เมื่อรู้สึกได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาพยายามทิ้งน้ำหนักตัวของเธอทั้งหมดลงมาบนร่างกายของเขา ปากของมู่เฉินฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาเกร็งแขนอันแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“คุณอยากทำอะไรกันแน่ ?”
“ฉันอยากจะทับคุณให้แบนไปเลย” เซี่ยฉิงกงกระซิบ
“น้ำหนักคุณแค่นี้อยากทับผมจนแบน อย่าฝันไปหน่อยเลย หรือไม่คุณก็ต้องกินให้มากขึ้น ให้อ้วนขึ้นกว่านี้ กินมากขึ้นอีก 30 หรือ 50 แคลอรี่ต่อมื้อ นั่นล่ะบางทีคุณอาจจะทับผมตายได้”
นัยน์ตาของเซี่ยฉิงกงโค้งงอขึ้นเล็กน้อยจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว
ผู้ชายมักชอบปากหวานใส่สาว ๆ ผู้หญิงก็ได้แต่ฟัง เพราะหากอ้วนขึ้นมาจริง ๆ ผู้ชายจะรักผู้หญิงอ้วน ๆ แบบนั้นได้ไง ?
ทั้งสองคนต่อปากต่อคำกัน ขณะเดินไปที่ประตู วันนี้อากาศค่อนข้างอบอ้าวเล็กน้อย
ต้นไม้ในสวนเติบโตอย่าสะเปะสะปะ แต่ครั้นต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านบดบังแสงแดดจนมิด เซี่ยฉิงกงก็รู้สึกดีขึ้น
เซี่ยฉิงกงพบว่าบุคลิกของมู่เฉินฮ่าวเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เมื่อไม่นานมานี้ เวลาพูดกับเธอ เขามักจะแสดงท่าทางเย็นชาอยู่เสมอ
ทำราวกับว่าคำพูดของเขาประดุจทองคำ ไม่อยากจะพูดอะไรมากนักเดี๋ยวทองจะร่วงจากปาก
หากแต่ตอนนี้มู่เฉินฮ่าวกลับชอบพูดคุยกับเธอ บางทีก็ชอบหยอกล้อเธอ ซึ่งเซี่ยฉิงกงก็รู้ดีว่ามู่เฉินฮ่าวทำเช่นนี้กับเธอคนเดียวเท่านั้น
เธอคิดว่าการหมั้นหมายกับมู่เฉินฮ่าวเป็นจุดจบของสัญญาการแต่งงานของเธอ และเธอก็ยอมรับชะตากรรมนั้นแล้ว ทว่าเธอก็ยังไม่ค่อยมั่นใจนัก
เธอคิดว่า เธอแค่ยอมถูกผูกมัด เพียงเพื่อรักษาอาการป่วยของแม่บุญธรรม และล้างแค้นให้กับตัวเธอเอง
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ? ผุพังไม่ต่างจากใบไม้ร่วงรอวันเน่าสลายภายใต้ต้นไม้อย่างเงียบ ๆ ครั้นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนก็จะเหลือเพียงสิ่งสกปรกภายใต้ฝ่าเท้าของผู้คน
หากแต่เธอไม่ได้คาดหวังว่า มันจะเติบโตกระทั่งกลายเป็นดอกไม้เล็ก ๆ ที่มีสีสันได้ มู่เฉินฮ่าวได้เข้ามากวนระลอกคลื่นในใจของเซี่ยฉิงกงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ครั้นทั้งคู่ไปถึงประตู เซี่ยฉิงกงก็มองไปที่ที่นั่งคนขับของรถเบ๊นซ์ เอส600 ซึ่งยามนี้มู่จื่อหมิงกำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับแต่เพียงลำพัง
เอ๊ะ ? ซิงเหวินจิ้งไม่มาด้วยหรือ ?
ดูเหมือนว่าซิงเหวินจิ้งจะยังไม่พอใจในตัวเธออย่างมาก ดังนั้นแม้ว่าลูกชายกำลังจะหมั้น ทว่าซิงเหวินจิ้งก็ไม่เต็มใจที่จะไปเจรจาที่ตระกูลเซี่ย
หมั่นโถวช่วยเซี่ยฉิงกงขึ้นรถด้วยความระมัดระวัง การสวมรองเท้าส้นสูงนั้นลำบากมาก และเซี่ยฉิงกงก็รู้สึกไม่มั่นคงเล็ก ๆ
หลังจากทั้งคู่ก้าวขึ้นรถแล้ว อาเจิ้งก็ขึ้นรถไปนั่งที่เบาะคนขับ ส่วนหมั่นโถวก็ตามขึ้นรถและนั่งข้าง ๆ เซี่ยฉิงกง
เอส 600 เคลื่อนตัวออกช้า ๆ และแล่นไปในทิศทางของบ้านสกุลเซี่ย
รถแล่นไปบนถนนอย่างราบรื่น
“วันนี้ลูกสะใภ้สวยมาก !”
หลังจากรถสตาร์ท มู่จื่อหมิงก็หันกลับมามองเซี่ยฉิงกงพร้อมกับกล่าวชื่นชม
ขณะที่เซี่ยฉิงกงกำลังจะเอ่ยปากนั้น มู่เฉินฮ่าวก็แสดงท่าทางไม่พอใจ
“คุณพ่อ เธอเป็นภรรยาของผม ผมชมเองได้ ไม่ต้องให้คุณพ่อชมหรอก”
“เฮ้ ! เจ้าลูกชาย มีเมียแล้วลืมพ่อเลยใช่มั้ยนี่ ? แกพูดแบบนี้กับพ่อของแกได้ไง ?”
มู่จื่อหมิงเป่าหนวดของเขาด้วยความหดหู่เล็กน้อย
ในรถพูดจากันอย่างครื้นเครง เซี่ยฉิงกงลอบอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ เธอคิดว่าพ่อลูกคู่นี้ช่างน่าสนใจจริง ๆ
“เอ่อ… วันนี้คุณป้าไม่มาด้วยหรือคะ ?”
เซี่ยฉิงกงยังอดไม่ได้ที่จะถาม ลึก ๆ ในใจแล้วเธอรู้สึกว่าการแต่งงานควรที่จะได้รับพรจากครอบครัว หากซิงเหวินจิ้งไม่ชอบเธอ เธอก็รู้สึกว่าตนเองมีปมในใจเล็ก ๆ
“อ้อ เหวินจิ้งน่ะหรือ ! ช่วงนี้เหวินจิ้งอารมณ์ไม่ดีเธอก็เลยไปพักผ่อนที่อเมริกาน่ะ”
“ค่ะ” เซี่ยฉิงกงตอบ
“ลูกสะใภ้ อย่าได้ถือโทษที่เหวินจิ้งไม่ชอบหนูเลย ฉันเองก็อยากพูด ความจริงแล้วฟังดูก็เหมือนเรื่องตลก ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันชอบแม่ของหนูมากจริง ๆ แล้วหนูก็หน้าตาเหมือนแม่ของหนูมากใช่ไหมล่ะ ? เหวินจิ้งจึงมักจะนึกถึงแม่ของหนูทุกครั้งที่เห็นหน้าหนู”
***จบตอน มีเมียแล้วลืมพ่อเลยใช่มั้ยนี่ ?***