“น่าจะพอได้แล้ว” หลิวหลีลืมตาแล้วพูดขึ้น นางสัมผัสได้ถึงพลังเซียนที่พลุ่งพล่านภายในร่างกาย ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม
“ถึงเวลาดูดซับเพลิงดาราทมิฬแล้ว” หลิวหลีพึมพำกับตัวเอง นางใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายในครั้งนี้ถึง 30 ปี ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ถึงแม้หลายปีมานี้เพลิงดาราทมิฬจะยังไม่ได้ถูกหลิวหลีดูดซับเข้าสู่ร่างกาย แต่ก็มีความผูกพันสนิทสนมกับหลิวหลีไม่น้อย คาดว่าหากดูดซับเข้าไปก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“เพลิงดาราทมิฬ ยินดีต้อนรับเจ้าเข้าสู่ร่างกายของข้า เจ้ามาเป็นเส้นสมปราณทมิฬของข้าเถอะ” หลิวหลีพูดจบก็ปล่อยเพลิงดาราทมิฬออกมา ตอนแรกยังไม่คุ้นเคยนัก แต่จากนั้นเพลิงอัคคีชนิดอื่นๆของหลิวหลีก็นำทางมัน เพียงไม่นานก็ไปตามเคล็ดวิชาไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของหลิวหลี สุดท้ายก็เข้าไปอยู่ในเส้นชีพจรเส้นหนึ่งของหลิวหลีจนกลายเป็นเส้นชีพจรเพลิงอัคคีทมิฬสีดำล้วน
หลิวหลียื่นมือขวาออกมาเพลิงสีดำก็ปรากฏขึ้น หลิวหลีเลื่อนมาไว้ใกล้หน้า เพลิงดาราทมิฬถูไถแก้มหลิวหลีเบาๆ ไม่แผดเผาเหมือนก่อนนี้ ทั้งให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนไปด้วย
เก็บเพลิงอัคคีเข้าไป หลิวหลีสัมผัสได้ว่าพลังเซียนภายในร่างกายก็ดูเหมือนจะไปถึงอีกช่วงพลังหนึ่ง
“ได้เวลาบรรลุช่วงรวมกายาแล้ว” หลิวหลีพูดจบก็โคจรเคล็ดวิชา นำทางให้พลังเซียนเคลื่อนไหว แล้วปราณก่อนกำเนิดในร่างกายก็ให้ความร่วมมือด้วยการคายพลังเซียนออกมา
เกิดนิมิตขึ้นบนท้องฟ้าที่ด้านนอกมิติ มังกรขนาดใหญ่มีสีเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสี ตอนนี้มังกรยักษ์ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีฟ้า สีทอง สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วงและสีดำ
หอเทียนจีเก๋อที่เห็นเข้าก็ดีใจอย่างมาก ตอนนี้ดาวมังกรมีพัฒนาการที่รวดเร็ว ดาวหงส์เองก็ตามมาติดๆ ถึงแม้ดาวหมาป่าสวรรค์จะเปล่งแสงสว่าง แต่ดาวมังกรกับดาวหงส์ก็จะไล่ตามทันแน่นอน เชื่อว่าไม่นานก็จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน รอคอยเสียเหลือเกิน
หลิวหลีไม่รู้เรื่องปรากฏการณ์ด้านนอก รู้สึกว่าจุดสำคัญภายในร่างกายเกือบจะทะลุออกมาแล้ว นางพยายามพุ่งปะทะออกมาโดยหลอมพลังเซียนให้กลายเป็นเข็มขนาดเล็กเพื่อจะเจาะกำแพงกั้นนั้น
ส่วนด้านหนานกงเวิ่นเทียนก็เริ่มจับจังหวะได้ กำลังพยายามจะบรรลุชั่วงพลังเช่นกัน
ณ โลกอสูรเทพ บ้านสกุลจ้าน จ้านเฟิงหลิงกับหลงซินเยว่กำลังดื่มชาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองคนเชื่อคำพูดของลูกสาว ย้ายออกไปอยู่ไม่ไกลจากบ้านสกุลจ้าน และยังเป็นมิตรกับคนสกุลจ้านมากทีเดียว เวลาหลายปีผ่านไปพลังบำเพ็ญเพียรของหลงซินเยว่ก็กลับมาอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิด ชีวิตที่อาศัยอยู่กับจ้านเฟิงหลิงหวานราวน้ำผึ้ง
“ไม่รู้ว่าหลิวหลีจะเป็นอย่างไรบ้าง” หลงซินเยว่คิดถึงลูกสาวที่แบกรับภาระทุกอย่างแทนตนเอง
“ไม่ต้องเป็นห่วง หลิวหลีเป็นถึงผู้ถูกเลือกจะต้องปลอดภัยแน่นอน” จ้านเฟิงหลิงมีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อลูกสาวคนนี้ เขาหวังมาตลอดว่าหลิวหลีจะเรียกเขาว่า ‘ท่านพ่อ’ สักครั้ง น่าเสียดายที่นังหนูออกไปแสวงหาโอกาสข้างนอก ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว เขายังต้องคอยปลอบฮูหยินของตนเองว่าบุตรสาวปลอดภัย
“เฮ้อ นังหนูมักจะยืนด้วยลำแข้งตนเองจนทำให้ข้ารู้สึกปวดใจ” หลงซินเยว่ลูบแหวนที่อยู่ในมือแล้วพูดขึ้น ของขวัญวันแต่งงานที่ลูกสาวมอบให้ ทั้งสองคนนำของมีค่าทั้งหมดใส่ไว้ในแหวนเก็บของวงนี้
“ก็จริง เด็กคนนี้เป็นคนที่พึ่งพาตัวเองจริงๆ” บ้านสกุลจ้านของเขา ถึงขนาดพูดได้ว่าคนรุ่นหลังทั่วทั้งโลกอสูรเทพต่างพากันออกไปแสวงหาโอกาสข้างนอกแต่ก็ยังเทียบหลิวหลีไม่ได้ ถึงแม้พลังบำเพ็ญเพียรจะสู้นางไม่ได้แต่อย่างน้อยทักษะในการพึ่งพาตัวเองก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย ตอนแรกศิษย์ที่เพิ่งจะออกไปก็มีบ่นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ต่างพากันออกไปผจญภัยกันเสียแล้ว
ในมิตินางพุ่งปะทะปราการช่วงพลังสุดท้ายออกไปได้ จากนั้นก็โคจรพลังในร่างกายเพื่อให้พลังบำเพ็ญเพียรคงที่ นางมีความสุขเป็นอย่างมาก ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะรู้สึกลำบากไม่น้อย แต่พอมองย้อนกลับไปตอนนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
“ไม่รู้ว่า เสี่ยวเทียนเป็นอย่างไรบ้าง” หลิวหลีเดินออกมาจากสระน้ำวิญญาณแล้วพูดขึ้น
หงหลินนั่งนับนิ้วตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย หลิวหลีไม่ได้เข้าไปรบกวนหงหลิน หลิวหลีมองดูหงหลินที่มีหน้าตาละหม้ายคล้ายกับตัวเอง นังหนูคนนี้น่าจะเป็นหงหลิน บัดนี้กลายร่างแล้ว อีกทั้งยังมีรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายนางด้วย
“หงหลิน” หลิวหลีตะโกนขึ้น
หงหลินกำลังนั่งนับนิ้วอย่างเพลิดเพลิน อยู่ๆก็ได้ยินเสียงคนเรียกตน จากนั้นจึงพบว่าหลิวหลีกำลังมองนางด้วยแววตาที่อ่อนโยน
“ฮือ ฮือ ฮือ ท่านพี่ พี่ออกฌานแล้ว ดีจริง ๆ หงหลินกลายร่างแล้ว ดูดีหรือไม่” หงหลินโผเข้าหา ฮือ ฮือ ฮือ ในที่สุดนางก็ได้เจอหลิวหลีแล้ว
“ดูดีสิ” จะบอกว่าดูไม่ดีได้หรือ รูปร่างหน้าตาเหมือนนางขนาดนี้ก็ต้องดูดีสิ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลเลยสักนิด
“ท่านพี่ อาการของท่านพี่ดีขึ้นบ้างไหม ท่านอาเอ๋าเลี่ยบอกว่าท่านพี่ได้รับบาดเจ็บกำลังเข้าฌานอยู่ อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือ” หงหลินถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ไม่สามารถทำพันธสัญญากับหลิวหลีได้เป็นเรื่องที่หงหลินเสียใจที่สุด โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าจื่อฉีทำพันธสัญญากับหลิวหลีแล้วก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นไปอีก ใครให้นางเป็นแค่อสูรภูติ แต่ก็พอจะถือว่าเป็นอสูรเทพระดับล่างได้อยู่บ้าง อีกอย่างทำไมบนตัวของท่านพี่ถึงมีกลิ่นอายของอสูรเทพบรรพกาลอยู่ล่ะ
“ขอบคุณหงหลินที่เป็นห่วง ตอนนี้ข้าหายดีแล้ว” หลิวหลีแสดงออกว่าถ้าเจอคูมู่อีก นางสามารถจัดการเขาได้ภายในวินาทีเดียว
“ท่านพี่ ทำไมบนตัวของพี่ถึงมีกลิ่นอายเช่นนี้อยู่ เป็นกลิ่นอายที่เก่าแก่ไม่น้อย” หงหลินคิดๆดูแล้วจึงเลือกคำนี้ออกมาใช้
“สิ่งนี้น่ะหรือ เป็นของขวัญจากอสูรเทพบรรพกาล”
“มันทำให้ข้ารู้สึกกดดันนะ ท่านพี่” หงหลินออกตัวว่ากลิ่นอายนี้ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก หลิวหลีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ดูท่าแล้วนางคงจะต้องฝึกควบคุมพลังอำนาจนี้แล้ว
“จริงสิ หงหลิน คนอื่นๆ ล่ะ” ทำไมไม่มีใครอยู่สักคนคงไม่ได้ไปเข้าฌานกันหมดใช่ไหม
“ไปเข้าฌานกันหมดแล้ว ท่านพี่ ข้ายังไม่ได้เจอจื่อฉีเลย คาดว่าเขาคงไม่รู้ว่าข้ากลายร่างแล้ว ส่วนคู่หมั้นของท่านพี่ หลังจากข้ารับวิบากสวรรค์เสร็จก็ไปเข้าฌานทันทียังไม่ออกมาเลย อาเอ๋าเลี่ยเพิ่งจะไปเข้าฌานได้ไม่นาน เขาไม่ยอมอยู่คุยเป็นเพื่อนข้าน่ะท่านพี่” หงหลินฟ้องหลิวหลี กว่านางจะสามารถพูดภาษาคนได้ ท่านอาเอ๋าเลี่ยกลับรำคาญที่นางพูดไม่หยุดก็เลยไปเข้าฌานแล้วทิ้งนางไว้คนเดียว ทำเกินไปจริง ๆ หากไม่ใช่เพราะตนจะรอเจอท่านพี่ นางก็จะไปเข้าฌานด้วยเช่นกัน
ไปเข้าฌานกันหมดจริงด้วย ทุกคนรักการบำเพ็ญฝึกฝนตั้งแต่เมื่อไรกัน โดยเฉพาะเอ๋าเลี่ย นางไม่เคยเห็นเอ๋าเลี่ยบำเพ็ญฝึกฝนมาก่อนแต่กลับไปบำเพ็ญฝึกฝนแบบนี้ หรือว่าข้างนอกฝนตกเป็นสีแดงงั้นหรือ
ข้างนอกฝนตกเป็นสีแดงหรือไม่นั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนพวกนั้นตามหาอสูรภูติที่ออกมารับวิบากสวรรค์อยู่นาน หาเท่าไรก็หาไม่เจอจึงจากไป หากไม่ใช่ว่าที่พื้นมีรอยไหม้ของวิบากอัสนีบาตอยู่ พวกเขาก็คงนึกว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
“หงหลิน เจ้าก็จะเข้าฌานด้วยหรือ” ตอนนี้หลิวหลีเข้าใจแล้วว่าทำไมเอ๋าเลี่ยจึงต้องเข้าฌาน นังหนูคุยจ้อไม่หยุดมาเกือบสามชั่วโมงเต็มแล้ว มิน่าอาเลี่ยถึงไปเข้าฌาน นางก็อยากจะกลับไปเข้าฌานเหมือนกัน ทำอย่างไรดี ตอนแรกนางยังตอบคำถามด้วยความอดทน สุดท้ายคำตอบของนางเหลือแค่ อา อ๋อและเออ
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าจะเข้าฌาน แต่ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่านพี่เยอะเลย สามวันสามคืนก็คงจะพูดไม่หมด” หงหลินสงสัยว่าทำไมรอยยิ้มของท่านพี่ถึงดูฝืนเช่นนี้
“จริงหรือ” สามวันสามคืน นางกลับไปเข้าฌานจะได้ไหมนะ จะทำหน้าร้องไห้ก็ไม่ได้ เฮ้อ ถ้าไม่ใช่เพราะตอนแรกนางตัดสินใจให้หงหลินเข้าฌานนานเกินไปจนทำให้นางเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวใช่ไหม ผลปรากฏว่าผลลัพธ์ที่ได้ออกมากลับตรงกันข้าม หลิวหลีเดาว่าเป็นเช่นนั้น จริง ๆแล้วหลิวหลีเดาไว้ไม่ผิด ความโดดเดี่ยวที่ยาวนาน หงหลินจึงจำเป็นต้องใช้การพูดมาบรรเทาความโดดเดี่ยว
หลิวหลีอดทนฟังหงหลินพูดสามวันสามคืน เมื่อเห็นว่าหงหลินไม่มีทีท่าว่าจะหยุด หลิวหลีจึงต้องเรียกโม่หรานออกมานั่งพูดคุยกับหงหลิน นางถึงจะได้พักหายใจบ้าง
“หงหลินไม่ต้องลงมือทำอะไร แค่ความสามารถในการพูดของนางก็สามารถทำให้คนยอมแพ้ได้แล้ว” หลิวหลีมองดูหงหลินที่กำลังพูดคุยอย่างมีความสุขกับโม่หรานอย่างเอือมระอา มองดูใบหน้าที่ละหม้ายคล้ายตัวเอง นางมีสีหน้าท่าทางที่สดใส ดูมีชีวิตชีวา เฮ้อ นางแก่แล้วงั้นหรือ ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
หลิวหลีเดินทอดน่องอยู่ภายในมิติ มองดูบรรยากาศรอบตัว มิติแห่งนี้เป็นของนาง นอกจากจะเห็นมิตินี้เป็นที่เก็บพลังเซียนและเป็นสวนสมุนไพรพกพาแล้ว นางก็ไม่รู้เลยว่ามิติแห่งนี้จะมีประโยชน์อะไรได้อีก ไม่สิ ยังสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกบำเพ็ญได้อีกด้วย
เมื่อเดินไปถึงจุดหนึ่งแล้วหลิวหลีจึงทรุดตัวนั่งลงบนพื้น ปล่อยเพลิงอัคคีทั้งหมดออกมา เพลิงอัคคีทั้ง 7 สีวนอยู่รอบกายนาง หลิวหลีขบคิดดูตอนนี้ตัวเองก็เป็นนักปรุงยาระดับ 7 ได้เวลาเพิ่มทักษะในการปรุงยาแล้ว เพียงแต่ว่าที่นี่ไม่ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการปรุงยา คนอื่นไปเข้าฌานกันหมด นางอยู่เฉยๆทำเช่นนี้ไม่ได้ ไปนั่งคุยกับหงหลินจอมปากมากหรือ ไม่สิ เข้าไปดูในกระท่อมน้อยหลังนั้นหน่อยดีกว่า
กระท่อมที่มารดาของนางอาศัยอยู่ในตอนแรกเปลี่ยนไปจากเดิม หลิวหลีมองดูบ้านที่งดงามหลังนี้ก็รู้สึกชื่นชอบไม่น้อย สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ออกมาจากทางด้านซ้ายมือ เสี่ยวเทียนเข้าฌานอยู่ที่นี่นี่เอง เดี๋ยวค่อยเยี่ยมชมดีกว่า
ตัวเองจะทำอะไรได้บ้างนะ นางยืนนิ่งเหม่อมองไปบนท้องฟ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย นึกถึงตอนตัวเองสู้กับคูมู่ สุดท้ายตัวเองโยนลูกกลมเพลิงอัคคีออกไป มีแล้ว นางสามารถลองเพิ่มเพลิงดาราทมิฬเข้าไปดูได้นี่ เพื่อเก็บไว้ใช้เป็นท่าไม้ตายก็ไม่เลว หลิวหลีหาสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลแล้วเริ่มทำการทดลอง
โม่หรานที่หน้าตาเฉยชาเหมือนกำลังเลือดไหลซึม ถึงแม้มิติจะมีความสมบูรณ์แล้วแต่ว่านายท่าน มิติก็ไม่สามารถทนให้ท่านมาทำอะไรเช่นนี้ได้ ใช้ของอันตรายอย่างเพลิงอัคคีมาทำการทดลองในมิติได้อย่างไร แต่เขาจะไปไหนไม่ได้ นี่คือภารกิจที่นายท่านมอบหมายให้เขา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่านายท่านจะมาหาเขาด้วยท่าทางอารมณ์ดี หากเขาบอกว่าจะเลิกทำ นายท่านจะมาจัดการเขาไหมนะ ช่างมันแล้วกัน แต่นายท่านจะทำมิติพังอีกแล้ว เฮ้อ เป็นภูติอาวุธนี่ช่างลำบากจริง ๆ
หลิวหลีทดลองมาก็หลายครั้ง แต่ไม่สามารถหลอมรวมได้สำเร็จ นางผิดพลาดตรงไหนกัน นางจะต้องศึกษาให้ดีก่อน ภายในมิติมีสองคนพูดคุยกัน คนหนึ่งทำการทดลอง ส่วนอีกสามคนเข้าฌาน ทุกคนต่างทำเรื่องของตัวเอง แต่ดูเข้ากันดีจนน่าประหลาด ถึงแม้จะไม่มีเรื่องภายนอกมารบกวน แต่ถึงอย่างไรมิติแห่งนี้ก็ไม่ใช่โลกที่สมบูรณ์ ไม่เช่นนั้นโม่หรานก็คงจะไม่อยู่ในสภาพเด็กเช่นนี้
“ดูท่าแล้ว พอเสี่ยวเทียนออกฌานคงออกไปแสวงหาโอกาสข้างนอกต่อ ยังเหลือเวลาอีกสักพักก่อนงานจัดอันดับผู้ถูกเลือกจะเริ่มขึ้น” หลิวหลีพึมพำกับตัวเอง แต่ว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะต้องรอปรึกษากับหนานกงเวิ่นเทียนหลังจากที่เขาออกจากฌานแล้ว
………………………………………….
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 139 หงหลินพูดไม่หยุด
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!