แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 18 หลอมรวมเพลิงบุปผาเหมันต์

หนานกงเหวินเทียนผู้เย็นชามาโดยตลอดเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสก็ใบหน้าแดงก่ำ เขาหัวเสีย หลิวหลีดูแล้วอายุน่าจะเพียงแค่ 13-14 ปี จะให้กำเนิดลูกชายที่อายุเท่าเขาได้อย่างไร
เอ๋าเลี่ยยังนิ่งตะลึงกับคำพูดที่น่าตกใจของเสวียนหั่ว คนผู้นี้ทำไมถึงขาดความรู้ทั่วไปเสียยิ่งกว่าเขา เขายังรู้เลยว่ามังกรน้อยต้องมีอายุอย่างน้อย 500 ปีจึงจะสามารถผสมพันธุ์ได้
 “ตาแก่เสวียนหั่ว เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” เอ๋าเลี่ยมีคำมากมายที่อยากจะเอ่ย แต่สรุปไว้เพียงประโยคเดียว
เสวียนหั่วเลิกคิ้ว คิดมากหรือ เด็กคนนี้สวมเสื้อผ้าของหลิวหลีตอนที่นางยังเป็นเด็ก เขากวาดตามองหนานกงเวิ่นเทียนจากหัวจรดเท้าหนึ่งรอบ เป้าสายตาจดจ้องกระดิ่งบริเวณคอของอีกฝ่ายที่ถูกเผยให้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ ของชิ้นนี้เขาเป็นคนมอบให้หลิวหลีเอง แล้วยังจะบอกว่าไม่มีอะไร นี่เป็นหลักฐานแน่นหนา ช่างเถอะ…เพื่อรักษาหน้าพวกเขา ไม่โต้เถียงกับพวกเขาแล้วดีกว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือหลิวหลีบำเพ็ญเพียรบรรลุถึงช่วงพื้นฐาน ไม่รู้ว่าเมื่อหลิวหลีบรรลุช่วงพื้นฐานจะเกิดภาพนิมิตใดขึ้น
เมื่อคนเราบรรลุช่วงพื้นฐาน หากเกิดภาพนิมิตใดๆขึ้นจะถือเป็นยอดฝีมือ หากไม่มีภาพนิมิตใดๆเกิดขึ้นจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะบรรลุช่วงต่อไปไม่ได้ เพียงเป็นคนธรรมดาเช่นไร้ซึ่งชะตา ไม่ประสบความสำเร็จอะไรนักหนา แต่ผู้ที่สร้างภาพนิมิตได้ก็มีระดับที่แตกต่างกัน ภาพนิมิตเพียงเล็กน้อยถือเป็นอัจฉริยะ ถ้าภาพนิมิตค่อนใหญ่โตจะเป็นยอดอัจฉริยะ แต่หากเป็นภาพนิมิตใหญ่โตอย่างยิ่งจะเป็นผู้ถูกเลือก อนาคตยาวไกล อีกทั้งผู้ถูกเลือกจะวาสนาดี โชคดี จนตอนนี้ก็หมื่นปีมาแล้วยังไม่มีผู้ถูกเลือก ปรากฏตัวขึ้น
หลิวหลีรู้สึกเหมือนนางเข้าไปในเขตแดนที่แปลกประหลาด รู้สึกเบาสบายล่องลอย รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่อบอุ่นไหลวนอยู่ในร่างกายราวเป็นอ้อมกอดของมารดา ร่างกายดูดซึมพลังเซียนอย่างต่อเนื่องเพื่อขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย พลังเซียนในจุดตันเถียนมีความหนาแน่นถึงขั้นหนึ่ง ขาดแค่ขั้นเดียวก็จะเป็นสัญลักษณ์บอกว่าหลิวหลีได้บรรลุช่วงพื้นฐานแล้ว
หลิวหลีดูดซับพลังเซียนมาตลอดหนึ่งเดือนเต็ม แต่ก็ยังไร้สัญญาณในการบรรลุช่วงพื้นฐาน เสวียนหั่วขมวดคิ้ว ลูกศิษย์ตัวน้อยใช้เวลานานเกินไปแล้ว เอ๋าเลี่ยรับรู้ได้ว่านางปลอดภัยจากประสาทสัมผัส หนานกงเวิ่นเทียนนั่งบำเพ็ญเพียรอยู่ข้างเขา พลังเซียนที่หนาแน่นเช่นนี้ หากไม่ฝึกฝนก็จะเสียเปล่า ในช่วงนี้พลังบำเพ็ญเพียรของหนานกงเวิ่นเทียนฟื้นฟูกลับมาอยู่ในขั้นที่ 5 แล้ว เสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเด็กที่เสวียนหั่วสั่งทำพิเศษให้กับศิษย์หลาน (คิดเอง) เมื่อรวมกับอารมณ์เยือกเย็นของเขาก็ยิ่งทำให้ดูน่ารักเกินจะเปรียบ
ในช่วงนี้เอ๋าเลี่ยได้ขอยืมสถานที่ที่ไม่รบกวนหลิวหลีจากเสวียนหั่ว  เฟิ่งอิงเสวี่ยเริ่มเกิดใหม่จากเถ้าธุลี กลายเป็นหงส์เหมันต์ที่เกิดใหม่ได้สำเร็จแล้วกลับไปฟื้นตัวในมิติอสูรภูตของหนานกงเวิ่นเทียน ช่วงนี้นางอ่อนแอมาก เอ๋าเลี่ยได้พิชิตเอาเพลิงบุปผาเหมันต์มาอย่างระมัดระวังเพื่อเตรียมไว้ให้หลิวหลี
หลิวหลีฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณอย่างไม่รู้ตัว พลังเซียนในร่างกายไหลเวียนแต่ก็ยังไม่บรรลุช่วงเสียที ทั้งๆที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียว สีหน้าหลิวหลีเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย ซึ่งเอ๋าเลี่ยและเสวียนหั่วย่อมสัมผัสได้อยู่แล้ว
หลิวหลีรู้สึกว่านางตกลงไปในหลุมขนาดใหญ่ ทั้งยังเป็นหลุมที่ตัวเองขุดเองเสียด้วย ทำไมถึงไม่ระวัง พลาดไปฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณได้ ทั้งๆที่นางตั้งใจจะเก็บเพลิงอัคคีม่วงก่อนแล้วค่อยบำเพ็ญ อย่างนี้นางจะบรรลุช่วงพื้นฐานได้อย่างไร อยากร้องไห้ให้เสียตาบวม
 “นังหนู เจ้าเป็นอะไรไป?” เอ๋าเลี่ยถามขึ้น เห็นได้ชัดว่ากลิ่นอายช่วงพื้นฐานค่อนข้างรุนแรง แต่ทำไมถึงยังไม่บรรลุสักที เป็นเพราะพันธสัญญาทำให้ทั้งสองสามารถสื่อสารผ่านทางจิตได้
 “อาเลี่ย ข้าทำตัวเองแท้ๆ ข้าไม่สามารถบรรลุช่วงพื้นฐานได้แล้ว เพราะตื่นเต้นไม่ระวังเผลอไปฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ ถ้าจะให้บรรลุช่วงพื้นฐานจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ แต่ข้าไม่มีเพลิงอัคคี” หลิวหลีอยากจะคุกเข่าให้ตัวเองเสียจริง หาเรื่องให้ตัวเองแท้ๆ จบเห่กันพอดี จะเล่นตัวเองจนพังพินาศไหมเนี่ย
 “หลิวหลี เจ้าเป็นคนมีความสามารถ” เอ๋าเลี่ยไม่รู้จะพูดอะไร เขาจึงได้แต่พูดประโยคดังกล่าวออกไป
 “เสวียนหั่ว เจ้าเปิดค่ายกลของหอปรุงยาได้แล้ว ลูกศิษย์ของเจ้าเป็นคนมีความสามารถ นางไม่ระวังไปฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาในคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณเข้า จำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี ข้ามีเพลิงบุปผาเหมันต์อยู่พอดี จะให้นางหลอมรวมกับเพลิงบุปผาเหมันต์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”เอ๋าเลี่ยพูดกับเสวียนหั่ว
เสวียนหั่วตกใจเล็กน้อย นางไปฝึกเคล็ดวิชานั้นจริงๆหรือ แต่คิดไม่ถึงว่าเอ๋าเลี่ยจะมีเพลิงบุปผาเหมันต์ เขาย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความเย็นเมื่อ 20 วันก่อน
 “เพียงแต่ว่านางยังไม่ได้เตรียมอะไรสักอย่างจะหลอมรวมเข้ากับเพลิงบุปผาเหมันต์ได้หรือ” เสวียนหั่วกังวลเล็กน้อย
 “เจ้าก็รู้ถึงความสำคัญของการบรรลุช่วงพื้นฐาน ไม่ต้องกลัว เด็กคนนั้นเป็นธาตุเหมันต์ ต้องช่วยเราได้อีกแรง” เอ๋าเลี่ยชี้หนานกงเวิ่นเทียนแล้วพูดขึ้น
เสวียนหั่วพยักหน้า ศิษย์หลานเป็นแกนวิญญาณเหมันต์ ไม่เลวเลย
เอ๋าเลี่ยพาหนานกงเวิ่นเทียนเข้าไปในถ้ำเล็กๆอันเป็นที่พำนักของหลิวหลี สีหน้านางไม่ค่อยดีนัก ชีพจรใกล้จะแหลกสลาย เอ๋าเลี่ยก็ไม่รอช้ารีบนำเพลิงบุปผาเหมันต์ออกมา นางกลืนเข้าไปทั้งคำอย่างไม่ลังเล อาเลี่ยช่างดีจริง ๆ ช่วยหายามาบำรุงร่างกายให้นาง เพียงไม่นานหลิวหลีรู้สึกทะแม่งๆ เหตุใดเพลิงบุปผาเหมันต์นี้ถึงมีอะไรแปลกๆ
 “หลิวหลี เจ้านี่มันจริงๆเลย ไม่รู้จะว่าอะไรเจ้าดี นั่นมันเพลิงบุปผาเหมันต์ เพลิงบุปผาเหมันต์ที่อยู่ในลำดับรายชื่อที่ยี่สิบของการจัดลำดับเพลิงอัคคี” เอ๋าเลี่ยมองหลิวหลีที่กลืนเข้าไปทั้งคำอย่างใจกล้าด้วยสายตาเอือมระอา เป็นเพราะนางใจกล้าหรือเป็นเพราะว่านางไม่รู้ความกันแน่
 “อาเลี่ย ข้าจะทำอย่างไรดี” นางคิดมาก นางไม่กลัวตายถึงขั้นกลืนเพลิงอัคคีฟ้าดินเข้าไปทั้งคำ
ไม่ช้าเพลิงบุปผาเหมันต์ก็แสดงอานุภาพของตัวเอง หลิวหลีรู้สึกว่าทั้งร่างกายกำลังจะแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่ในใจกลับรู้สึกร้อนราวกับถูกหลอมละลาย
 “มันร้อนมาก หนาวมาก ร้อนจัง หนาวจัง” ทั้ง ๆที่หนาวจนฟันสั่นกระทบกัน อวัยวะภายในก็ดูเหมือนจะถูกแช่แข็ง
เมื่อเห็นอาการของหลิวหลีแล้ว เอ๋าเลี่ยก็ไม่รอช้า
 “เจ้าหนู นำพลังเซียนเหมันต์ของเจ้ามาหยุดเพลิงบุปผาเหมันต์ไว้ก่อน ข้ารู้ว่าเจ้าก็มีเพลิงบุปผาเหมันต์ ถ้าหลิวหลีเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าคงจะต้องผิดคำพูด” เอ๋าเลี่ยนพูดไปแต่ก็ไม่ลืมจะข่มขู่หนานกงเวิ่นเทียนไปด้วย
หน้าหนานกงเวิ่นเทียนเปลี่ยนสีน้อยๆ แต่ที่สุดก็ยอมวางมือขนาดเล็กของตนเองบนแผ่นหลังหลิวหลี ถ่ายทอดพลังเซียนเหมันต์บริสุทธิ์ของตัวเองให้หลิวหลี แต่เขารู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย ตอนแรกเป็นเพราะอิงเสวี่ยควบคุมไว้ให้ เขาจึงหลอมรวมกับเพลิงบุปผาเหมันต์ได้ แม่สาวคนนี้ช่างใจกล้าเสียจริง โชคดีจริงๆด้วย มีคู่พันธสัญญาเป็นมังกรโลหิต เป็นอสูรเทพกลายพันธุ์บรรพกาล
เอ๋าเลี่ยก็ไม่รีรอเช่นกัน ถ่ายทอดพลังเซียนของตัวเองเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย นำพรสวรรค์ด้านเผด็จการของเขาออกมาควบคุมเพลิงบุปผาเหมันต์ไม่ให้ขยับไปไหนได้
 “หลิวหลี อาศัยจังหวะนี้รีบโคจรเพลิงบุปผาเหมันต์เข้าเส้นลมปราณของเจ้าเร็ว” เอ๋าเลี่ยกล่าว
หลิวหลีพยายามรักษาสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ได้ยินเสียงของเอ๋าเลี่ยเลือนลาง นางโคจรเคล็ดวิชาเพื่อนำเพลิงบุปผาเหมันต์หลอมรวมเข้ากับเส้นลมปราณจนกลายเป็นหนึ่งในเส้นชีพจรหลักในร่างกาย เนื่องจากพลังเซียนเหมันต์ที่หนานกงเวิ่นเทียนคุ้นเคย บวกกับแรงกดดันที่ทรงพลังของเอ๋าเลี่ย อีกทั้งเพลิงอัคคีกลุ่มนี้มีสัมผัสเซียนอ่อนแอน้อยๆ ดิ้นรนไม่นาน ก็วิ่งไปตามเส้นลมปราณที่หลิวหลีชักนำ ไม่นานเส้นลมปราณนี้ของนางก็กลายเป็นเส้นชีพจรหลักเหมันต์โปร่งแสง จุดตันเถียนของหลิวหลีก็มีตราประทับเพลิงไฟสีฟ้า กลิ่นอายของนางเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง และบรรลุไปถึงช่วงพื้นฐานอย่างเป็นทางการ
เอ๋าเลี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอก โชคดีที่เพลิงบุปผาเหมันต์นี้มาจากอิงเสวี่ยที่เพิ่งเกิดใหม่ ทำให้ไม่ทรงพลังมากนัก ไม่เช่นนั้นถึงจะมีเจ้าหนูคนนี้และเขาก็ไม่สามารถกดเพลิงบุปผาเหมันต์ได้
เสวียนหั่วมองพลังเซียนที่ทะลักออกมาอย่างรุนแรง คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายลง ผ่านไปแล้วครึ่งปีในที่สุดศิษย์ก็มีแววจะบรรลุช่วงพื้นฐานแล้ว พลังเซียนของยอดเขาปรุงยาของเขาใกล้จะไม่พอใช้แล้ว
หลิวหลีโคจรเคล็ดวิชาอย่างรวดเร็ว ในพลังเซียนแฝงไปด้วยกลิ่นอายที่หนาวเหน็บ แล้วจึงมีของเหลวหยดหนึ่งหยดลงบนจุดตันเถียนของหลิวหลีอย่างช้าๆ จากนั้นพลังเซียนทั้งหมดจึงหลอมละลายกลายเป็นน้ำ หลิวหลีถือได้ว่าเข้าสู่ช่วงพื้นฐานแล้ว
ท้องฟ้าด้านนอกส่องสว่างไปไกลเป็นหมื่นลี้ เสวียนหั่วหรี่ตาลง เขารีบส่งเสียงไปบอกให้เสวียนอวี่เริ่มสร้างค่ายกลคุ้มครองสำนัก ในขณะเดียวกันหลายคนก็ตรงไปที่หอปรุงยาอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเห็นไข่ไก่และเมฆสีรุ้งลอยอยู่บนฟ้า แล้วเปลือกก็ค่อยๆกระเทาะออก ปรากฏเป็นมังกรสีรุ้งตัวน้อยหนึ่งตัว บนตัวมีประกายแสงสะท้อนสีฟ้า เอ๋าเลี่ยตกใจจนพูดไม่ออกจริงๆ นี่มันเป็นภาพนิมิตของสุดยอดเทพมังกรเก้าสี เด็กคนนี้จะต้องอนาคตไกลแน่
ในใจของหนานกงเวิ่นเทียนยังคงว้าวุ่น ชะตาฟ้าลิขิตของเขายังมีอีกหนึ่งประโยคที่ว่า ‘เทพเจ้ามังกรเก้าสี ขี่เมฆวิเศษเก้าสี ทะยานคู่ไปกับหงส์’ เด็กสาวคนนี้เป็นคนที่เป็นฟ้าลิขิตมาให้เขา
คนอื่นที่เหลือก็รีบไปดูเห็นการปรากฏตัวขึ้นของภาพนิมิตก็ตกอยู่ในความโกลาหลอยู่นานเช่นกัน สำนักเมฆาคล้อยของพวกเขามีผู้ถูกเลือกคนหนึ่งหรือนี่ อีกทั้งยังเป็นราชาผู้ถูกเลือกด้วยซ้ำ เมื่อสักครู่พวกเขาต่างคิดที่จะยอมเป็นข้ารับใช้ แต่เนื่องจากพลังบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งจึงไม่ได้คุกเข่าลง โชคดีที่สร้างค่ายกลคุ้มครองสำนักแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดปัญหาที่น่ากลัวตามมาภายหลังอย่างที่รู้ๆกันได้ก็ได้
 “อาจารย์อา เป็นโชคดีของสำนักเราโดยแท้” เทียนเลี่ยนจื่อโพล่งออกมาอย่างอดไม่ได้ ไม่คิดว่าจะเป็นมังกร แถมยังเป็นเทพมังกรเก้าสีอีกด้วย
 “ตราบใดที่นางยังไม่โตเต็มที่ขอให้ทุกท่านโปรดเก็บเป็นความลับ” เสวียนหั่วพูดอย่างเคร่งขรึม ตัวเขาเองได้ผ่านช่วงเวลาแห่งวิบากกรรมไปแล้ว เหลืออีกไม่กี่ร้อยปีก็จะสามารถบรรลุเซียน ตอนนี้ศิษย์เขายังอ่อนแอมาก
 “ศิษย์พี่โปรดวางใจ ศิษย์น้องกับบรรดาอาจารย์ทั้งหลายจะช่วยปกป้องหลิวหลีให้เติบโต นี่นับว่าเป็นบุญบารมีของสำนักเราด้วย” เสวียนอวี่พูด หากผู้ถูกเลือกปรากฏตัวขึ้นมาก็จะเปิดเผยได้ พอถึงเวลานั้นสำนักคงจะได้ประโยชน์ไม่น้อย
 “ศิษย์น้อง ใครมาบรรลุช่วงพื้นฐานที่หอปรุงยาของเจ้า” มีเสียงหนึ่งดังลอยเข้ามา ทุกคนเห็นชายวัยกลางคนแบกดาบปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน
 “คารวะ อาจารย์อาเสวียนหลิง”
 “คารวะศิษย์พี่” เสวียนหั่วยิ้มเล็กน้อย ที่แท้ก็คือศิษย์พี่เสวียนหลิงกลับมายังสำนักแล้ว
 “ครั้งนี้ศิษย์พี่ได้อะไรกลับมาไม่น้อยเลยทีเดียว” เสวียนหั่วเห็นท่าทางของเสวียนหลิงก็รู้เลยว่าการออกไปครั้งนี้ของศิษย์พี่ต้องได้อะไรกลับมาไม่น้อยแน่
…………………………………………………

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset