมา แต่หนนี้ดูจริงใจยิ่งกว่าครั้งไหน อาจเป็นเพราะเธอไม่จำเป็นต้องรั้งความรู้สึกตัวเองไว้อีกแล้ว

          นั่นเป็นข้อดี และเป็นเรื่องคุ้มค่าแล้วหลังจากทั้งหมดที่ทัตทำ

 

          แสงไฟค่อย ๆ ฉายจากท้องถนน มาจากรถหรูมารับพิมไม่ผิดแน่

 

“ต้องไปแล้วล่ะ”

          พิมรู้แบบนั้นเลยเดินไปหยิบตุ๊กตาแมวที่ทัตซื้อให้ตรงม้านั่ง เธอกอดมันแน่นทีเดียวเพราะเป็นของขวัญที่ทัตซื้อให้

          ถึงแววตาเธอจะเหงากว่าปกติ แต่รอยยิ้มเธอกว้างและสดใสยิ่งกว่าทุกที ตอนนี้เธอคงลืมเรื่องการต่อสู้ที่ทำเอาเกือบตายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนไปแล้ว

 

          ตอนนี้ในหัวของพิมคงมีแต่เรื่องของทัตกระมัง

          หลักฐานของเรื่องนั้นคือการส่งท้ายด้วยการยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปากของทัต จูบแรกของเขาโดนขโมยไปโดยยัยตัวแสบสุดที่รักเสียแล้ว นั่นทำเอาทัตเข่าอ่อนจนเกือบจะล้มเลยทีเดียว

 

“ที่บอกว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปน่ะ ห้ามคืนคำเด็ดขาดเลยนะคะ” พิมยิ้มแฉ่งก่อนจะกระโดดโลดเต้นขึ้นรถไป ทิ้งไว้แต่ทัตที่แก้มแดงเป็นลูกแตงโมไปแล้ว

“ครับ ผม”

          ทัตสายตาล่องลอยสติหลุดไป เขาตอบอะไรไม่ได้เลยนอกจากนั้น

 

❖❖❖❖❖

 

ระหว่างรอให้พิมกลับถึงบ้านฉันก็กลับไปอยู่บนหอ

เพราะตั้งใจจะสารภาพรักก็เลยลืมไปซะสนิทว่าเราอยู่ในช่วงที่ยังกลับบ้านอยู่

 

แต่ก็ช่างเถอะ วันนี้นอนหอไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านก็ไม่สายเกินไป

ส่งข้อความบอกพ่อกับคุณเฟรย์จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงเท่านี้ก็โอเค

 

ระหว่างนั้นพิมก็ส่งข้อความมาหาว่าถึงบ้านแล้ว

พวกเราคุยโน่นนี่นั่นซะดึกดื่น น่าจะเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่ส่งข้อความกันด้วยอารมณ์ใหม่ ๆ

 

ส่วนหนึ่งคงเพราะความสัมพันธ์เปลี่ยนไปด้วย แต่การแสดงออกหรือการวางตัวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ที่แตกต่างน่าจะเป็นเรื่องของความใกล้ชิด

ก็แปลกใจเหมือนกันที่ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยน

 

ไม่สิ พอมานึกดู อาจเป็นเพราะเราเป็นมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนมานานแล้วก็ได้ พอได้เป็นแฟนกันจริง ๆ เลยไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก

นั่นเป็นเรื่องดี เพราะทั้งเราและพิมต่างก็สบายใจที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

 

เราใกล้ชิดกันขึ้น และคงจะสามารถแสดงความรักที่มีอยู่ในใจออกมาได้โดยไม่ตะขิดตะขวงเรื่องการรักษาระยะห่างอย่างที่เป็นมาตลอด

คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

 

ปัญหาก็คือเรื่องสายตาของคนอื่นนี่แหล่ะที่เราไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่

 

พอถึงวันจันทร์ สายตาของคนรอบข้างจะต้องเปลี่ยนไป นี่แหล่ะที่เราไม่คุ้นชิน

พูดตรง ๆ คือรู้สึกกลัว…

 

แต่ว่า… ไม่ว่าช้าหรือเร็วเรื่องนี้ก็จะเกิดขึ้นอยู่ดี

เพราะงั้น ในทางที่ดีคือรีบ ๆ เจอมันซะตอนนี้ให้ชินดีกว่า

 

ธรรมชาติคนเราก็กลัวสถานการณ์ที่ไม่เคยเผชิญอยู่แล้ว

เราเองก็ยังมีแอบคิดในแง่ร้ายอยู่ ว่าอาจจะถูกติว่าไม่เหมาะสมกับพิมก็ได้

 

ยังไงก็พยายามมองในแง่ดีไว้ก่อนละกัน 

ว่าอย่างน้อยแฟนสาวเราก็โคตรสวยน่ารักน่ะ

 

❖❖❖❖❖

 

“ “ “เอ๊ะ!? คบกันแล้วเหรอ!?” ” ”

          นั่นคือเสียงตกใจของกลุ่มเพื่อนสนิทตอนรู้ข่าวในวันจันทร์หลังเลิกเรียน

          มาจากทั้งพล กล้าและหนุ่มที่น้ำตาตกใจ รวมถึงแพรที่เป็นเพื่อนสนิทและมิ้นที่เป็นเพื่อนหญิงอีกคนทำแววตาเป็นประกาย

          โชคดีหน่อยที่เพื่อนร่วมห้องส่วนใหญ่กลับบ้านหมดแล้ว ในห้องเลยเหลือกันอยู่ไม่เท่าไหร่

          สำหรับทัตนั่นทำให้กังวลน้อยลง

 

          แต่สายตาที่กำลังรอรับคำยืนยันจากเหล่าเพื่อนสนิทก็ยังทำเอาเขาเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน

 

“อืม…”

“ใช่แล้วล่ะ เฮะ ๆ!”

          พิมหัวเราะร่าพร้อมกับกอดแขนทัตแน่นให้เห็นกันชัด ๆ ต่างกับทัตที่ได้แต่อ้ำอึ้ง

 

“ไม่จริ๊ง!”

“ทำไมก๊านนน!!!!”

          กล้ากับหนุ่มเริ่มโอเวอร์แอคติ้งตะโกนลั่นห้อง ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่แค่น้ำตาตกในแต่น้ำตาไหลพรากเพราะนางฟ้าของห้อง ไม่สิ… นางฟ้าของโรงเรียนมีเจ้าของไปแล้ว

 

“ดีใจด้วยนะทั้งสองคน”

“เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่หรอก แต่ก็ยินดีด้วยนะ”

          ปฏิกิริยาพวกหนุ่ม ๆ แตกต่างจากสาว ๆ อย่างแพรและมิ้น ทั้งสองคนยินดีกับทัตและพิมด้วยใจจริง

          ถึงทางมิ้นจะแอบแขวะอยู่หน่อยแต่นั่นไม่ใช่ประเด็นแล้ว เพราะยังไงตอนนี้ทัตกับพิมก็อยู่ในสถานะที่สอดคล้องกับความใกล้ชิดที่พวกเขามีให้กันจริง ๆ เสียที

          และคงไม่ถูกล้อเรื่อง ‘เมื่อไหร่จะคบกัน’ อีกต่อไปแล้ว

 

“อื้ม! แต่ไม่ต้องเป็นห่วงน้า ฉันไม่ลืมแพรหรอก” พิมเข้าไปกอดแพร แสดงให้เห็นว่ารอบตัวเธอไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปทั้งนั้น

“แหม”

          แพรยิ้มออกมาทำเอาทัตเองก็โล่งใจไม่น้อย เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำให้คนรอบข้างกังวลเรื่องที่จะผูกมัดพิมไว้คนเดียว

 

“ดีจังเลยน้า ฉันเองก็อยากมีแฟนเหมือนกัน” พลบ่นอิดออดแล้วก็เอาหน้าราบไปกับโต๊ะ ความรู้สึกนั้นไม่ว่าใครก็ต้องเข้าใจถ้าได้เห็นพิมหวานแหววกับทัตก่อนหน้านี้

“เอาแต่บ่นมันจะหาได้ไหมล่ะ” มิ้นยื่นหน้าเข้ามายิ้มกวนยิ่งทำให้ไม่สบอารมณ์เข้าไปใหญ่

“หนวกหูน่า! อย่างฉันน่ะเดี๋ยวก็หาได้”

“งั้นก็ต้องพยายามหน่อยล่ะนะ ฮะฮะฮ่า!”

          ยิ่งเห็นพลเล่นด้วย? มิ้นก็ยิ่งได้ใจ ถ้าเป็นปกติก็คงจะต่อล้อต่อเถียงกลับ แต่เห็นชัดว่าเขาหงอยลงไปเยอะจริง ๆ ทำเอาทัตเริ่มรู้สึกสงสารไม่เบา

 

“เอาน่า เดี๋ยวถึงเวลาแฟนก็มีเองแหล่ะ” นั่นคือคำปลอบใจแรกที่ทัตคิดออก

“พูดเหมือนแม่ฉันไม่มีผิดเลย”

          พลว่าแล้วก็ถอนหายใจ ทำเอาทัตยิ้มแห้งตามไปด้วย เรื่องอาการเหงาชายคนนี้คงต้องปล่อยให้รักษาตัวเองด้วยเวลาเสียแล้ว

 

“ให้ตายสิ จะให้หาคู่ที่เหมาะกับตัวเองแบบนายมันหาไม่ง่ายนะเฟ้ย”

          พลพูดแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีก ดูเหมือนพลเองก็ใช่ว่าจะคบกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ เขาเป็นคนจริงจังมากกว่าที่ทัตคิด

          แต่มุมมองที่พลมองทัตกับพิมก็ทำให้ตัวทัตเองสงสัยอยู่เหมือนกัน

 

“นายบอกว่าฉันเหมาะสมกับพิมเหรอ?” ทัตถามจุดที่ยังแปลกใจตามตรง

“ไม่ใช่รึไง?” พลถามกลับด้วยสายตาใสซื่อ เชื่อได้ว่าเขาพูดออกมาตามที่คิดจริง

“เปล่า… ขอบใจนะ”

          ทัตเผลออมยิ้มออกมาด้วยความพอใจ อีกนัยนึงคือความโล่งอก อย่างน้อยในมุมมองของคนรอบข้างก็มองว่าทัตเป็นคนที่คู่ควรกับพิมอยู่

          ก็จริงที่ตัดสินใจไปแล้วว่าต่อให้ถูกมองว่าไม่คู่ควรก็จะไม่คิดมาก แต่ในความเป็นจริงความกลัวมันไม่ได้หายไปโดยง่าย

          นี่จึงเป็นก้าวแรกที่ดีทีเดียว เพราะมันทำให้ทัตมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

 

          การบอกเรื่องนั้นกับเพื่อน ๆ สร้างความวุ่นวายไม่นาน ว่าไปแล้วทุกคนก็ปรับตัวเร็วกว่าที่คิด

          สาเหตุหลักคงเป็นเพราะเห็นกันอยู่ว่าทัตกับพิมมีใจให้กัน พอทั้งคู่คบกันจริงเลยไม่น่าแปลกใจอะไร

          เวลาเลิกเรียนอย่างนี้เหมาะจะไปเที่ยวกันเป็นกลุ่ม แต่เหมือนเพื่อน ๆ ทุกคนจะจงใจแยกกันกลับบ้านเพื่อให้ทัตกับพิมมีเวลาด้วยกัน นั่นรู้งานไม่เบาแต่ก็ทำเอาทั้งสองคนประหม่าเหมือนกัน

          ทั้งเรื่องที่ถูกทำเป็นเป้าสายตาเล่นสนุก และเรื่องที่ปล่อยให้เหลือกันอยู่แค่สองคนลำพัง

 

“เรา… ไปไหนกันต่อดีนะ” พิมถามพลางมองตาทัต แก้มเธอยังแดงไม่หาย และนั่นทำให้ทัตเขินตามไปด้วยจนเผลอเกาหัวตัวเองหวังแก้อาการประหม่า

“งั้น… ไปซื้อของเตรียมสำหรับคืนนี้ดีไหม”

          ทัตคิดอย่างอื่นไม่ออก เพราะนี่ก็เย็นจวนเจียนที่มอนสเตอร์จะออกมาแล้ว การวางแผนเรื่องอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเอาตัวรอดในหนึ่งคืนจึงเป็นตัวเลือกสมเหตุสมผลเหมือนที่ทำมาตลอด

          แต่พิมก็ดันยิ้มกริ่มทำตาแมวใส่ทัตเสียอย่างนั้น

 

“อะไรกัน? นี่ชวนดิฉันขึ้นห้องเหรอคะเนี่ย? ใจเร็วเหมือนกันนะค้า”

“!? ไม่ได้จะบอกอย่างนั้นซะหน่อย!”

          ทัตตกใจ รีบปฏิเสธแทบจะไม่ทัน ถึงใจนึงจะคิดว่าเร็วเกินไป แต่อีกใจนึงก็นึกเสียดายเหมือนกัน

          ให้ตายสิ… ทัตบ่นอุบในลำคอโดยมีพิมหัวเราะแฮะ ๆ อยู่ข้างกาย

 

          นั่นเป็นตอนที่พิมเลื่อนมือขวามากุมมือของทัต

          เขาตกใจก็จริง แต่ความดีใจก็เข้ามาแทนที่จนลืมเรื่องนั้นไปหมด

          มือของเขาผสานผ่านซอกนิ้วของพิม กุมมือกันแน่นในรูปแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน

 

“ฉันอยากจะกอดแขนนายเลยล่ะ แต่ขอโทษนะ ที่นี่คนมันเยอะไปน่ะ” พิมขยับเข้ามาเอาหัวแนบกับไหล่ทัตเบา ๆ แล้วก็ผละตัวออก

          ท่าทางนั่นน่ารักจนทัตอยากจะโอบตัวเธอเข้ามากอดไว้แน่น ๆ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ด้วยเหตุผลเดียวกับพิม

 

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ก็ดีใจแล้ว”

          เขาเลยยักไหล่แบบนั้นก่อนจะเดินไปร้านสะดวกซื้อที่ใกล้หอที่สุดตามแผน ไปพร้อมกับกุมมือแฟนสาวสุดที่รักไปด้วย

 

          ระหว่างเดินเท้าออกนอกรั้ว มีสายตานักเรียนหลายคู่มองมาที่ทั้งสองคน

          พิมเป็นที่จับตามองนั้นแน่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะระดับชั้นเดียวกันหรือรุ่นพี่ ชายหรือหญิง ลึก ๆ แล้วทุกคนคงหมายปองจะสนิทสนมกับพิมไม่ผิดแน่ถึงได้ส่งสายตาหลากอารมณ์มา

 

“เดี๋ยวก็ชินน่า” พิมว่าแบบนั้นให้กำลังใจ พูดเสมือนว่าทัตจะต้องรับมือกับเรื่องแบบนี้ไปทั้งชีวิต

          ซึ่งนั่นก็ตรงกับที่ทัตคิด เขาพยักหน้ารับเบา ๆ พยายามทำความคุ้นเคยกับความรู้สึกพวกนี้

          

          ทั้งสองเดินไปเรื่อยจนออกนอกโรงเรียน สายตาที่จับจ้องเลยลดลง

          บรรยากาศระหว่างทั้งสองคนยังคงหวานฉ่ำอยู่ แต่ก็ยังต้องโฟกัสเรื่องการเอาตัวรอดในคืนนี้ด้วย

 

ถึงเมื่อวานจะเจอศึกหนักทำเอาเกือบตายก็เถอะ

แต่ก็แค่เกือบนั่นแหล่ะ พวกเรารอดมาได้ทั้งคู่คือไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

 

เรื่องได้คบกับพิมเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างนึง แต่รางวัลของการเสี่ยงตายยังมีเรื่องที่ทำให้เรากับพิมได้รับการวิวัฒนาการอีกขึ้น

ตอนนี้เราสองคนมีเลเวลมากกว่า 100 และมีอาวุธของ Chivalry เหมือนกันกับฝ้าย

 

ในที่สุดพวกเราก็แข็งแกร่งขึ้นจนน่าจะเป็นระดับบน ๆ ขององค์กรแล้ว (ก็เซฟเวอร์มีผู้มีพลัง ‘แรงค์ 2’ 7 คนเองนี่นะ)

แต่เรื่องความคุ้นชินกับพลังใหม่พวกนี้เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา

 

คิดว่าพิมเองก็คงคิดเหมือนกัน

เพราะข่าวร้ายที่อยู่ในข่าวดีคือ มอนสเตอร์มันจะแข็งแกร่งขึ้นตามเลเวลของผู้มีพลังในบริเวณนั้น

 

พอเรากับพิมมีเลเวลสูงกว่า 100 มอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวขึ้นจะต้องแข็งแกร่งกว่าที่เคยเจอมาแน่นอน

ถึงไม่น่ากังวลเท่ากับเจ้า Chivalry ก็เถอะ แต่การประมาทก็ไม่ใช่เรื่องดีนี่นะ

 

แต่… เรื่องน่ากังวลยิ่งกว่าพวกมอนสเตอร์ก็คือพวกกลุ่มผู้มีพลังด้วยกันเองนี่แหล่ะ

 

“ง่ะ”

          พิมส่งเสียงแปลก ๆ ออกมาขณะทัตคิดอะไรเพลิน ๆ แถมยังพุ่งเข้ามากอดแขนทัตเอาไว้แน่นจนทำเขาเขินอีก

          ไหนบอกว่าจะไม่ทำงี้ข้างนอกไง! ทัตเกือบจะหลุดตะโกนไปแบบนั้นถ้าไม่สังเกตด้านหน้าเสียก่อน

 

“…”

          ที่ยืนอยู่ด้านหน้าทัต เป็นชายร่างยักษ์คนคุ้นหน้าคุ้นตา น่าแปลกเหมือนกันที่ทัตจมกับความคิดตัวเองจนมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางที่ใหญ่ขนาดนี้

          แต่หากถามว่าเป็นมิตรหรือศัตรู… อย่างน้อยในสายตาของพิมก็ไม่ใช่มิตรแน่ ๆ เธอถึงได้ขมวดคิ้วแยกเขี้ยวขู่ใส่เสียยกใหญ่ การกอดแขนทัตแล้วเดินนำขึ้นมาจึงเดาได้ว่าเธอทำไปเพื่อปกป้องทัตจากคนยักษ์อย่างเจสัน

 

จะว่าไป… หมอนี่ก็อยู่แถวนี้นี่นะ ความบังเอิญนี่น่ากลัวจริง ๆ

          ทัตแอบคิด แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายอันตรายขนาดนั้น ไม่ใช่ในประเด็นที่ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายแล้วด้วย

 

“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้พิม” นั่นดูมากเกินไปหน่อยสำหรับทัต แต่ไม่มากเกินไปสำหรับพิมที่เคยเห็นเจสันกระทืบทัตจนสลบ มองในแง่นั้นก็เข้าใจเธอได้

          แต่… นั่นคงเป็นแค่ในอดีตไปแล้ว หากเทียบกับเรื่องที่เจ้าหมอนี่ทำไว้เมื่อคืน

 

“ไปมองคนที่ช่วยชีวิตเราไว้ด้วยสายตาแบบนั้น เดี๋ยวพระเจ้าก็ลงโทษหรอก”

          พูดเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ เพราะเจสันเป็นคนสุดท้ายในโลกที่ทัตคิดว่าจะทำเรื่องแบบนั้น

          ทัตไม่เคยคิดเลย ว่าคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้จะเป็นศัตรูอย่างเจสัน ที่กำลังยืนขมวดคิ้วหงุดหงิดอยู่ตรงหน้าคนนี้

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืนทัตได้เข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ประหลาดที่โลกจะเปลี่ยนเป็นเกมเอาตัวรอดจากมอนสเตอร์สุดโหดในตอนกลางคืน เขาจำต้องอัพเลเวลและกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะภัยอันตรายไม่ได้มีเพียงแค่มอนสเตอร์เท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset