“พลั่ก!”
การโจมตีสุดแรงของซอมบี้เพียงครั้งเดียวก็น่ากลัวมากแล้ว โดยเฉพาะเมื่อร่างกายนี้อยู่ในระหว่างการกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง มีเลือดของราชินีแมงมุมอยู่ ถึงแม้จะเป็นฉีเทียนอี้ก็ไม่สารถหลบหลีกได้ทัน ในขณะเดียวกันร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น สูงขึ้น นั่นทำให้เขายิ่งดูคล้ายมนุษย์ยักตัวเขียวในหนังบางเรื่องมากขึ้น
“แกเป็นใครกันแน่!” แม้ถูกหมัดหนักๆ โจมตี ในสมองของฉีเทียนอี้ก็ยังคงมีคำถามนี้ดังก้องอยู่ ถึงแม้เขาจะมีคำตอบเลือนรางอยู่ในใจแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีเบาะแสน้อยเกินไป…สิ่งเดียวที่สามารถมั่นใจได้ก็คือ คนคนนี้ตั้งใจมาก่อเรื่อง!
แต่วิธีการต่อสู้ที่ชีวิตแลกด้วยชีวิตอย่างนี้…ต้องมีความแค้นขนาดไหนกันถึงสู้แบบนี้ได้! สิ่งที่น่าหงุดหงิดมากที่สุดคือ อีกฝ่ายสู้ได้เต็มที่ ในขณะที่เขาสู้ได้ไม่เต็มที่! ถ้าหากแค่สู้กันด้วยมือเปล่าก็แล้วไป เพราะอาศัยเทคนิคการต่อสู้มากมายของตัวเอง เขารับประกันได้เลยว่าหมัดของหลิงม่อต้องพลาดเป้าเป็นส่วนใหญ่แน่นอน แต่เมื่อเขาค้นพบว่าอีกฝ่ายยังมีความสามารถในการฟื้นตัวอันยอดเยี่ยม ความมั่นใจนี้พลันมลายหายไปกลายเป็นอยากกระอักเลือดออกมาแทน
แล้วจะสู้ยังไงได้อีกล่ะ?
พลั่ก พลั่ก พลั่ก!
ในเวลาสั้นๆ เสียงรัวหมัดและเงาร่างแน่นิ่งไม่ไหวติงของฉีเทียนอี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ ถึงแม้เขาอาจดูเหมือนกำลังยืนนิ่ง แต่ความจริงส้นเท้าเขาได้จมลึกเข้าไปในพื้นชั้นยางมะตอยแล้ว และเข่าทั้งสองข้างก็กำลังทรุดต่ำลงเรื่อยๆ ราวกับพร้อมจะหักมุกเมื่อ สาเหตุที่ดูเหมือนไม่ขยับเขยื้อน เป็นเพราะความเร็วของพวกเขาได้เพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่ไม่อาจคาดเดาได้แล้วนั่นเอง
และผลข้างเคียงที่เกิดจากการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงก็ชัดเจนมาก ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ฉีเทียนอี้เริ่มรู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างที่กลายพันธุ์ไปเริ่มปวดแปลบแล้ว การใช้พลังเกินขีดจำกัดทำให้เขาหอบหายใจรัวเร็ว แต่พอหันกลับไปมองคู่ต่อสู้ของเขา…
“นี่มัน…เลือด?”
“พลั่ก!”
ในเสี้ยววินาทีที่อีกฝ่ายเหวี่ยงหมัดเข้ามา ในที่สุดฉีเทียนอี้ก็มองเห็นบางสิ่งอย่างชัดเจน!
เลือด กล้ามเนื้อที่ฉีกขาด กระดูก…ร่างกายของอีกฝ่ายกำลังหักและเป็นแผลเหวอะหวะอย่างรุนแรงทุกครั้งที่กระแทกกัน แต่สิ่งที่ตามมากลับเป็นการฟื้นตัวที่เร็วยิ่งกว่า
“ไม่สิ…ถึงจะฟื้นตัวทัน แต่ความเจ็บนั้นก็ไม่น่าจะเป็นความเจ็บที่คนธรรมดาจะทนรับไหวนี่นา!” คราวนี้ฉีเทียนอี้ถึงกับตกตะลึงจริงๆ การโจมตีของเขาพลันช้าลงหนึ่งส่วน ลางสังหรณ์ก่อนหน้านี้เริ่มจู่โจมจิตใจเขาอีกครั้ง โดยเฉพาะในระหว่างที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับอีกฝ่าย เขายิ่งสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับร่างกายตัวเอง…
“พลั่ก!”
เมื่ออีกฝ่ายถีบแขนเขาอย่างแรง ร่างกายเขากระเด็นลอยออกไปข้างหลัง ขณะที่ล้มกระแทกพื้นเขากระอักเลือดดัง “อั๊ก” แต่พอเขาหมายจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง สีหน้าเขากลับกลายเป็นตื่นตะลึง
“ร่างกาย…เริ่มสูญเสียการควบคุมไปแล้ว…” ฉีเทียนอี้กลิ้งตัวไปกับพื้นและพยายามใช้มือยันพื้นเพื่อลุกขึ้น แต่ทุกส่วนในร่างกายของเขาราวกับกำลังกระตุกสั่นอย่างไม่รู้ตัว แขนทั้งสองข้างแข็งทื่อกว่าปกติ
“แกเป็นใครกันแน่…” ฉีเทียนอี้เงยหน้าจ้องเงาร่างที่ดูสภาพแย่กว่าเขาสิบเท่า อีกฝ่ายหยุดการโจมตีอันบ้าคลั่ง หากเทียบกับสภาพถดถอยของเขา อีกฝ่ายดูแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยพลังกว่ามาก!
“ดวง…ดวงตา…”
เมื่อฉีเทียนอี้มองเห็นดวงตาของอีกฝ่าย ม่านตาของเขาพลันหดตัว เขารีบถอยกรูดไปข้างหลังโดยอัตโนมัติ “เป็นไปไม่ได้…”
“พลั่ก!”
หลิงม่อควบคุมให้หุ่นซอมบี้พุ่งตัวไปข้างหน้า หมัดที่อาบด้วยเลือดอัดเข้าที่ใบหน้าของฉีเทียนอี้ตรงๆ “ไม่มีอะไรเป็นไปไมได้ แกแค่คิดไม่ถึงเองมากกว่า ตายไปซะ!”
การจู่โจมเต็มกำลังเริ่มขึ้นอีกครั้ง!
“โครม!”
เสียงกระแทกโครมครามดังมา ประตูเหล็กถูกพังจนเปิดออก ขณะเดียวกันเงาร่างหนึ่งพลันพุ่งเข้ามาจากหลังประตูบานนั้น
“หัวหน้า!”
เลขาฯ สาวเพิ่งจะวิ่งเข้ามา ก็มองเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าพอดี—ฉีเทียนอี้ที่ตอนแรกยังดูเหมือนมีเรี่ยวแรงหลงเหลืออยู่กำลังถูกหลิงม่อบีบคอ ร่างกายของเขากำลังกระตุกสั่นอย่างรุนแรง ราวกับไม่มีกำลังขัดขืนแม้แต่น้อย กระทั่งแม้แต่ตอนที่เลขาฯ สาววิ่งเข้ามา เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการปรากฏตัวของเธอเลยแม้แต่น้อย…
แต่สิ่งที่เลขาฯ สาวไม่รู้ก็คือ เลือดที่ไหลออกจากฝ่ามือของหลิงม่อนั้น กำลังซึมเข้าไปในร่างกายของฉีเทียนอี้ตามรอยแผลมากมายของเขา ฉีเทียนอี้ที่เดิมก็อาศัยเชื้อไวรัสในการกระตุ้นพลังออกมาอยู่แล้ว เริ่มรู้สึกถึงความขมขื่น…
และเพราะเหตุนี้ เชื้อไวรัสของหลิงม่อถึงได้ซึมเข้าร่างเขาได้อย่างราบรื่น และออกฤทธิ์เร็วขนาดนี้!
“ดูเหมือนว่าแกเองก็ไม่ได้ฝึกใช้วิธีการกระตุ้นพลังที่สมบูรณ์แบบเหมือนกันสินะ…” หลิงม่อพูดอย่างเย็นชา แต่ฉีเทียนอี้กลับไม่มีโอกาสได้ใคร่ครวญถึงความหมายแฝงของประโยคนี้อีกแล้ว
“หัวหน้า…” เลขาฯ สาวจ้องมองแผ่นหลังของฉีเทียนอี้ และพลันตวัดสายตาจ้องหลิงม่อเขม็ง “แกรนหาที่ตายซะแล้ว!”
สิ้นเสียงพูด เลขาฯ สาวผู้นี้ก็กระโดดขึ้นพร้อมส้นสูงของเธอ ขณะที่ขาข้างหนึ่งของเธอใกล้ถีบโดนหลิงม่อ ภาพที่ชวนตกตะลึงก็เกิดขึ้น
ขาของเธอใหญ่ขึ้นในพริบตา!
แต่เธอไม่เหมือนกับฉีเทียนอี้ เพราะขาข้างนั้นใหญ่ขึ้นในตอนที่ใกล้จะเตะโดนหลิงม่อ นั่นทำให้พละกำลังของเธอแตกต่างจากฉีเทียนอี้อย่างเห็นได้ชัด พละกำลังของเธออยู่ได้นานกว่า และมีอานุภาพร้ายแรงยิ่งกว่า
หลิงม่อร้องครวญเพราะถูกลูกเตะโจมตีกะทันหัน เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่ทันตั้งตัว ขณะเดียวกันร่างของฉีเทียนอี้ที่เขาบีบคออยู่ก็ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง
เมื่อทั้งสองฝ่ายตั้งหลักได้ ต่างก็พากันหันไปมองฉีเทียนอี้เป็นสิ่งแรก
“แกอย่าขยับนะ!” เลขาฯ สาวถลึงตาจ้องหลิงม่อ
รูปร่างของเธอในตอนนี้แตกต่างไปจากเมื่อกี้มาก รูปร่างอรชรก่อนหน้านี้ได้กลายเป็นความดุดัน ใบหน้าอัดแน่นไปด้วยไขมันและกล้ามเนื้อ ขณะเดียวกัน ทุกส่วนของร่างกายเธอเริ่มมีกล้ามเนื้อปูดโปนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราวกับพละกำลังที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายของเธอ…
“เธอก็อย่าขยับ…” หลิงม่อก้มหน้าเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นกำลังกลับคืนสู่สภาพเดิมช้าๆ แต่แขนที่รูปร่างเปลี่ยนไปและอาบไปด้วยเลือดสดๆ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนปกติแม้แต่น้อย ทว่าสิ่งที่น่าสยองกว่า คือเมื่อเลขาฯ สาวจ้องมองมาที่เขา ผู้ชายตรงหน้าเธอกลับบิดกระดูกที่หักไปแล้วให้กลับเข้ารูปต่อหน้าต่อตาเธอ ซ้ำยังทำท่าจัดกระดูกให้เข้าที่เข้าทางอีกด้วย…
เมื่อเห็นอย่างนี้ เลขาฯ สาวพลันขมวดคิ้วแน่น…แค่ดูอย่างเดียวก็เจ็บแล้ว!เธอคาดหวังว่าสหายร่วมทีมของเธอที่นอนล้มอยู่บนพื้นจะให้ข้อมูลอะไรเธอได้บ้าง แต่หลังจากที่ได้รับการถ่ายเลือดจากหลิงม่อไป ตอนนี้ฉีเทียนอี้กลับกำลังสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองส่วนใหญ่ไป สายตาที่จดจ้องมายังหลิงม่อแสดงออกได้แค่ความสับสน…
แต่ถึงแม้จะเห็นสภาพของฉีเทียนอี้อย่างนี้แล้ว เลขาฯ สาวก็ยังคงรู้สึกได้รางๆ ว่าฉีเทียนอี้ยังคงมีทางรอด…เพราะอย่างน้อยหากเทียบอาการบาดเจ็บ คู่ต่อสู้ของเขาก็บาดเจ็บหนักกว่านี่นา!
“หมายความว่ายังไง?” เลขาฯ สาวลอบคำนวณระยะห่างระหว่างตัวเองไปถึงตัวฉีเทียนอี้ พลางถามเสียงทุ้มต่ำ ในระยะห่างเพียงเท่านี้ไม่ใช่ว่าเธอจะเข้าไปชิงตัวเขามาไม่ได้ แต่สภาพของหลิงม่อที่ยังยืนได้ทั้งที่บาดเจ็บหนักขนาดนั้น กลับทำให้เธอรู้สึกได้ถึงอันตรายใหญ่หลวง
หลิงม่อกลับไม่มีท่าทีอยากคุยกับเธอมากนัก ความจริงแล้ว ณ ตอนนี้เขาเองก็กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาบางอย่างเหมือนกัน…นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงม่อควบคุมหุ่นซอมบี้ซึ่งถูกปรับโครงสร้างร่างกายด้วยเลือดของราชินีแมงมุม นั่นไม่เพียงทำให้การควบคุมยากขึ้นมาก แต่เขายังสัมผัสได้ถึงเสียงสะท้อนที่ดังขึ้นในร่างกายตัวเองรางๆ ด้วย
เมื่อกี้ในระหว่างที่โจมตีอย่างบ้าคลั่ง แน่นอนว่าเขาต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใดอย่างที่หุ่นซอมบี้ควรจะเป็น ทว่าสิ่งที่มากกว่ากลับเป็นความโหดเหี้ยมที่มาจากตัวของหลิงม่อเอง กระทั่ง ณ วินาทีที่เขาจับตัวฉีเทียนอี้ได้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือหักคอของอีกฝ่ายซะ…ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขาเตือนสติตัวเองในวินาทีสุดท้ายได้ทัน เกรงว่าป่านนี้หุ่นซอมบี้ตัวนี้ของเขาคงเละคาที่ไปแล้ว พลังโจมตีของเลขาฯ สาว ไม่ได้รุนแรงน้อยไปกว่าฉ๊เทียนอี้เลย…
“ดูเหมือนพวกฉันจะถูกนายหลอกแล้ว…” เลขาฯ สาวพูดต่อ
หลิงม่อเหลือกตามองบน เรื่องที่เห็นๆ กันอยู่อย่างนี้ยังจำเป็นต้องพูดออกมาอีกหรอ? พูดออกมาก็มีแต่พวกเธอนั่นแหละที่อับอาย!
“ฉันเดาว่าตัวตนที่แท้จริงของแกก็คงไม่ใช่แค่หัวหน้าทีมย่อยธรรมดาหรอกใช่ไหม…” เลขาฯ สาวถามหยั่งเชิง
“เดี๋ยวๆ วิธีการหยั่งเชิงอย่างนี้มันเชยไปแล้วนะ…” หลิงม่อคิดอย่างหมดคำพูดอีกครั้ง
ทว่าเขาไม่ได้วู่วามลงมือทันที เพราะเห็นชัดว่าเลขาฯ สาวเคลื่อนไหวได้ว่องไวกว่าเขามาก และพอเห็นสภาพของฉีเทียนอี้แล้ว เธอไม่มีทางคิดจะสู้มือเปล่าในระยะประชิดกับเขาแน่นอน…
นอกจากนี้ ตอนนี้หลิงม่อต้องการเวลาเพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับร่างกายตัวเองให้สงบลงก่อน…
ท่ามกลางป่ารกร้าง ร่างจริงของหลิงม่อกำลังยกมือกุมหน้าอกและหอบหายใจลึกๆ เขามีอาการเหมือนกับฉีเทียนอี้เมื่อกี้ คือดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย ราวกับกับสัตว์ร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่ง…
“สถานการณ์ของคนในฟอลคอนพวกนั้น เกี่ยวข้องกับเรายังไงกันแน่?” ขณะที่กำลังขมวดคิ้ว หลิงม่ออดคิดเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้…
—————————————————————————–