บทที่ 379 อยู่ให้ห่างฉันไว้
เมื่อถึงหน้าประตูบริษัท เยี่ยหวันหวั่นปลุกซือเยี่ยหานให้ตื่นขึ้นมา
“คุณประชุมของคุณต่อเถอะ ฉันกลับก่อนนะคะ”
“ให้สวี่อี้ไปส่งเธอสิ” คงเป็นเพราะได้หลับมาครู่หนึ่งทำให้สีหน้าท่าทางของเขาดีขึ้นไม่น้อย น้ำเสียงของซือเยี่ยหานดูจะอ่อนโยนกว่าปกติ
ทว่าอารมณ์ของเยี่ยหวันหวั่นไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย มองค้อนคนบ้างานบางคนด้วยความอัดอั้น แล้วหันกายเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร
เป็นอะไรที่ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจจนขันทีร้อนใจตาย[1]จริงๆ !
วั่นจิ่งหมิงหยวน
หลังจากกลับไปแล้ว เยี่ยหวันหวั่นก็เริ่มกลุ้มใจว่าจะขัดขวางการส่งตัวเองไปตายของซือเยี่ยหานอย่างไร
น่าเสียดาย คิดอยู่นานเป็นค่อนวันก็ยังคิดวิธีอะไรดีๆ ไม่ออก
เธอไม่ใช่ฉินรั่วซีเสียหน่อย คำพูดที่ออกมาจากปากเธอไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด
ช่างเถอะ เมื่อเรือถึงท่าก็ตรงเอง[2] ช่วงนี้เธอคอยเอ่ยโน้มน้าวให้มากเสียหน่อย หากไม่ได้ผลก็ยังมีกลยุทธ์สาวงาม…
เยี่ยหวันหวั่นถอนหายใจ เปลี่ยนการแต่งกายกลับเป็นผู้ชาย จากนั้นส่งข้อความหาลั่วเฉิน [มาที่ห้องฉัน ภายในห้านาที]
จัดการทางนี้ให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากัน ปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะเก็บไปคิดเหลวไหลคนเดียวไปถึงไหนต่อไหน
เยี่ยหวันหวั่นรอคอยพลางมองดูนาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือ
คงเป็นเพราะน้ำเสียงในข้อความของเธอครั้งนี้ค่อนข้างเฉียบขาด ครั้งนี้ลั่วเฉินจึงไม่กล้าเมินเฉย แทบจะเป็นเวลาห้านาทีพอดีเป๊ะ เสียงเคาะประตูพลันดังขึ้น
เยี่ยหวันหวั่นขานตอบ “เข้ามาได้”
เธอแง้มประตูเปิดเอาไว้
เสียงฝีเท้าดังขึ้น จากนั้นลั่วเฉินค่อยๆ ผลักประตูแล้วเดินเข้ามา
เหมือนว่าลั่วเฉินจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เส้นผมยังมีความเปียกชื้นอยู่นิดหน่อย เสื้อผ้าก็ใส่มาอย่างรีบร้อน เชือกรองเท้าข้างหนึ่งก็ผูกอย่างยุ่งเหยิง แค่เห็นก็ทำให้ใจอ่อนยวบอย่างควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ควรจะพูดก็คือ…อากาศร้อนในฤดูร้อนแบบนี้ ลั่วเฉินกลับใส่เสื้อคลุมเนื้อค่อนข้างหนา ห่อตัวเองไว้อย่างแน่นหนา…
เยี่ยหวันหวั่นมองการแต่งกายของเขา มุมปากกระตุกเล็กน้อย ไอ้เด็กนี่ คิดว่าเธอเรียกเขามาทำอะไร?
“นั่งสิ” สายตาของเยี่ยหวันหวั่นมองไปที่โซฟาข้างกายตัวเอง พลางเอ่ยปากเรียก
ลั่วเฉินชะงักเล็กน้อย ครู่หนึ่งถึงได้ขยับเท้าเดินไปทางเธอ ทว่าไม่ได้นั่งลงที่ข้างกายของเธอ แต่นั่งลงบนอีกฝากหนึ่งของโซฟา
เยี่ยหวันหวั่นกำลังสวมชุดลำลองสบายๆและรองเท้าแตะ ท่าทางเกียจคร้าน เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “ไปนั่งไกลขนาดนั้นทำอะไร?”
ลั่วเฉินเม้มริมฝีปาก เขยิบเข้าใกล้เธออีกเพียงนิดเดียว
เพียงนิดเดียวจริงๆ แค่ระยะประมานหนึ่งฝ่ามือ…
วันนี้เยี่ยหวันหวั่นอารมณ์ไม่ดีอยู่เป็นทุนเดิม เวลานี้ความอดทนที่มีถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ลุกพรวดเดินไปทางลั่วเฉิน
พริบตาที่เยี่ยหวันหวั่นลุกขึ้นยืน ร่างกายของลั่วเฉินเครียดเขม็งอทันทีย่างเห็นได้ชัด กำนิ้วมือแน่นจนเป็นกำปั้น
ขณะที่เธอกำลังจะเดินมาถึงด้านหน้าของเขา ในที่สุดลั่วเฉินก็นั่งเฉยต่อไปไม่ได้อีก เด้งตัวลุกขึ้นยืนราวติดสปริง
จากนั้น ยังไม่ทันได้ขยับไปไหน ก็ถูกเยี่ยหวันหวั่นจับไหล่เอาไว้แล้วกดให้กลับลงนั่ง
เยี่ยหวันหวั่นรักษาท่าทางที่กดเขาไว้ที่พนักพิงโซฟาเอาไว้ ดวงตาทั้งสองหรี่มองเขาที่อยู่ด้านล่าง แววตาฉายความเด็ดขาด “หนีอะไร?”
สายตาของลั่วเฉินว่างเปล่าอย่างไม่รู้ว่าควรจะมองไปที่ไหน ราวกับอยากจะวิ่งหายออกนอกประตูไปทันที แต่ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขาฝืนอดทนอยู่…
เยี่ยหวันหวั่นจ้องเขา เอ่ยขึ้นทีลำคำ “ฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อไปนี้ให้ดี”
“ข้อแรก ฉันไม่ใช่เกย์”
“ข้อสอง ไม่ว่าฉันจะสนใจเพศไหน ฉันไม่มีความสนใจที่จะเคลมเด็กในสังกัดตัวเอง”
“ข้อสาม ถ้าฉันดื่มเหล้า จำไว้ว่าอยู่ให้ห่างจากฉันเอาไว้ ส่วนเวลาอื่นๆ ก็ตามข้อสอง”
………………………………………………………
บทที่ 380 โอกาสเดียวในการกลับมา
สายตาของเยี่ยหวันหวั่นจับจ้องอยู่ที่เขา ขัดขวางไม่ให้เขาหนีไปจากสายตา “ฟังเข้าใจแล้วหรือยัง?”
เดิมทีลั่วเฉินกำลังประมวลผลว่าข้อสามหมายความว่าอย่างไร พอได้ยินเสียงเร่งจึงพยักหน้าทันที
เยี่ยหวันหวั่นไม่พอใจ “พูดสิ”
ลั่วเฉินรีบเอ่ยปาก “เข้าใจแล้วครับ!”
สีหน้าของเยี่ยหวันหวั่นถึงได้ผ่อนคลายลงหลายส่วน “ถ้าหากฉันคิดจะทำอะไรนายจริงๆ คงทำไปนานแล้ว ทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้? สิ่งที่ฉันชอบ คือคุณค่าที่แท้จริงของนาย
ฉันรู้ว่ามีผู้จัดการส่วนตัวจำนวนไม่น้อยที่ทำตัวเหมือนขยะ ไม่เพียงทำผิดกฎกับนักแสดงในสังกัดตัวเอง ยังให้นักแสดงในสังกัดออกไปเป็นเพื่อนกินเหล้าหรือกระทั่งเพื่อนนอน
เพราะว่าการกระทำแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมในวงการ นักแสดงที่คิดจะแสดงละครอย่างจริงจังบนทางที่ถูกที่ควรกลับกลายเป็นคนโง่ในสายตาคนอื่น
แต่ว่าฉันรับรองว่า ไม่มีทางบังคับให้นายทำเรื่องพรรค์นั้น ทุกๆ เรื่องมีฉันอยู่ นายเพียงแค่ต้องทำเรื่องหนึ่งให้ดี เรื่องนั้นก็คือแสดงให้ดี!
แต่ว่า ปัญหาข้อแรกคือ นายคู่ควรให้ฉันเปลืองแรงมาเท่านี้จริงหรือ!”
ฟังมาถึงตรงนี้ สีหน้าของลั่วเฉินก็ผ่อนคลายลงมาก อีกทั้งยังยืนกรานเบาๆ “ผมจะพยายามครับ”
เยี่ยหวันหวั่นกลับไปนั่งบนโซฟา มองเขานิ่งๆ “ไม่ใช่พยายาม แต่ต้องสู้ตาย นี่เป็นโอกาสกลับมาเพียงครั้งเดียวของนาย
นายเองก็รู้ดี โจวเหวินปินจ้องเล่นงานพวกเราอยู่ตลอด ที่พวกเราทำครั้งนี้สำเร็จ ทั้งหมดเป็นเพราะไทม์มิ่ง เวลาเหมาะสม สถานการณ์เหมาะสม เป็นกระแสสังคม เขาคิดจะขวางก็ทำไม่ได้”
ถ้าหากครั้งนี้ล้มเหลว ถ้าอย่างนั้นความพยายามที่ทุ่มเททำมาทั้งหมดล้วนสูญเสียไปเปล่าๆ ทั้งชีวิตนี้นายอาจจะไม่มีโอกาสที่ดีแบบนี้เป็นครั้งที่สอง!”
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
“รู้แล้วก็ดี กลับไปพักผ่อนเถอะ เรื่องบทค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้”
“ครับ”
…
บ้านใหญ่ตระกูลซือ
คุณหญิงย่ากำลังดูเอกสารมากมายในซองกระดาษสีน้ำตาล นิ้วมือสั่นเทามากขึ้นเรื่อยๆ “นี่…นี่มัน…”
ด้านข้างคุณหญิงย่ามีหมิงหย่วนที่แต่งตัวเรียบร้อยนั่งอยู่ พูดด้วยท่าทางเป็นกังวล “คุณย่าคะ คุณย่าอย่าเครียดจนเกินไปนะคะ! ก่อนหน้านี้หนูไม่กล้าเอาของพวกนี้ให้คุณย่าดูมาตลอด ก็เพราะกลัวว่าคุณย่าจะโกรธจนเป็นอะไรไป!”
คุณหญิงย่าดูข้อมูลหนาเตอะในซองกระดาษที่เกี่ยวข้องกับเยี่ยหวันหวั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ที่มากกว่านั้นคือความโกรธ “ทั้งหมดนี้เป็นความจริงหรือ?”
หมิงหย่วนรีบเอ่ยตอบ “จริงแท้แน่นอนค่ะ! ถ้าคุณหญิงย่าไม่เชื่อ คุณหญิงย่าลองไปสืบหาหลักฐานเองดูสิคะ!
คุณหญิงย่าอย่าว่าที่หนูยุ่งเรื่องไม่เข้าเรื่องเลยนะคะ ก่อนหน้านี้ได้ฟังพวกพี่สาวน้องสาวในวงการพูดเรื่องไม่ดีของคุณหนูเยี่ยคนนี้ ตอนแรกหนูก็ไม่เชื่อ ในเมื่อหนูก็เชื่อสายตาการมองคนของพี่เก้า แต่อีกฝ่ายพูดซะเหมือนจริงมาก หนูเป็นห่วงพี่เก้าจริงๆ ก็เลยถือวิสาสะสืบด้วยตัวเอง ตอนไม่สืบก็ไม่รู้หรอกค่ะ แต่พอสืบแล้ว ใครเลยจะรู้ว่าสืบเจอเรื่องไม่คาดคิดมากมายแบบนี้…
คุณหนูคนนี้ไม่แค่เสพยา ทั้งยังมั่วเซ็กส์อีกต่างหาก ระหว่างที่คบกับพี่เก้ายังนอกใจตามจีบผู้ชายคนอื่น…นี่…นี่มันช่าง…
พี่เก้าของเราเป็นคนที่เพียบพร้อมขนาดนั้น ทำไมถึงไปคบกับผู้หญิงชั้นต่ำแบบนี้ได้?”
น้ำเสียงของหมิงหย่วนเต็มไปด้วยความโกรธ
คุณหญิงย่าหลับตาลง หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดก็ฝืนกดความรู้สึกทั้งหมดในดวงตาลงไปเอ่ยว่า “พอได้แล้ว ฉันรู้แล้ว เธอกลับไปเถอะ”
หมิงหย่วนขมวดคิ้ว “คุณหญิงย่า ถ้าอย่างนั้นคุณหนูเยี่ยคนนี้ คุณย่าคิดจะทำอย่างไรเหรอคะ? ได้ยินว่าพี่เก้าหลงผู้หญิงคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้น ตอนนี้คนที่พูดโน้มน้าวพี่เก้าได้ เกรงว่าจะมีก็แต่คุณย่าแล้ว”
สายตาเฉียบคมของคุณย่ามองที่อีกฝ่าย “ฉันจะจัดการเอง ชิ่นอวี้ จงจำไว้ว่าต้องควบคุมดูแลปากตัวเองให้ดี เรื่องนี้ ห้ามให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด”
……………………………………………
[1] ฮ่องเต้ไม่ร้อนใจจนขันทีร้อนใจตาย เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า คนรอบข้างเป็นกังวลมากกว่าตัวเจ้าของเรื่องเสียอีก
[2] เมื่อเรือถึงท่าก็ตรงเอง อุปมาว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางออก