“เรื่องของสุ่ยจวินข้าจะไม่ถาม และคงจะไม่มีสิทธิ์ถามอีก แต่พวกเจ้าต้องจำไว้ ทันทีที่พวกเจ้าสองคนสัมผัสได้ว่าตนเองจะบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียน ให้รีบมาหาข้าที่นี่ จงจดจำไว้ว่าต้องมาที่นี่ทันที และเมื่อถึงขั้นนั้นสายเลือดราชวงศ์ของนางจะมีประโยชน์ต่อพลังของพวกเรา และอีกอย่างจะต้องบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนก่อนอสูรที่หลงเหลือของเผ่ามารรัตติกาล ไม่เช่นนั้นเมื่อพวกเขาบรรลุขั้นพลังแล้วเข้ามาแย่งชิงสายเลือดนาง พอถึงเวลาก็อาจจะทำอะไรไม่ได้อีก” จ้านปู้หุ่ยกำชับด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
“ผู้อาวุโส ข้าสองคนจะจำไว้” หลิวหลีรับคำเสียงขึงขัง
“ดีมาก ข้าเองก็คิดได้แล้ว เจ้าสามารถดูดกลืนปราณอสูรก่อนกำเนิดของสุ่ยจวินได้ นั่นหมายความว่าสุ่ยจวินยอมรับเจ้า ข้าก็ไม่มีสิทธิ์จะออกความเห็นอะไร เพียงแต่เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี เพราะเจ้ามีส่วนหนึ่งของสุ่ยจวินอยู่” จ้านปู้หุ่ยกล่าว
หนานกงเวิ่นเทียนไม่พูดไม่จา คนผู้นี้เอาแต่ใช้อารมณ์ คาดว่านังหนูก็คงรู้สึกไม่ดีนัก
หลังจากที่ทั้งสองเดินจากมา สองสามีภรรยาก็เงียบกันอยู่นาน
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้อาวุโสจะเป็นเจ้านายที่ไม่แยกแยะดีชั่วคนนั้น” อยู่ๆหลิวหลีก็พูดขึ้น
“ข้ารู้สึกว่าเรื่องราวหนักมากทีเดียว น้องหญิง เจ้ายังมีเพลิงอัคคีอีกสามประเภท ที่ยังไม่บรรลุ เจ้าต้องเร่งมือแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกเหมือนเวลาค่อนข้างกระชั้นชิด
“ใช่ เราสามารถตามหาเพลิงลมสลาตันที่โลกมาร และไปหาเพลิงดวงใจพสุธาที่ดินแดนนภาพสุธา ส่วนเพลิงนพเก้ามอดนภาอันดับ 1 นั้น ข้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องถามก่อนว่าเพลิงเซียนอันดับแรกของโลกเซียนคืออะไร แล้วให้อาจิ่วกลืนกินมันเข้าไปก็ใช้ได้แล้ว” หลิวหลีกล่าว
“ทำเช่นนี้ก็ได้หรือ?” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่านี่ไม่ค่อยเข้าท่านัก
“ก็เหลือแค่เพลิงอัคคีธาตุลม ไฟและดิน ที่ยังไม่บรรลุ ในเมื่อเพลิงนพเก้ามอดนภาเป็นพี่ใหญ่ของเพลิงอัคคีอื่นๆ เช่นนั้นเพลิงเซียนก็น่าจะเป็นพี่ใหญ่เหมือนกัน” หลิวหลีรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองคาดเดามานี้มีพอเหตุผลอยู่บ้าง
“ข้าไม่รู้ พวกเราไปดินแดนของผู้บำเพ็ญมารนั่นก่อนแล้วกัน” เพลิงลมสลาตันน่าจะต้องใช้เพลิงเซียนในระดับนั้น
ณ ดินแดนผู้บำเพ็ญมาร คนทั้งสองสวมชุดสีทึบแบบผู้บำเพ็ญมาร แต่มีกลิ่นอายที่แตกต่างไป
“บรรยากาศของผู้บำเพ็ญมารจริงๆก็ไม่เลวเลย” หลิวหลีค่อนข้างชื่นชอบ ไม่เหมือนได้กระหายเลือดจนทุกพื้นที่เต็มไปด้วยทะเลเลือดขนาดนั้น เพียงแต่ดูเก่าแก่เล็กน้อย
“ไม่เลวเลย มีการแข่งขันกันที่ชัดเจน มีอะไรไม่พอใจก็คลี่คลายกันตรงๆ” ไม่มีแผนการลอบทำร้ายวางหลุมพรางกัน คิดอะไรก็พูดออกมา ถือว่าใช้ได้ทีเดียว
“อืม รู้สึกว่าจะเข้าใกล้ที่นั่นมากแล้ว ถึงจะเป็นเขตชายแดนแต่ก็มีกลิ่นอายของเพลิงเซียนที่รุนแรง” ตั้งแต่ หลิวหลีเป็นจักรพรรดิเซียน ประสาทสัมผัสก็ยิ่งว่องไวมากขึ้น โดยเฉพาะเพลิงลมสลาตันในร่างกายนางเคลื่อนไหวน้อยๆ จบกัน เจ้าปากมากสงบปากสงบค่ำมานาน คงจะอึดอัดแย่แล้ว
“ใช่แล้ว ไม่สบายเอามากๆ เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเพลิงเซียนที่รุนแรงนี้ จึงส่งผลให้ผู้บำเพ็ญสายมารที่นี่กระหายเลือดมากขึ้น” หนานกงเวิ่นเทียนเองก็รู้สึกได้ว่าพลังในร่างกายของตนเองก็ปะทุขึ้นมา ที่แท้ตนเองก้กระหายการต่อสู้เช่นกัน
“จริงด้วย ข้าอยากต่อสู้ขึ้นมาเลย” หลิวหลีคล้อยไปตามอารมณ์ ไม่ได้ลงมือทะเลาะวิวาทมานาน รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมาแล้ว
“น้องหญิง พวกเราไปทำธุระกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกได้ถึงความกระหายจะต่อสู้อย่างมากของหลิวหลี
“ก็ได้” หลิวหลีสะกดจิตต่อสู้นั้นไว้ แต่ไม่ได้ควบคุมการเคลื่อนไหวของเพลิงลมสลาตัน
ทั้งสองดูเหมือนจะเดินทอดน่อง แต่มาถึงขอบชายแดนของเพลิงเซียนที่รุนแรงนั้นแล้ว
“ท่านพี่ ข้าเข้าไปเอง ถ้าท่านเข้าไป ข้าจะปกป้องท่านไม่ได้” หลิวหลีรู้สึกว่าตนเองพอรับพลังที่ปั่นป่วนรุนแรงนั้นไหว
“ข้าจะรออยู่ตำหนัก มีอะไรก็เรียกข้า” หนานกงเวิ่นเทียนพยักหน้า เขาช่วยพิชิตเพลิงเซียนพวกนั้นไม่ได้จริงๆ
“ตกลง” หลิวหลีไม่ปฏิเสธ
“เพลิงลมสลาตัน พลังนี้เหมือนทำไว้เพื่อเจ้าโดยเฉพาะ ถ้าเจ้าไม่ดูดซับมันล่ะก็คงเสียดายพลังก้อนนี้แย่” หลิวหลีพูดแล้วสาวเท้าเดินต่อไปเป็นระยะหนึ่ง เพลิงลมสลาตันในร่างก็ทะลักหลั่งไหลออกมา และเริ่มฉีกกัดเพลิงเซียนบ้าคลั่ง เพลิงเซียนวิญญาณไม้และเพลิงเซียนหยินหยางในร่างก็ให้พลังหนุน ทำให้เพลิงลมสลาตันมีโล่หนุนที่แข็งแกร่ง จนสุดท้ายก็กัดเข้าฝั่งหนึ่งของเพลิงเซียนคลั่งได้ จนเริ่มมีช่องโหว่ จากนั้นเพลิงลมสลาตันก็เริ่มกัดกินครั้งละมากๆ แต่หลิวหลีกลับต้องรับภาระหนักขึ้น ไม่เพียงต้องเสริมกำลังให้เพลิงลมสลาตัน แถมยังต้องดูดซึมพลังอันรุนแรงของมัน จนในร่างกายค่อยๆมีร่องรอยของความบ้าคลั่งขึ้น
เพลิงเซียนคลั่งถูกดูดซึมไปเป็นจำนวนมาก ย่อมต้องมีผู้บำเพ็ญมารสังเกตเห็นเข้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
“จักรพรรดิมาร คิดไม่ถึงว่าเพลิงเซียนคลั่งกำลังอ่อนแรงลง เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
“คงจะมีคนกำลังซึมซับมันอยู่ หากข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นหลิวหลี จักรพรรดิเซียนจากวังนภาเพลิง” จักรพรรดิมารย่อมล่วงรู้ความประหลาดของเคล็ดวิชาที่หลิวหลีฝึกฝน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเพลิงลมคลั่งที่เป็นสิ่งต้องห้ามในสายตาพวกเขา จะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาจักรพรรดิเซียนหลิวหลี
“จักรพรรดิมาร พวกเราควรไปขัดขวางหรือไม่?”
“ไม่ต้อง ส่งคนไปขับไล่คนที่อยู่แถวนั้นออกไป อย่าให้รบกวนจักรพรรดิเซียนหลิวหลี หากนางซึมซับมันได้ก็จะส่งผลดีต่อโลกมารของเราเช่นกัน” จักรพรรดิมารออกคำสั่ง
“พะยะค่ะ”
“ข้าอยากจะรู้นัก ว่าจักรพรรดิเซียนหลิวหลีผู้นี้รู้จักที่แห่งนี้ได้อย่างไร อืม ต้องลองถามจักรพรรดินภาเพลิงดูเสียหน่อยแล้วตอนคุยกัน” เมื่อข้ารับใช้ออกไป เขาก็พึมพำกับตัวเอง
หลิวหลีไม่รู้เรื่องพวกนี้แน่ชัดนัก นางยังคงจัดการสองอย่างพร้อมกัน หนึ่งคือช่วยเหลือเพลิงลมสลาตัน พร้มกันนั้นก็จัดการกับกลิ่นอายคลั่งจากเพลิงลมสลาตันที่ยังกำจัดไม่หมด หนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่ในวังเซียนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เมื่อออกมาก็พบว่าสีหน้าของหลิวหลีไม่สู้ดีนัก เหมือนนางกำลังจะระเบิดอยู่รอมร่อ จึงรีบร้อนถ่ายพลังเซียนเหมันต์ของตนเข้าไปเพื่อช่วยหลิวหลีสะกดพลังที่ปั่นป่วน ด้วยความช่วยเหลือจากหนานกงเวิ่นเทียน ทำให้อารมณ์ฉุนเฉียวในร่างกายหลิวหลีสงบลง และค่อยๆได้สติกลับมา และจดจ่อกับการจัดการเพลิงเซียนคลั่งตรงหน้า
“จดจ่อ ข้าจะสะกดความคลั่งในร่างเจ้า” หนานกงเวิ่นเทียนพูดกับหลิวหลี
แม้หลิวหลีจะไม่ได้ตอบกลับไป แต่กลับจัดการกับเพลิงเซียนบ้าคลั่งที่เหลืออยู่เล็กน้อยอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้น จนเกือบทำให้นางเสียสติไป รอนางพิชิตได้ นางจะต้องสั่งสอนเพลิงลมสลาตันให้มากสักหน่อยเกินไปเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะไม่สนใจร่างกายของนางผู้เป็นนายเช่นนี้
กลิ่นอายของเพลิงลมสลาตันปั่นป่วนรุนแรง ทันใดนั้นท้องฟ้าก็ครึ้มลงไป เพลิงลมสลาตันกลืนกินเสี้ยวสุดท้ายของเพลิงเซียนบ้าคลั่งเข้าไป หมุนวนในอากาศอยู่หนึ่งรอบและลอยกลับเข้าไปในร่างของหลิวหลี เส้นลมปราณที่มีเพลิงลมสลาตันอยู่นั้นกลายเป็นสีเทา หมุนวนในร่างหลิวหลีอยู่หลายร้อยรอบ กำจัดพลังคลั่งที่ชั่วร้ายออกไปจนหมด จนสุดท้ายก็กลับไปอยู่ในเส้นลมปราณที่มันเคยอยู่
“นายท่าน ข้าเพลิงเซียนลมสลาตันกลับมามีชีวิตแล้ว ฮ่าๆ”
ทั้งท้องฟ้าในโลกเซียนกลายเป็นสีเทา ปรากฎตัวอักษรขึ้นมาว่า ‘เพลิงเซียนลมสลาตัน’ เสียงดังโครมครามดังขึ้นจากการถือกำเนิดขึ้นของเพลิงเซียนที่มีพลังทำลายล้างรุนแรง ทุกคนที่รู้เรื่องเข้าใจทันทีว่าหลิวหลีทำให้เพลิงอัคคีบรรลุเป็นเพลิงเซียนอีกแล้ว หลิวหลีที่เป็นเช่นนี้ดูจะน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก ใครจะกล้าเป็นศัตรูกับนาง ไม่ว่าจะเพลิงเซียนแบบไหน นังหนูก็กล้าพิชิตทั้งสิ้น
“หุบปาก เมื่อครู่เจ้าเกือบจะทำร้ายนายท่านแล้ว” ไท่จี๋ตำหนิด้วยความโกรธจัด ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่มันเกือบจะกดพลังเอาไว้ไม่ไห้ หากไม่เพราะสามีของนายท่านปรากฏกายได้ทันเวลา สุดท้ายนายท่านอาจจะเสียสติไปก็ได้
“เอ่อ พี่รอง ข้ากำจัดมันแล้วนี่อย่างไร” เพลิงลมสลาตันกระอักกระอ่วนเล็กน้อย มันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าในพลังคลั่งที่นี่จะมีพลังลบมากขนาดนี้ จนเกือบทำร้ายนายท่านเสียแล้ว แต่จะให้มันถอยก็ไม่ได้ ทำได้เพียงรวบรวมพลังจัดการให้เสร็จๆไปในคราวเดียว
“เป็นแบบนี้หรือ?”
“อย่าทะเลาะกัน” หลิวหลีนวดหว่างคิ้ว รู้อยู่แล้วว่าพวกปากมากนี้พอบรรลุขั้นแล้วจะพูดมากขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าไท่จี๋จะกลายเป็นพวกปากมากไปด้วย แม้ว่าจะทำไปเพื่อนาง แต่จะให้นางอยู่อย่างสงบสุขสักพักไม่ได้เลยหรือ
“น้องหญิง พวกเรากลับวังเซียนกันเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าสถานการณ์ของหลิวหลีไม่ค่อยดีนัก
“สามีของนายท่านไหนเลยจะมีของให้เขาเก็บ” เพลิงเซียนลมสลาตันพูด หนานกงเวิ่นเทียนเก็บของมาโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองอีกฝ่าย แล้วกลับเข้ามิติเทพไป