แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 240 การปรากฏตัวที่เหลือเชื่อของปีศาจเงาที่เหลืออยู่

“หลี่หลิ่ว หลิวหลี ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง” อู๋เจียงอ่านสองชื่อสลับไปมา แววตาหม่นลง เขากำลังอวดดีต่อหน้าเจ้าตัวอยู่ ช่างน่าขันจริงๆ

“ยินดีกับเจ้าด้วย เป็นอย่างที่พวกเจ้าคิดนั่นแหละ จริงสิ พวกเจ้าเตรียมจะขายข้าให้ใครแล้วค่าตัวข้าเท่าไหร่กัน” หลิวหลีเองก็อยากรู้ค่าตัวของนางขายเหมือนกัน

“ฝ่าบาท” ผู้อาวุโสสวีมองหลิวหลีอย่างไม่เห็นด้วย

“ฮ่าๆ เจ้าตำหนักหลิวหลีถามเช่นนี้ตลกมากนักเหรอ” เฉินหมิงมองหลิวหลีอย่างไม่พอใจ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาล่าห่านมาทั้งวันแต่กลับถูกห่านจิกตาเสียได้

“ข้าอยากรู้” หลิวหลีดึงดันอยากจะรู้ให้ได้

“ข้าขอถามนายท่านอย่างหนึ่งได้หรือไม่” เฉินหมิงพูดพลางมองหลิวหลี

“ว่ามา”

“ทั้งๆที่ฝ่าบาทถูกข้าวางยาสลบ แถมยังถูกข้าผนึกพลังเซียนไว้ เหตุใดจึงไม่เป็นอะไร” เฉินหมิงไม่เข้าใจ

“อ่อ เรื่องนี้น่ะอย่างแรกเลยคือข้าไม่ได้ถูกทำให้สลบ แถมเจ้าบอกเองว่าใช้ได้ผลกับเทพเซียนสุขาวดี แต่บังเอิญที่ข้าอยู่ในชั้นเทพเซียนสุวรรณนภา” หลิวหลีลบสัญลักษณ์สีเงินบนหน้าผากออกและเปลี่ยนเป็นสีทอง

“ส่วนข้อที่สอง ข้าแกล้งสลบไป เข้าสะกดพลังเซียนข้าได้ผลที่ไหน และต่อให้ได้ผลก็เถอะ พวกเจ้านับถือข้าขนาดนี้ ไม่รู้หรือว่าข้ามีเพลิงเซียนเป็นสุดยอดอาวุธที่ทำให้บาดเจ็บเจียนตายได้” เมื่อหลิวหลียื่นมือขวาออกมาก็มีเปลวไฟสีดำลอยขึ้นมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าน้อยยอมแล้ว” เฉินหมิงเข้าใจดี ครั้งนี้ตนพลาดอย่างน่าเวทนา เกรงว่าคงจะไม่รอดเสียแล้ว

“ผู้ดูแลหยางที่อยู่ตรงนั้นน่ะ ทางที่ดีที่สุดอย่าขยับ ไม่อย่างนั้นข้าไม่รับรองว่าเจ้าจะเหลือรอดไปได้ครบทุกชิ้นส่วน” หลิวหลีหันไปพูดกับผู้ดูแลเหยาที่ยืนนิ่งอยู่ราวเป็นหุ่นไม้อยู่ด้านข้าง

“นายท่านล้อเล่นแล้ว ข้าไม่ได้ขยับเลยสักนิด” ผู้ดูแลหยางเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก ไม่รู้เลยว่าเปลวไฟสีดำมากมายขนาดนี้อยู่บนร่างกายของเขาตอนไหน ไม่จำเป็นต้องพูด ต้องเป็นนายท่านผู้นี้แน่นอน คราวนี้ก่อเรื่องขนาดนี้ไม่รู้ว่านางจะยอมปล่อยเขาหรือไม่

“เช่นนั้นก็ดี อย่างไรเสียในบรรดาคนพวกนี้ ข้าสนใจเจ้ามากที่สุด” หลิวหลียิ้มหวานยามมองผู้ดูแลเหยาคนนั้น

“นายท่านล้อเล่นแล้ว” ร่างกายของผู้ดูแลหยางเต็มไปด้วยเหงื่อ เขามักรู้สุกว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีมีเจตนาร้าย

“ปล่อยเจ้าพูดแทรกขนาดนี้ พวกเจ้าสองคนยังไม่ตอบเลยว่าตัวข้ามีราคาเท่าไหร่” หลิวหลีพูดพลางมองเฉินหมิงและอู๋เจียงที่รับรู้ชะตากรรมตัวเอง

“3,000 ลูกแก้วเซียน” เฉินหมิงหลับตาพูด

“3,000 ลูกแก้วเซียน ข้าหน้าตางดงาม ท่าทางคล่องแคล่วเช่นนี้ แต่กลับมีค่าแค่ 3,000 ลูกแก้วเซียนหรือ” หลิวหลีทำหน้าเหลือเชื่อ นางไม่มีค่าขนาดนี้เลย ที่บอกว่าเป็นของชั้นดี แต่มีราคาแค่นั้น นางก็คิดว่าจะแพงมากมาย

“นายท่านนี่ก็ราคาแพงมากแล้ว คนอื่นแค่ไม่กี่ร้อยเอง” เฉินหมิงพูดให้แหย่

หลิวหลีเหลือบมองคนงานในชุดขาดรุ่งริ่ง และเหล่าหญิงสาวที่ยอมจำนนแต่งตัวสีสันฉูดฉาด แววตาไร้ชีวิตชีวา พอเปรียบเทียบกับแล้วนางก็ถือว่าแพงกว่ามาก

“ขุนนางอวิ๋นเซียน สั่งให้คนเอาเสื้อผ้าสองสามชุดมาให้สหายเซียนกลุ่มนี้ ต้องปลอบใจพวกเขาสักหน่อย ใช่แล้ว สหายที่โดนแขวนอยู่บนเพดานคนนั้นด้วย” หลิวหลีนึกถึงอสูรเทพตัวหนาหยาบกร้านตนนั้น อย่าปล่อยให้โดนแขวนเลย ไม่อย่างนั้นบรรพชนในสกุลนางคงได้ถลกหนังเขาแน่

“ใช่ นายท่าน คนที่ท่านพูดถึงนั้นสลบไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล” อวิ๋นเฟยพูด

“ไม่ต้องกังวลก็ดี” ไม่แขวนไว้ก็พอ

“ผู้อาวุโสทั้งสองท่าน พวกท่านต้องดูผู้ดูแลหยางไว้ให้ดีๆ พวกเราควรกลับกันได้แล้ว ส่วนจะจัดการกับคนกลุ่มนี้อย่างไรก็ตามแต่องค์จักรพรรดิเถอะ” หลิวหลีต้องการกลับ

หลิวหลีลอบส่งเสียงผู้อาวุโสทั้งสอง พูดเพียงสองคำว่า ‘ปีศาจเงา’ ผู้อาวุโสทั้งสองจำเป็นต้องพินิจมองคนผู้นี้อีกครั้ง

“ผู้ดูแลหยาง ท่านเลิกคิดเรื่องระเบิดตัวเองหรือหนีอะไรพวกนั้น บังเอิญว่าไม่กี่วันก่อนข้าได้เจอเพื่อนของเจ้า เข้ากันได้ดีทีเดียว ดังนั้นทางที่ดีเจ้าทำตัวดีๆ เข้าไว้ ไม่อย่างนั้นข้ารับประกันเลยว่าจะต้องทำให้เจ้ากลับไปกับข้าอย่างครบถ้วนทุกชิ้นส่วน แถมต้องทุกข์ทรมานจนพูดไม่ออก” หลิวหลีคลี่ยิ้มหวานให้ผู้ดูแลหยางที่ดิ้นรนจะหนี

ผู้ดูแลหยางไม่กล้าดิ้นรนอีก ไม่รู้ว่าตอนไหนปราณก่อนกำเนิดเซียนของเขามีเชือกสีดำเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา มันเริ่มที่ปราณก่อนกำเนิดเซียนของเขาและแพร่ลามไปทั่ว แม้แต่ประสาทเซียนของเขาก็ถูกวัตถุสีดำสะกดไว้ สวรรค์ช่างไม่เข้าข้างเขาเอาเสียเลย

พวกเขากลับไปวังนภาเพลิงอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร

“ฝ่าบาทหลิวหลี ผู้อาวุโสจู ผู้อาวุโสสวี องค์จักรพรรดิกำลังรอท่านอยู่ที่ท้องพระโรง” มีนางกำนัลรออยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาไม่รอช้ารีบตรงไปที่ท้องพระโรง

“ถวาายบังคมจักรพรรดิ”

“ลำบากผู้อาวุโสทั้งสอง ลำบากหลิวหลี ลำบากเหล่าทหารสวรรค์แล้ว” จักรพรรดิตรัส

“ขอบคุณฝ่าบาท”

“อืม คนผู้นี้คือตัวการหรือ” จักรพรรดิทอดพระเนตรมองผู้ดูแลหยางที่ถูกผู้อาวุโสทั้งสองกดตัวไว้

“ฝ่าบาท เรื่องนี้พระองค์ต้องให้หลิวหลีอธิบาย” ผู้อาวุโสจูกล่าว หนึ่งเพราะพวกเขาแค่ไปช่วย ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด และแม้ว่าหลิวหลีจะบอกว่าเขาเป็นปีศาจเงา แต่พวกเขาก็ไม่กล้ายืนยันนัก

“หลิวหลี เจ้าพูดมา”

“เพคะ ฝ่าบาท พระองค์ทรงทราบว่าข้าออกไปเที่ยวเล่น แต่ความจริงข้าไม่ได้ออกจากพื้นที่วังนภาเพลิงเลย ข้าเปลี่ยนพลังกลายเป็นขั้นเสวียนเซียน นั่งกินอาหารอยู่ที่โรงเตี๊ยม ก็มีคนเข้ามาตีสนิทและบอกข้าว่าที่เขาต้าสิงมีลูกแก้วเซียนอัคคี ข้าไม่เคยออกไปเที่ยเล่น และก็รู้ว่าทั้งสองคนนี้ประสงค์ร้าย แต่ว่า คนเรามักจะมีความอยากรู้อยากเห็นข้าเลยแสร้งตามน้ำและตามพวกเขาไป ระหว่างทางก็แกล้งทำเป็นว่าโดนยาสลบที่พวกเขาบอกว่าสามารถทำให้เทพเซียนสุขาวดีสลบได้ และเมื่อได้สติข้าก็แสร้งโดนสะกดพลังไว้ หลังจากนั้นเจ้านี่ก็คิดจะแทะโลมข้า ข้าเลยไม่ทันระวังเผลอใช้พลังไป อย่างไรเสียเขาก็สะกดพลังข้าไม่ได้” หลิวหลีหยุดพูด

เมื่อจักรพรรดิและผู้อาวุโสทั้งสองได้ยินก็กระตุกมุมปาก พวกเขาลืมไปว่าพลังของนางสามารถล้มบุรุษเป็นกลุ่มได้อย่างง่ายดาย

“พวกเขาเตรียมจะส่งข้าเข้าไปในเหมืองแร่เพื่อทำลายพลังของข้า เฮ้อ เหมืองแร่นั้นก็ไม่เลว พอถึงในนั้นข้าก็บอกทหารในตำหนักเวิ่นเทียนของข้าให้รายงานฝ่าบาท จากนั้นก็เดินไปต่อ ไม่น่าเชื่อว่ามีของดีอยู่จริงๆ ข้าจึงเก็บมาโดยไม่เกรงใจ” หลิวหลีพูดอย่างไม่อาย ของที่ขโมยมานางก็ใช้ไปแล้ว อย่าได้สืบหาอีกเลย

“จากนั้นก็เป็นไปตามที่ทุกคนรู้ แต่ฝ่าบาท พระองค์ต้องลงโทษพวกเขา ข้าเป็นถึงนายท่านของตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาเพลิงกลับมีค่าเพียงแค่ 3,000 ลูกแก้วเซียนเท่านั้นเอง” สุดท้ายหลิวหลีก็ไม่พึงพอใจกับค่าตัวตนเอง แค่นี้เนี่ยนะ

จักรพรรดิตรัสไม่ออก หลิวหลีแค่ไม่พอใจค่าตัว เอ่อ

“เจ้ายังไม่ได้บอก ว่าคนนี้มีอะไรที่ต่างออกไป” ผู้อาวุโสจูถาม

“ที่ข้าบอกว่าผู้นี้เป็นปีศาจเงา ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ผู้อาวุโสจู ท่านถอดเสื้อเขาออกสิ” หลิวหลีพูด

เมื่อผู้อาวุโสจูโบกมือ ร่างกายด้านบนอีกฝ่ายก็เปลือยเปล่า พลังของคนผู้นี้ควรจะมีรอยรูปปีกอยู่ด้านหลัง เหตุใดจึงไม่มี

“อย่ารีบร้อนนัก” หลิวหลีพูดจบก็ปรากฏเพลิงเซียนสีดำขึ้นในมือ และโยนใส่ผู้ดูแลหยาง ทันใดนั้นราวกับร่างของผู้ดูแลหยางราวสีตก และปรากฏรูปปีกสีดำคู่หนึ่ง

ผู้ดูแลหยางถูกหลิวหลีสะกดร่างกายไว้ เหงื่อไหลเต็มตัว แต่กลับขยับร่างกายไม่ได้

“ปีศาจเงา” ผู้อาวุโสจูกับผู้อาวุโสสวีพูดพร้อมกัน จักรพรรดิก็ทรงคิดไม่ถึงเช่นกันว่ายังมีปีศาจเงาหลงเหลืออยู่

“ตอนนี้ปีศาจเงาฉลาดมาก แต่ก็หลบไม่พ้นสายตาข้า อย่างไรเสียข้าก็เพิ่งจะออกจากหอปีศาจเงา จึงคุ้นเคยกับพวกเขา ปีกที่ซ่อนไว้ด้านหลังควรจะใช้วารีบุปผาภูติลบออก มีเพียงเพลิงเซียนและเกสรของวารีบุปผาภูติสามารถทำให้มันปรากฏออกมาได้ ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่มีทางรู้” หลิวหลีพูด

“คิดไม่ถึงว่าจะยังมีปีศาจเงาหลงเหลืออยู่ น่ารังเกียจ น่ารังเกียจเสียจริง” จักรพรรดิเดือดดาลน้อยๆ มีปีศาจเงาอยู่ในอาณาเขตที่เขาปกครอง นี่ไม่เท่ากับตบหน้าเขาหรอกหรือ

“จักรพรรดิอย่าทรงพิโรธ นี่น่าจะเป็นแค่สมุนตัวเล็กๆเท่านั้น คงจะมีที่หลบซ่อนตัวมากกว่านี้” หลิวหลีพูด

“จักรพรรดิ ผู้นี้น่าจะเป็นแค่ลูกสมุน ยังมีปลาตัวใหญ่ซ่อนอยู่” ผู้อาวุโสจูพูด เรื่องนี้ร้ายแรงมาก จิตมารเป็นฝันร้ายของโลกเซียน ไม่มีใครคิดว่าพวกมันจะออกมาสู่โลกภายนอกอีกครั้ง

“ข้าเข้าใจแล้ว มอบคนผู้นี้ให้ข้า หลิวหลี ข้าจะไม่ถามว่าเจ้าได้อะไรมา คิดเสียว่าเป็นรางวัลของเจ้า แล้วเจ้าก็ไม่ต้องออกไปไหนแล้ว อยู่ในวังนภาเพลิงต่อ” จักรพรรดิออกคำสั่งห้ามหลิวหลีกลายๆ

“เพคะ” หลิวหลีลูบจมูกเล็กน้อย ตนก็จำเป็นต้องกลับไปย่อยเหมือนกัน คงไม่ออกไปไทนแล้ว

“สำหรับการต่อสู้ครั้งนี้ ข้ามอบรางวัลให้พวกเจ้าทุกคน” จักรพรรดิตรัสกับคนอื่นที่เหลือ

“ขอบพระทัยฝ่าบาท ยังมีผู้บาดเจ็บอีกกลุ่มหนึ่ง จะให้จัดการอย่างไร” ผู้อาวุโสสวีถาม

“ให้พวกเขาอยู่ที่หอเมฆาสีรุ้งชั่วคราวแล้วกัน” จักรพรรดิพูด

“จักรพรรดิ มีคนหนึ่งที่ข้าอยากพากลับตำหนักเวิ่นเทียนด้วย” อยู่ดีๆหลิวหลีก็พูดแทรกขึ้น

“ในกลุ่มคนพวกนั้นมีคนที่หลิวหลีรู้จักหรือ” จักรพรรดิตรัสถามอย่างสงสัย

“ไม่รู้จักหรอก แต่คนที่สลบไปยังไม่ฟื้นเป็นอสูรเทพ ถือว่าพอมีวาสนากับข้า ข้าจึงจัดการด้วยตัวเองและจะถามผู้อาวุโสว่ามีอสูรเทพพลัดหลงไปบ้างหรือไม่” หลิวหลีอธิบาย

“แม้แต่อสูรเทพก็โดนทำร้ายหรือนี่” เก่งเสียจริง

“หลิวหลี ท่านรู้ได้ยังไงว่าเขาคืออสูรเทพ” ผู้อาวุโสสวีเคารพหลิวหลีมากขึ้น

“ข้าเคยเข้าไปในแดนลี้ลับอสูรเทพตอนอยู่ในโลกเบื้องล่าง ได้รับคำอวยพรจากอสูรเทพบรรพกาล บนร่างกายจึงมีกลิ่นอายของอสูรเทพบรรพกาลอยู่ ดังนั้นอสูรเทพปิดบังข้าไม่ได้หรอก” หลิวหลีเปิดเผยความลับอย่างไม่ทันระวังตัว

ทุกคนประหลาดใจมาก หลิวหลีโชคดีเกินไปแล้ว พูดอีกอย่างก็คือ หลิวหลีคือยอดอสูรเทพในร่างคน มิน่าล่ะถึงได้มีพละกำลังแบบนั้น

“นังหนู เจ้าโชคีไม่เบา” ช่างเป็นคนโชคดีมากเสียจนไม่ต้องกังวลสิ่งใด

“พอได้ๆ” เวลานี้ถ่อมตัวไว้จะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนเขาเกลียดเอา

“เช่นนั้นก็มอบคนผู้นั้นให้เจ้าแล้วกัน แล้วางคนที่เหลือไปที่หอเมฆารุ้งแล้วกัน” จักรพรรดิตัดสินพระทัย

“กระหม่อมทูลลา” ทุกคนเดินออกไป พร้อมกับผู้ดูแลหยางก็ถูกพาไปเช่นกัน

“ปีศาจเงา ปีศาจเงา จัดการยากสมเป็นเงาจริงๆ” จักรพรรดิพึมพำ ริมฝีปากของจักรพรรดิขยับเล็กน้อย จักรพรรดิทุกหนแห่งล้วนได้รับข้อความจากจักรพรรดิอัคคี วังนภาเพลิงจับปีศาจเงาได้ตนหนึ่ง ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ นี่ต้องเป็นภัยพิบัติของโลกเซียนเป็นแน่

หลิวหลีย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางตั้งใจจะกลับไปดูพี่น้องอสูรเทพที่บาดเจ็บหนักตนนั้น และจะได้พัฒนาความสัมพันธ์กับบรรพชนไปพร้อมกัน เห็นไหมว่า นางเป็นคนรุ่นหลังที่ดีจริงๆ

ทหารของตำหนักเวิ่นเทียนเลื่อมใสในตัวหลิวหลีมากขึ้นถึงขั้นศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา นายท่านพวกเขาเก่งกาจไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ

……………………..

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset