แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 184

“อาจารย์ อาจารย์ลุง อาจารย์อาทั้งสอง ข่าวดีขอรับ หลิวหลีมาที่วัดฝ่าติ้งแล้ว” หลังจากส่งหลิวหลีที่เรือนรับรอง หยวนเจินก็รีบเดินไปยังเขตต้องห้ามที่หลังวัด แล้วแจ้งข่าวให้กับผู้อาวุโสของตัวเองทราบ
“อมิตาพุทธ หยวนเจินเจ้าบอกว่าโยมหลงมาแล้วหรือ เป็นข่าวดีจริงๆด้วย ศิษย์พี่ พลังมารในร่างกายท่านจะได้ขจัดออกไปแล้ว” โม่เนี่ยนรู้สึกว่านี่เป็นข่าวดี ไม่กี่วันก่อนนี้ ลูกศิษย์เพิ่งจะคุยกับตนว่าโยมหลงจะมา แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้
“อมิตาพุทธ ยินดีกับศิษย์พี่ด้วย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้กับโยมหลงแล้วหรือยัง หยวนเจิน” โม่ผิง อาจารย์อาของหยวนเจินกล่าว
“อาจารย์อาโม่ผิง ข้าบอกแล้วว่านางตอบตกลง เพียงแต่หลิวหลีบอกว่านางต้องปรับสภาพร่างกายให้พร้อม ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด แล้วจึงค่อยมาดูอาการอาจารย์ลุงคงจะไม่เสียเวลาเท่าไร ตอนนี้ข้าส่งนางไปพักผ่อนแล้วเรียบร้อย” หยวนเจินถ่ายทอดคำพูดของหลิวหลี
“หยวนเจิน เจ้ากับโยมหลงรู้จักกันแค่ตอนการแข่งขันจัดอันดับผู้ถูกเลือกเท่านั้น มั่นใจได้อย่างไรว่านางเชื่อใจได้ เพียงเพราะนางเป็นนักปรุงยาระดับ 8 ที่อายุน้อยที่สุดเท่านั้นหรือ หรือเพราะนางเป็นผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่ง” โม่โยว อาจารย์อาอีกท่านหนึ่งของหยวนเจินกล่าวขึ้น
“อมิตาพุทธ อาจารย์อาโม่โยว ข้ามั่นใจแน่นอน ข้าเคยบอกเรื่องนี้แค่กับอาจารย์เท่านั้น ตอนนี้เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับอาจารย์ลุงและอาจารย์อา ข้าจะบอกพวกท่านก็แล้วกัน”
“อาจารย์ลุงโม่หมิง โม่ผิงและโม่โยว บนตัวของหลิวหลีมีแสงแห่งบารมี และแสงนั้นส่องสว่างเจิดจ้า หลิวหลีผู้นี้ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับความชั่วร้ายเลยแม้แต่น้อย ทุกคนที่นางเห็นว่าเข้าตาจะได้อาศัยวาสนาของนาง ได้รับโชคไม่น้อย พูดได้ว่าหลิวหลีคือผู้มีบุญญาธิการ” หยวนเจินสรุปในตอนสุดท้าย นักบวชทั้งสี่นิ่งเงียบไม่พูดจา
“อมิตาพุทธ ตอนนี้อาตมายังคงต้องสะกดเอาไว้ การได้รับความช่วยเหลือจากโยมหลง ช่างเป็นความโชคดีของอาตมาจริงๆ” โม่หมิงประสานมือแล้วกล่าว
“อาจารย์ลุงคือนักบวชผู้มีคุณธรรมสูงส่งฟ้าย่อมคุ้มครอง” หยวนเจินกล่าว อาจารย์ลุงท่านนี้เข้าใจในพระธรรมอย่างลึกซึ้ง สนทนาธรรมกับท่านได้เรียนรู้อะไรไม่น้อยเลย
วันต่อมาหลิวหลีลืมตาขึ้นจากการบำเพ็ญเพียร เฮ้อ ที่นี่คือวัด เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ในช่วงนี้นางไม่กินเนื้อก็แล้วกัน ดูท่าแล้วจะต้องรีบทำธุระที่นี่ให้เสร็จเร็วๆ ชีวิตที่ไม่ได้กินเนื้อมันอยู่ยากจริงๆ
“หลิวหลี อรุณสวัสดิ์” พอหลิวหลีเปิดประตูออกไป หยวนเจินก็ปรากฏตัวขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ หยวนเจิน ท่านคงไม่ได้เฝ้าประตูให้ข้าทั้งคืนใช่หรือไม่” มิเช่นนั้น ทำไมถึงเปิดประตูออกมาก็เจอเขาเลย ด้านนอกประตูมีคนหรือไม่นั้น หลิวหลีย่อมรู้ดี นางแค่หยอกล้อหยวนเจินเล่นเท่านั้น
“นั่นก็จริง อาตมากลัวโยมหลิวหลีจะหนีไปเสียก่อน” อาจเพราะมั่นใจในตัวหลิวหลี หยวนเจินจึงหยอกล้อเช่นกัน
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่หนีหรอก เชิญไต้ซือหยวนเจินนำทางด้วย”
“ไต้ซือ ท่านแน่ใจหรือว่าข้าเข้าไปได้” หลิวหลีเห็นป้ายที่เขียนว่าเขตต้องห้าม นางจะสามารถเข้าไปได้หรือ
“แน่นอน เพราะไม่อยากให้มีคนมารบกวนอาจารย์ลุงในช่วงระหว่างที่เขาพักฟื้น จึงได้เขียนไว้เช่นนั้น หลิวหลีไม่ต้องเป็นห่วง เข้าไปได้เลย” เมื่อรู้ว่าหลิวหลีกังวลใจเรื่องอะไร หยวนเจินก็รีบบอกว่าไม่มีปัญหาทันที
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าเข้าไปแล้วนะ” หลิวหลีถึงสบายใจ ขอเพียงแค่ไม่เข้าไปในเขตต้องห้ามของใครโม่ๆก็พอ
“หลงหลิวหลี คารวะไต้ซือทั้ง 4 ท่าน” หลิวหลีทำความเคารพนักบวชชั้นสูงทั้งสี่ท่านอย่างมีมารยาท ให้สมกับมาตรฐานของความเป็นนักบวชที่มีคุณธรรมสูงส่ง
“เจ้าคือโยมหลง ศิษย์พี่ของข้าคงต้องรบกวนโยมแล้ว” โม่เนี่ยนประสานมือแล้วพูด
“โยมท่านนี้อายุยังไม่มาก พลังบำเพ็ญเพียรกลับก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมั่นคงนัก สมแล้วที่เป็นผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่ง” โม่โยวมองหลิวหลี นางมีแสงแห่งบารมีที่สว่างเจิดจ้า ยิ่งกว่านักบวชแบบพวกเขา ตอนที่หยวนเจินพูดเมื่อวาน เขาเชื่อแค่ครึ่งเดียว แต่ตอนนี้เขาเชื่อไปแล้วประมาณ 80 ส่วน
“ขอบคุณไต้ซือที่ชมเชย” การถ่อมตัวมากเกินไปคือการเสแสร้ง ยิ่งไปกว่านั้น ตนเองคือคนที่เอาชนะไต้ซือของพวกเขา แล้วได้ตำแหน่งผู้ถูกเลือกอันดับหนึ่งมาครอง
“ไต้ซือ กรุณาอย่าถือสา ถึงแม้จะฟังอาการของท่านจากหยวนเจินมาบ้างแล้ว แต่ข้ายังอยากจะดูอาการด้วยตนเอง ไต้ซือได้โปรดเข้าใจด้วย” หลิวหลีแจ้งให้ไต้ซือโม่หมิงทราบ
“ต้องรบกวนโยมหลงแล้ว” โม่หมิงประสานมือแล้วพูดขึ้น
หลิวหลีวางมือขวาลงบนแผ่นหลังของโม่หมิง พลังเซียนที่บริสุทธิ์นุ่มนวลไหลเวียนภายในร่างกายโม่หมิง โม่หมิงเริ่มเชื่อมั่นในตัวหลิวหลี โยมหลงเป็นผู้มีจิตใจเมตตาแน่นอน เพราะว่าทุกคนต่างรู้ว่าคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณที่หลิวหลีฝึกฝนนั้น มีพลังทำลายล้างรุนแรงขนาดไหน นางกลัวว่าตนเองจะรับไม่ไหว จึงใช้พลังที่อ่อนโยนที่สุดหนำซ้ำพลังเซียนของโยมผู้นี้ยังหนักแน่น หยวนเจินสมควรพ่ายแพ้ต่อนางจริงๆ
“เจอแล้ว มีพลังมารที่คล้ายกับมดแดงเกาะอยู่บนเส้นลมปราณที่ใกล้กับเส้นชีพจรของไต้ซือโม่หมิง ทุกครั้งที่ไต้ซือโคจรพลังจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาอย่างผิดปกติ” หลิวหลีกล่าวและชักมือกลับ
“โยมหลงกล่าวถูกแล้ว” คราวนี้ร่องรอยยินปรากฏขึ้นบนใบหน้าโม่ผิงกับโม่โยว เมื่อหาต้นตอเจอก็จะสามารถรักษาได้
“โยมหลง มีวิธีรักษาหรือไม่” โม่เหนียนถามขึ้น
“มี ยาผสานแสงระดับ 8 บวกกับเพลิงอัสนีครามภายในร่างกายของข้า จนพลังมารส่วนใหญ่ถูกกำจัดแล้ว ข้าจะใช้เพลิงวิญญาณไม้ขจัดส่วนที่เหลือและฟื้นฟูร่างกายไปพร้อมกัน เพลิงวิญญาณไม้ของข้าสามารถช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตได้ เพียงแต่วิธีนี้ข้ารับประกันได้แค่ 70 ส่วนเท่านั้น และในยามที่กำจัดมันออกมา ความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ไต้ซือจะทนรับไหวหรือไม่” หลิวหลีอธิบายปัญหาทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น
“อมิตาพุทธ อาตมาสามารถกลับไปเป็นปกติได้ก็ถือว่าเป็นเมตตาของสวรรค์แล้ว ต้องขจัดพลังมารออกให้หมด อาตมาจึงจะกลับมาเป็นปกติได้ อาตมาเชื่อมั่นในตัวโยมหลง เชิญโยมหลงลงมือได้เลย” โม่หมิงออกตัวว่ารับมือได้ เขาทนกับความเจ็บปวดเช่นนี้อยู่ทุกวัน จนชินไปนานแล้ว การให้ร่างกายที่ชินชาของตัวเองได้ลิ้มรสความเจ็บปวดบ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าจะไปปรุงยาผสานแสงให้ท่านก่อน แล้วฟื้นฟูร่างกายให้อยู่ในสภาพพร้อมที่สุด ค่อยให้ไต้ซือกินยาแล้วข้าจะขจัดพลังมารในร่างกายให้ท่าน”
“รบกวนโยมหลงด้วย หากต้องการพืชศักดิ์สิทธิ์ชนิดใด บอกหยวนเจินจัดเตรียมได้เลย” โม่เนี่ยนกล่าว การจะเชิญนักปรุงยาระดับ 8 มาให้ช่วยไม่ใช่เรื่องง่าย และให้พวกเขาช่วยรับวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ โยมหลงจะได้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านหยวนเจินแล้ว ยาประกายแสงระดับ 7 ถึงแม้จะสู้ยาผสานแสงไม่ได้ แต่บรรเทาอาการเจ็บปวดของไต้ซือได้ ไต้ซือกินวันละ 1 เม็ดก็พอ” หลิวหลีคิดๆดูแล้วจึงนำขวดขนาดเล็กออกมาแล้วพูดขึ้น
“โยมหลงช่างมีน้ำใจเหลือเกิน” โม่หมิงกล่าว
“ขอให้หยวนเจินนำพืชศักดิ์สิทธิ์ที่เตรียมไว้วางที่พื้นที่โล่งกว้าง อย่าให้มีใครเข้ามาเดี๋ยวจะบาดเจ็บหรืออันตรายถึงแก่ชีวิตได้” หลิวหลีแสดงออกว่าสถานที่เป็นสิ่งสำคัญมาก หากวิบากอัสนีบาตทำถูกคนอื่นเข้า คงไม่ดีแน่
“ได้ หยวนเจินจะเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย” เรื่องนี้เขาเข้าใจเป็นอย่างดี
วิบากอัสนีบาตที่เกิดขึ้นหลังวัดฝ่าติ้งที่ทำให้ทุกคนตกใจ มันคือวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์
“หลงหลิวหลีก็คือแขกของไต้ซือหยวนเจิน นี่คือวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม สุดยอดมากเลยจริง ๆ”
“หรือว่าวัดฝ่าติ้งจะซื้อยาเม็ดศักดิ์สิทธิ์จากหลงหลิวหลีหรือ”
“ใช่ หลงหลิวหลีสุดยอดจริงๆ ได้ยินมาว่าอัตราสำเร็จในการปรุงยาค่อนข้างสูงทีเดียว”
หลิวหลีปรุงยาเสร็จก็หลบไปนั่งฟื้นฟูร่างกาย หยวนเจินแสดงออกว่าเรื่องวิบากเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ เขารับแทนได้ ไม่จำเป็นต้องให้หลิวหลีต้องทำเอง หลิวหลีก็เข้าใจความรีบร้อนของพวกเขา จึงหลบไปฟื้นฟูร่างกายอย่างเชื่อฟัง
“ไต้ซือโม่หมิง ท่านพร้อมแล้วหรือยัง” หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน หลิวหลีก็ได้เวลาหันไปพูดกับไต้ซือโม่หมิง หยวนเจิน โม่เนี่ยน โม่ผิง โม่โยว ไต้ซือทั้งสี่ ประจำที่อยู่ทั้งสี่ทิศ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ ด้วยกลัวว่าโม่หมิงจะไม่สามารถทนได้ จะได้ลงมือยับยั้งโม่หมิง
“อมิตาพุทธ รบกวนโยมหลงแล้ว” โม่หมิงกล่าว
“ถ้าเป็นเช่นนี้ เชิญไต้ซือกินยา”
โม่หมิงกลืนยาเข้าไป รู้สึกเหมือนมีพลังอุ่นๆไหลเข้าสู่ร่างกาย ยาเม็ดศักดิ์สิทธิ์ที่โยมหลงท่านนี้ปรุงขึ้นไม่ธรรมดาจริงๆ
เมื่อสัมผัสได้ถึงทิศทางของยา หลิวหลีนำมือขวาวางไว้หลังโม่หมิง พลังเซียนผสานเข้ากับเพลิงอัสนีครามที่มีพลังทำลายล้างพลังมารค่อนข้างสูง ไหลเข้าในตัวโม่หมิงตามทิศทางของยา พลังมารที่อยู่ภายในร่างกายสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่คุกคามเข้ามา ก็ยิ่งเกาะตัวแน่นบนเส้นลมปราณของโม่หมิงมากขึ้นกว่าเดิม สงครามในการชักคะเย่อกำลังเริ่มต้นขึ้น เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าของโม่หมิง มีสีดำปนออกมาน้อยๆ นักบวชสี่คนที่เหลือสังเกตสถานการณ์ของโม่หมิงอยู่ตลอด เพื่อเตรียมให้ความช่วยเหลือ
เมื่อสัมผัสได้ถึงความดื้อดึงของพลังมาร หลิวหลีหลอมเพลิงอัสนีครามเข้ากับฤทธิ์ของยาให้กลายเป็นเข็มสีม่วง ใช้พลังสูงสุดทิ่มเข้าไปยังจุดหนึ่งของพลังมาร ถึงแม้พลังมารจะดื้อดึงขนาดไหนก็ยังถูกหลิวหลีแทงจนทะลุเป็นรู เพลิงอัคคีที่มีพลังทำลายล้างมากกว่าเดิม ฤทธิ์ยาที่ทะลวงเข้าไปพร้อมกับเข็มที่แทงเข้าไป ทำให้ทั้งตัวของโม่หมิงไม่ได้มีแค่เหงื่อแล้ว แต่กลับมีเลือดสีดำที่ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วออกมา จนที่สุดโม่หมิงทนไม่ได้จนต้องส่งเสียงร้องออกมา โม่หมิงเป็นไต้ซือที่มีชื่อเสียงมานาน สามารถถอดทนกับความเจ็บปวดได้ดี ถึงขนาดส่งเสียงร้องออกมา ทำให้รู้ได้เลยเขาจะเจ็บปวดเพียงใด
พลังมารในร่างกายโม่หมิงค่อยๆลดลง จนสุดท้ายแล้วหลิวหลีขจัดพลังมารส่วนใหญ่ในร่างกายออกไปได้สำเร็จ ฤทธิ์ยาเข้าไปถึงเส้นชีพจร บำรุงจุดตันเถียน จากนั้นหลิวหลีสัมผัสได้ว่าพลังมารส่วนใหญ่ถูกกำจัดออกไปแล้ว จึงรีบเปลี่ยนมาใช้เพลิงวิญญาณไม้ ให้เพลิงวิญญาณไม้ไหลเวียนภายในร่ายกายของโม่หมิง ขจัดพลังมารส่วนที่เหลือกับสิ่งแปลกปลอมต่างๆในร่างกายออกจนหมด กระทั่งมั่นใจว่าไม่มีอะไรเหลือ หลิวหลีจึงใช้เพลิงวิญญาณไม้ลองตรวจสอบอีกรอบ แล้วค่อยหยุดลง หลิวหลีเพิ่งจะสังเกตได้ว่าตนเองเหงื่อไหลท่วมตัว พลังเซียนถูกใช้งานไปเกินครึ่ง
“เสียมารยาทแล้ว” หลิวหลีวางมือลง ทรุดตัวนั่งลงเพื่อฟื้นฟูพลังเซียน
“ขอบคุณโยมหลงนัก” ทั้งห้าคนประสานมือกันแล้วกล่าวขอบคุณ
………………………..

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset