“ออกมาเถอะ อย่าพูดทำนองว่ารู้สึกผิดที่จะเจอข้า คำพูดไร้สาระอะไรพวกนั้น ข้าไม่เชื่อหรอก” หลังจากหลิวหลีทักทายทหารสวรรค์ที่ดวงตาเป็นประกายพวกนั้นแล้ว นางก็บอกพวกเขาว่าตัวเองจะเข้าฌานสักพัก มีเรื่องอะไรเรียกนางได้ แล้วหากคนผู้นั้นฟื้นขึ้นมาก็ให้เรียกนาง
“รู้สึกผิดเกินจะเจอเจ้า” เพลิงหยินหยางพูดเสียงอ่อย
“หากเจ้าไม่ออกมา ต่อไปข้าก็จะไม่ใช้เจ้าอีก” หลิวหลีข่มขู่
“ข้าออกมาก็ได้” เพลิงหยินหยางหมดหนทาง นายท่านผู้นี้ไร้เหตุผลเสียจริง
เพลิงหยินหยางปรากฏตัวขึ้น มันเป็นเปลวเพลิงที่มีสีดำและขาวผสมกัน
“เจ้าแปลงกายได้ไม่ใช่หรือ อย่าบอกข้าว่า ข้าบรรลุขั้นไม่สมบูรณ์ ก็เลยแปลงกายไม่ได้” นางยังจำได้ว่าตอนที่เจอไท่จี๋ครั้งแรก ตอนนั้นเขาเป็นเด็กหนุ่มชุดดำที่แสนเย็นชา
“ขาดอีกเพียงเล็กน้อย ตอนนั้นเพราะเร่งรีบ จึงแค่กลืนกินเข้าไป ยังไม่ทันได้ดูดซึมโดยละเอียด หากว่าสามารถกลับไปที่บ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางได้ ข้าก็จะสามารถดูดซึมได้เร็วกว่าเดิม แต่บ่อน้ำทั้งสองบ่อของเจ้าก็จะหายไป” ไท่จี๋พูดด้วยความรู้สึกผิด
“บ่อทั้งสองของข้าเป็นน้ำ เจ้าดูดซึมน้ำได้ด้วยหรือ คงไม่ได้หรอกใช่ไหม” เมื่อหลิวหลีเห็นว่าไท่จี๋พูดถึงบ่อน้ำทั้งสอง ก็ปวดใจ สถานที่ลับของนางจะถูกทำลายไปง่ายๆเช่นนี้หรือ
“จำเป็นต้องใช้พลังหยินหยาง หลิวหลี เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นเพลิงหยินหยาง ถึงแม้จะกลืนกินเพลิงเซียนได้ แต่ก็ยังจำเป็นจะต้องมีพลังหยินหยางมาขับเคลื่อน บ่อน้ำแร่เพลิงเหมันต์หยินหยางของเจ้าเป็นของเหลวที่เกิดมาจากพลังทั้งสองพอดี” ไท่จี๋อธิบาย
“ขอข้าอยู่คนเดียวสักพัก เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” หลิวหลีไม่อยากจะเจอเพลิงเซียนหยินหยางแล้ว มันเป็นตัวล้างผลาญเกินไป นางเลี้ยงไม่ไหว จนกระทั่งเพลิงนพเก้ามอดนภาบรรลุขั้น เพลิงเซียนที่เป็นตัวล้างตัวผลาญที่สุดในใจของหลิวหลีก็คือมันนี่แหละ
“ตกลง” ไท่จี๋เองก็รู้ว่าหลิวหลีคงจะปวดใจไม่น้อย จึงตัดสินใจให้หลิวหลีค่อยๆทำใจ
ในตอนที่หลิวหลีกำลังปวดใจอยู่นั้นเอง
“นายท่าน คนผู้นั้นฟื้นแล้ว เพียงแต่มีอาการคุ้มคลั่ง พวกเราเกือบจะเอาไม่อยู่” อวิ๋นเฟยมารายงาน
“ฟื้นเร็วขนาดนี้เชียวหรือ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หลิวหลีตกใจสมแล้วที่เป็นอสูรเทพ ร่างกายแข็งแกร่งไม่เบา
“พวกเจ้าเป็นใคร จะทำอะไรข้า”
“ไม่ทำอะไรหรอก สหาย เจ้าปลอดภัยแล้ว นายท่านของพวกเราช่วยเจ้าไว้” จื่อจู๋อธิบาย
“นายท่าน นายท่านคนไหน ไม่เคยได้ยิน” ชายหนุ่มผู้นี้ยังคงระมัดระวังตัวอย่างมาก
“หลิวหลีแห่งตำหนักเวิ่นเทียน และที่นี่คือตำหนักเวิ่นเทียน เจ้าปลอดภัยแล้ว” จื่อจู๋อธิบาย ในใจสบถด่าอวิ๋นเฟยไอ้คนชั่ว อะไรคือการบอกว่าพลังของเขาสูงส่ง ให้เขารับมือไปก่อน ตัวเองจะไปเชิญนายท่านมา นี่เป็นการหาโอกาสหนีชัดๆ เหมือนเอาเผือกร้อนๆมาวางไว้บนมือเขา ความรักระหว่างพี่น้องที่เคยคุยกันล่ะ
“ไม่รู้จัก ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สถานที่ที่ดี พวกคนชั่วพวกนั้น คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเอาข้าไปขาย รอให้ข้าออกไปเถอะ ข้าจะทำลายพวกมันให้หมด” ชายหนุ่มพูดพลางกัดฟันกรอด
“สหายท่านนี้ ท่านปลอดภัยแล้วจริงๆ นายท่านของข้าเป็นเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนในวังนภาเพลิง เจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยหรือ” จื่อจู๋ยังคงพยายามทวนคำพูดอีกครั้ง นายท่านของพวกเขากลายเป็นคนดังตั้งนานแล้ว
“ไม่ต้องมาหลอกข้า ข้าไม่เชื่อ” ชายหนุ่มยืนยันความคิดตนเอง ว่าต้องถูกขายแล้วแน่
“จื่อจู๋ เจ้าออกไปเถอะ” เสียงของหลิวหลีดังขึ้นราวเสียงสวรรค์ จื่อจู๋วิ่งออกไปทันทีไม่แม้แต่จะทำความเคารพกัน
“เจ้าเป็นใครอีก” ชายหนุ่มมองชายหนุ่มหน้าตาดีจนเกินไปอย่างระแวดระวัง คนพวกนั้นยังถือว่ามีรสนิยม ขายเขาให้กับชายหนุ่มหน้าตาดีเช่นนี้ แต่แล้วอย่างไรกัน เขาไม่มีทางยอมแน่นอน เขาเป็นถึงอสูรเทพ จะทำเรื่องที่ทำให้อสูรเทพขายหน้าได้อย่างไร
“พอใจในรูปร่างหน้าตาของข้าหรือไม่?” หลิวหลีเห็นชายหนุ่มผู้นี้มองตนเองอย่างพิจารณา ที่สำคัญคือนางเห็นว่าความพึงพอใจในแววตาอีกฝ่าย พึงพอใจอะไรกัน
“หน้าตาเจ้าไม่เลวเลย แต่ข้าไม่มีทางยอมหรอก ข้าขอเตือนเจ้า ปล่อยข้าไปเสียดีๆ ข้าไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมายั่วโมโหง่ายๆ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เหรอ? เจ้าไม่ใช่คนอารมณ์ดีนัก แล้วข้าต้องกลัวเจ้าหรือ? ร่างกายผอมบาง ไม่มีกล้ามเนื้อ ใบหน้าซีดขาวราวกับเพิ่งปีนขึ้นมาจากสุสาน ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ผิวแห้งกร้าน จับไปก็หยาบมือ อย่างเจ้ามีอะไรให้ข้าชื่นชอบ” หลิวหลีมองชายหนุ่มด้วยสายตาเหยียดหยาม พูดจาดูถูกจนเขาแทบไม่เหลือที่ยืน หลังจากมองตาเขา หลิวหลีก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นอสูรเทพประเภทใด สามีของนางผมนุ่มลื่นราวกับผ้าแพร ผิวพรรณนุ่มนิ่ม มีประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม อย่ามองว่าสามีของนางร่างกายอ้อนแอ้น แต่จริงๆแล้วเขาแข็งแกร่งอย่างมาก ที่สำคัญเลยก็คือในสายตาคู่นั้นของเขามีแต่นางเพียงคนเดียว นางก็คือโลกทั้งใบของเขา
“เจ้า เจ้า เจ้า หากไม่ใช่เพราะคนชั่วพวกนั้นใช้แผนการต่ำช้าหลอกจับข้า ขังข้าไว้ ข้าเป็นหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งเชียวนะ” ชายหนุ่มพูดอย่างภาคภูมิใจ เขาเป็นชายหนุ่มรูปงามที่ได้รับการยอมรับในดินแดนอสูรเทพจริงๆ เพียงแต่ตอนนี้อันดับหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว
“ชายรูปงามอันดับหนึ่ง เจ้าว่าเจ้าเทียบกับข้าแล้วเป็นอย่างไร” หลิวหลีไม่ได้จะชมตัวเอง แต่นางเพิ่งรู้ว่าตัวเองได้ตำแหน่งหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งของวังนภาเพลิงซึ่งทุกคนเป็นคนเลือก ถึงแม้นางอยากจะรู้ว่า คนในวังนภาเพลิงคิดได้อย่างไรผู้หญิงอย่างนาง
“เอ่อ เจ้าไม่รู้สึกว่าข้าเป็นผู้ถูกกระทำหรือ” ชายหนุ่มมองท่าทางสง่างามของหลิวหลี แล้วก็มองตนเอง เทียบกันไม่ได้เลย ทว่าชายหนุ่มหัวเสีย เดิมทีก็ไม่ได้อยากจะใช้วิธีนี้หรอกนะ ทันใดนั้นเองดวงตาก็ดูมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้นมาทันที หลิวหลีที่มองอยู่เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์
“ก็คิดแบบนั้นนะ” หลิวหลีพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
“ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยข้าไปเถอะ ข้าคิดถึงบ้านแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวต่อ น้ำเสียงเย้ายวนมากกว่าเดิม
“แล้วเกี่ยวอะไรกับข้า เจ้าฟื้นขึ้นมาก็โวยวายขนาดนี้ ผู้อาวุโสที่บ้านของเจ้ารู้หรือเปล่า” อยู่ๆหลิวหลีก็ไม่ให้ความร่วมมือขึ้นมาดื้อๆ นางทรุดตัวนั่ง ท่านปรมาจารย์เอ๋าเฟิงดูแลอย่างไร สติไม่ค่อยดีแล้วปล่อยให้ออกมาได้อย่างไร มิน่าถึงได้ถูกจับ หลิวหลีมองชายหนุ่มด้วยสายตารังเกียจ
“คนที่บ้าน ใช่แล้ว รีบปล่อยข้าไปสิ ไม่เช่นนั้นหากคนที่บ้านตามหาข้าเจอ เจ้าจะถูกเลาะกระดูกแน่” ชายหนุ่มนึกไม่ถึงว่าเสน่ห์ของตนเองจะไม่ได้ผล แต่พอนึกถึงพลพรรคของตนเองก็รีบพูดอย่างได้ใจ
“จริงหรือ” หลิวหลีลุกขึ้นยืนระเบิดเสียงหัวเราะอย่างอำมหิต พลังอำนาจของอสูรเทพบนร่างกาย ทำให้ชายหนุ่มที่โวยวายอยู่บนเตียงถึงกับเหงื่อตก คนผู้นี้เป็นใคร เหตุใดจึงมีพลังอำนาจของอสูรเทพ อีกทั้งยังเป็นอสูรเทพบรรพกาลเสียด้วย
“เจ้าเป็นใครกันแน่” ชายหนุ่มถูกพลังกดเอาไว้จนพูดติดๆขัดๆ
“ข้า หลิวหลีแห่งสกุลหลง พี่จิ้งจอกท่านนี้ ข้าต้องขอคำแนะนำด้วย” หลิวหลีเก็บพลังเอาไว้ ยิ้มอย่างร่าเริงแล้วพูดขึ้น
“สกุลหลง เจ้าเป็นคนสกุลหลงในดินแดนอสูรเทพ ทำไมถึงมาอยู่ข้างนอก” ชายหนุ่มตกใจ
“ตอนเข้ามา ขุนนางของข้าก็บอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ที่นี่คือตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาเพลิง บังเอิญข้าเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักเวิ่นเทียน” หลิวหลีกล่าวพลางหัวเราะ
“เจ้ามีหลักฐานอะไรแสดงว่าเจ้าเป็นคนสกุลหลง” ชายหนุ่มยังคงไม่เชื่อ
“ปู่ทวดเจ้าคะ” หลิวหลีนำลูกแก้วเซียนขนาดเล็กออกมา หน้าชายชราผู้นั้นก็คือหลงเฟยหยาง
“ท่านปู่เฟยหยาง” ชายหนุ่มหลุดปากออกมาทันที
“เอ่อ หยวนชิงหรือ เจ้าออกไปข้างนอกจนไปถึงที่นังหนูนั่นเลยหรือ ไปตรงนั้นก็ดี นังหนูเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักเวิ่นเทียน เจ้าไปอยู่ตรงนั้นก็จะสบายหน่อย แต่ว่า นังหนูทารุณเจ้างั้นหรือ ทำไมจึงแต่งตัวเช่นนี้ หรือว่านังหนูเสียมารยาทกับเจ้า” หลงเฟยหยางสังเกตเห็นว่าหยวนชิงเสื้อผ้าขาดรุ่ย จึงตกใจเปลี่ยนจากคำว่าล่วงเกินเป็นคำว่าเสียมารยาท
“ปู่ทวดเจ้าคะ อย่าล้อเล่นไปหน่อยเลย เสี่ยวเทียนของข้า คนผู้นี้จะสามารถสู้ได้หรือ อย่าเอาคางคกมาเหมารวมเป็นห่านฟ้า เป็นการดูถูกเสี่ยวเทียนของข้ามากเกินไป” หลิวหลีรู้สึกไม่พอใจ อยากพูดก็พูดไปสิ จะพาดพิงสามีนางทำไม
“อ่ะแฮ่ม ปู่ทวดพูดผิดไป ถ้าเช่นนั้น หยวนชิง เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ออกไปข้างนอกหลายพันปี กลายเป็นเช่นนี้เลยหรือ” หลงเฟยหยางมองไปที่หยวนชิงด้วยความสงสัย ดูน่าเวทนาไม่น้อย
“ท่านปู่เฟยหยาง ไม่ถามจะได้ไหม” จนเจอกับคนในครอบครัวจริงๆ หยวนชิงถึงได้รู้สึกว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้ ไม่เจอกับคนรู้จักจะดีที่สุด
“อ่ะแฮ่ม ปู่ทวดเจ้าคะ เรื่องอื่นค่อยพูดกันหลังพวกเรากลับบ้าน” ยังถือว่าหลิวหลีไว้หน้า ปิดลูกแก้วเซียนทำให้หลงเฟยหยางที่อยู่ตรงหน้าถึงกับร้อนใจ มีเรื่องอะไรที่ปู่ทวดรู้ไม่ได้หรือ
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้ามีอะไรอยากจะพูดหรือไม่” หลิวหลีมองหยวนชิงที่ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“ไม่มี ข้าแค่อยากจะอยู่เงียบๆ” หยวนชิงรู้สึกว่าตัวเองควรจะอยู่เงียบๆสักพัก
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะต้องอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ หากกลับไปพบปู่ทวดในสภาพนี้ ปู่ทวดคงจะพังตำหนักเวิ่นเทียนของข้าแน่” หลิวหลีมองหยวนชิงด้วยสายตารังเกียจ เตียงหลังนี้ของตัวเองคงต้องโยนทิ้งแล้ว แต่ต้องจะไม่ให้คนอื่นเก็บไปจะทำอย่างไรดี ทำลายทิ้งเลยจะดีกว่า
“ไม่หรอก ข้าต้องโง่ขนาดไหนถึงไม่ยอมเชื่อเจ้า ตอนนี้ท่านปู่เฟยหยางรู้เรื่องแล้ว นั่นแปลว่าคนในดินแดนอสูรเทพทุกคนรู้แล้ว” เวลาย้อนกลับไปไม่ได้ ตอนนี้ก็ดีเลย ศักดิ์ศรีของตนเองไม่เหลือแล้ว
“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว” แต่กล้าพูดว่าปู่ทวดของนางเป็นโทรโข่งต่อหน้านาง แสดงว่าไม่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแล้วใช่ไหม
“เจ้าเพิ่งบรรลุเป็นเซียนหรือ” หยวนชิงถามด้วยความสงสัย เขาถูกขังมานานจึงตัดขาดจากโลกภายนอกนานตามไปด้วย
“อืม บรรลุเซียนมาประมาณพันกว่าปีแล้ว” หลิวหลีลองคิดคำนวนดู
ตอนแรกหยวนชิงอคติจึงไม่ได้ตั้งใจมองหลิวหลีดีๆ พอเขาพินิจพิเคราะห์ดู ก็พบว่าเด็กคนนี้มีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภา อีกทั้งยังทรงพลังจนเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็จะไปถึงขั้นเซียนนภานพเก้า เขาช่างโง่เขลาเสียจริง
………………………