แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 306 สองในห้ากับสามในสิบ

ตอนที่ 306 สองในห้ากับสามในสิบ

“คุณงามความดีไม่สิ้นสุด เกิดภพใหม่บำเพ็ญเพียรอีกครา เส้นทางเซียนราบรื่นไร้อุปสรรค คนรักเคียงคู่ข้างกายกัน” ดวงตาของหลิวหลีเปล่งประกายขณะกล่าว

“หมายความว่าข้าจะได้บำเพ็ญเพียรอีกครั้ง แล้วยังมีฮูหยินที่รู้ใจด้วย ฮ่าๆ ไม่ว่าจะจริงหรือหลอก ข้าก็ขอบคุณเจ้ามากหลิวหลี” จ้านปู้หุ่ยพูดพลางหัวเราะ

“ผู้อาวุโส ท่านจะต้องมีความสุขมาก ท่านมีความดีความชอบเรื่องปราบเยี่ยหนีฉางเชื้อพระวงศ์ของเผ่ามารรัตติกาล แน่นอนว่าสวรรค์ต้องยอมรับคุณงามความดี ถึงได้ให้กลับชาติมาเกิดเพื่อบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง” หลิวหลีพูดอย่างจริงจัง

“นอกจากนั้นผู้อาวุโสจะได้กลายเป็นคู่รักเซียนกับคนที่ท่านคิดถึงมากที่สุด” หลิวหลีเสริม

“คนที่ข้าคิดถึงมากที่สุด” จ้านปู้หุ่ยคิดถึงสุ่ยจวินอีกครั้ง หมายความว่าสุ่ยจวินก็ได้กลับชาติมาเกิดเช่นกันหรือ แล้วพวกเขาก็จะได้พบกันอีกครั้ง แล้วยังได้เคียงคู่กัน ต่อให้เป็นเพียงฝัน เขาก็ชอบความฝันนี้มากทีเดียว

“ผู้อาวุโส ฮูหยินของข้าเป็นคนที่เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาให้ความเคารพ คำพูดของนางไม่ต่างจากเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาหรอก” หนานกงเวิ่นเทียนพูดเสริม

“พวกเจ้าเคยเจอเซียนหยั่งรู้ดวงชะตาแล้วหรือ” จ้านปู้หุ่ยตกใจเล็กน้อย เซียนหยั่งรู้ดวงชะตาเป็นใครกัน เหตุใดจึงยอมพบราชาเซียนมือใหม่สองคนนี้ แถมดูท่าทางจะสนิทสนมกันมากเสียด้วย

“ใช่ แถมเซียนหยั่งรู้ดวงชะตายังช่วยเหลือนางไม่น้อย หนำซ้ำเซียนหยั่งรู้ดวงชะตารุ่นต่อไปหลิวหลีก็เป็นคนเลือก” หนานกงเวิ่นเทียนบอกว่าคำทำนายของหลิวหลีนั้นแม่นยำแน่

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกคุ้มค่า คุ้มค่าแล้ว พวกเจ้าลงมือเถอะ” ขนาดเซียนหยั่งรู้ดวงชะตารุ่นต่อไปนังหนูก็ยังเป็นคนเลือก ไม่ต้องคลางแคลงใจแล้ว หลิวหลีคงจะมีพรสวรรค์แสนขี้โกงนี้ นังหนูไม่เลวเลยจริงๆ ดีมาก ดีมาก

“ผู้อาวุโสปู้หุ่ย ท่านจะรำลึกถึงความทรงจำเรื่องนี้ได้ตอนบรรลุเซียน” หลิวหลีกล่าว

“เข้าใจแล้ว หลิวหลี แล้วก็เจ้าหนุ่ม มานี่สิ เริ่มกันเลย”

“ไม่นะ ไม่ ปู้หุ่ย เจ้าจะทำกับข้าอย่างนี้ไม่ได้” เยี่ยหนีฉางคลุ้มคลั่ง นางเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของเผ่ามารรัตติกาลที่สูงส่ง ทำไมถึงต้องโดนผู้บำเพ็ญสองคนนี้แย่งชิงพลังของนางไป ต่อให้หากต้องมอบพลังของนางให้คนอื่น ก็ต้องให้เชื้อพระวงศ์เผ่ามารรัตติกาลของนางเท่านั้น ทำไมสายเลือดราชาผู้นั้นยังไม่บรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนอีก ทำไมกัน

ไม่มีใครสนใจเยี่ยหนีฉาง หลิวหลีทรุดตัวนั่งลงทางซ้ายของจ้านปู้หุ่ย ส่วนหนานกงเวิ่นเทียนนั่งลงตรงกลางของทั้งสอง พวกเขาสามคนวางฝ่ามือทับกัน จ้านปู้หุ่ยหลับตาลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม พลังเซียนในร่างผสมปนเปกับพลังพิเศษและถูกถ่ายทอดไปให้คนทั้งสอง ส่วนหลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียนรับพลังก้อนนี้ได้อย่างสบายใจ

จ้านปู้หุ่ยรู้สึกได้ว่าความเร็วในการดูดซับพลังในทั้งสองฝั่งของตนเองนั้นแตกต่างกัน ดูเหมือนว่าหลิวหลีจะสามารถดูดซับพลังทั้งหมดได้ทันที แต่เจ้าเด็กนั่นจำเป็นต้องผ่านการคัดกรองแยกแยะให้กลายเป็นส่วนที่เขาต้องการ จึงทำให้ช้ากว่านังหนู

ณ วังสุวรรณนภา เยี่ยชิงขวงรู้สึกได้ถึงปราการที่ขวางกั้น ดีมากเหลือเกิน ตนสามารถไปชิงสายเลือดราชวงศ์มาได้ เยี่ยชิงขวงใช้วิชาของตนวาดค่ายกล โดยมีตนเองนั่งอยู่ตรงกลาง บนร่างกายเองก็ถูกวาดด้วยลวดลายยุ่งเหยิง เผยให้เห็นรูปแบบค่ายกลที่แปลกประหลาดราวกับกำลังทำพิธีบางอย่าง

“จะเริ่มแล้วหรือ ถึงเวลาที่เผ่ามารรัตติกาลของข้าจะกลับมาปกครองโลกเซียนอีกครั้ง” ขุนนางเซียนมองไปทางเยี่ยชิงขวงแล้วพึมพำกับตัวเอง พวกเขาเหล่านี้ที่ถูกเรียกว่ามารที่เหลือของเผ่ามารรัตติกาล ในที่สุดก็จะได้ประกาศตัวสู่โลกภายนอกแล้ว พวกมนุษย์ มาร หรืออสูรเทพที่ยังรังแกกดขี่เผ่าพวกเขาอยู่ คอยดูเถอะ

ส่วนอีกฟาก คนทั้งสองก็ดูดซับพลังกันอย่างไม่หยุดหย่อน ในตอนแรกเยี่ยหนีฉางยังคงกรีดร้องโหยหวน จนสุดท้ายก็เงียบไปราวยอมรับในโชคชะตา ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง สองคนดูดซับไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองเยี่ยหนีฉางรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูด นี่มัน สายเลือดราชาต้องการเลือดเชื้อพระวงศ์เพื่อบรรลุขั้นพลังนี่นา เยี่ยหนีฉางเริ่มดิ้นรน เพราะความสัมพันธ์ของเผ่าเดียวกัน ทำให้แม้พวกเขาจะไม่เคยพบหน้ากันแต่กลับดูดซับพลังด้วยความรวดเร็วที่มากขึ้น

“แย่แล้ว คนในเผ่ามารรัตติกาลที่หลงเหลืออยู่ก็ถึงบรรลุขั้นพลังจักรพรรดิเซียนแล้วเหมือนกัน เขากำลังแย่งชิงพลังสายเลือด พวกเจ้าเร่งมือเข้า” จ้านปู้หุ่ยย่อมสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของผนึกของตนเอง อีกทั้งเยี่ยหนีฉางยังยินยอมพร้อมใจอีก แย่แล้ว

หลิวหลีรับรู้ได้ถึงความเร็วที่ต่างออกไป จึงกัดฟันโคจรเคล็ดวิชา และแล้วเส้นลมปราณทั้งแปดก็โคจรอย่างบ้าคลั่ง หนานกงเวิ่นเทียนก็เพิ่มความเร็วในการโคจรพลัง และทั้งสามคนก็เริ่มแย่งชิงพลังกัน

“มีคนกำลังแย่งชิงสายเลือดราชวงศ์กับข้า น่าสนุกนัก” เยี่ยชิงขวงรู้สึกได้ถึงความเหลาะแหละของฝ่ายตรงข้าม ไม่รู้หรือว่าเขาได้เปรียบมากกว่าหรือไม่นะ จะได้อาศัยโอกาสนี้แย่งชิงพลังบำเพ็ญเพียรของฝ่ายตรงข้ามมาด้วยพร้อมกัน

จื่อฉีมาถึงปากถ้ำอย่างตื่นเต้น ไม่รู้ว่าพอผู้อาวุโสรู้ว่าตนจะมีทายาท จะดีใจมากและมีความสุขแทนตนไหมนะ

หลิวหลีรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ดูเหมือนเยี่ยหนีฉางอยากมอบพลังสายเลือดทั้งหมดของตนเองให้กับอีกฝ่ายมาก อีกทั้งนางยังสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าพลังเซียนของตนไหลเวียนไปหาฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อย นี่เป็นการทำลายกฎแล้ว หลิวหลีส่งเพลิงเซียนหยินหยางที่โคจรอยู่ในร่างกายเข้าไปในร่างของจ้านปู้หุ่ย หลังจากนั้นตรงไปยังจุดที่ผนึกเยี่ยหนีฉางไว้ และใช้พลังเซียนผนึกไว้อีกชั้นหนึ่ง แต่นางกลับเพิ่มความเร็วในการดูดซึมพลัง กระทั่งเกินขอบเขตที่นางจะรับไหว นางยอมสลายพลังส่วนนี้ทิ้งไปในตอนสุดท้าย ดีกว่ามอบมันให้กับคนที่เหลืออยู่ของมารรัตติกาล การกระทำเช่นนี้ของหลิวหลีย่อมปิดบังจ้านปู้หุ่ยไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือยังเข้าไปในร่างของเขาอีก ช่างเถอะ เขาจะช่วยเหลือเด็กสองคนนี้เป็นครั้งสุดท้าย จ้านปู้หุ่ยเริ่มแผดเผาพลังชีวิตของตนเอง เยี่ยชิงขวงคิดไม่ถึงว่าจะมีแรงสกัดกั้นมากเช่นนี้ แม้ว่าเขาใช้ข้อได้เปรียบจากสายเลือดก็ยังไม่ช่วยอะไร

เมื่อจื่อฉีเข้าไปในถ้ำก็รู้สึกถึงความผิดปกติ มีพลังที่แข็งแกร่งมาก เกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโส เขารีบเข้าไป แล้วก็เห็นพี่สาวของเขากับพี่เขยอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน ดูเหมือนท่านพี่จะเจ็บปวดมาก

“ท่านพี่ พี่เขย ผู้อาวุโส พวกท่านกำลังทำอะไรกันอยู่” จื่อฉีส่งเสียงออกมา

“จื่อฉี มานี่” มาได้ทันเวลาจริงๆ หลิวหลีข่มความเจ็บปวดไว้ นางดึงจื่อฉีมา คว่ำมือขวาลงบนมือขวาของจื่อฉี ส่งต่อพลังที่ตนดูดซับมามากเกินไปให้จื่อฉี

สุดท้ายการต่อสู้แย่งชิงครั้งนี้ก็จบลงพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันโศกเศร้าครั้งสุดท้ายของเยี่ยหนีฉาง พวกเขาเก็บมือพร้อมกัน

“สองในห้าส่วน” หลิวหลีสัมผัสดูว่าตนดูดซับพลังมาได้มากแค่ไหน

“หนึ่งในห้าส่วน” หนานกงเวิ่นเทียนระอาใจ เฮ้อ เขายังเทียบกับหลิวหลีไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าจะต่างกันเยอะขนาดนี้

“หนึ่งในสิบส่วน” จื่อฉีสัมผัสดูครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกมา ดูเหมือนว่าหากตนเองย่อยสลายพลังนี้แล้วจะสามารถบรรลุขั้นราชาเซียนได้ แล้วยังพัฒนาไปได้มาก

“น่ารังเกียจนัก ดูดซับมาได้เพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น” เยี่ยชิงขวงโกรธแค้นเล็กน้อยแม้แต่ครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ถึง แต่ทว่าเท่านี้ก็เพียงพอให้เขาบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนได้ อย่างไรเสียต่อไปภายหน้าพบกันเขายังชิงพลังกลับมาได้

จ้านปู้หุ่ยดูเหมือนสูญเสียครึ่งหนึ่งไป ผมและขนตากลายเป็นสีขาว ดวงตาเหลือเพียงสีแดงอ่อนเพราะเยี่ยหนีฉางสลายไปแล้ว

“ฮ่าๆ นังหนู เจ้าหนู ดีมาก ต่อไปภายหน้าก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้ว ตาแก่อย่างข้าเหนื่อยแล้ว อยากพักผ่อน ข้าคิดว่าไม่นานเราคงได้พบกันอีก” จ้านปู้หุ่ยโปร่งแสงสีทอง แล้วค่อยๆหายไปช้าๆ ในช่วงที่เลือนลางนั้น เหมือนจ้านปู้หุ่ยจะมองเห็นสุ่ยจวิน มารับเขาหรือ

ในเวลาเดียวกัน ทุกคนในโลกเซียนก็สัมผัสได้ว่ามีจักรพรรดิเซียนได้จากโลกนี้ไป

“นี่มันบรรพชนจ้านปู้หุ่ยนี่ ทำไมถึงได้…” หลงเฟยหยางสัมผัสได้ หรือว่าบรรพชนปู้หุ่ยที่สะกดสายเลือดเยี่ยหนีฉางของเผ่ามารรัตติกาล ซึ่งเป็นเรื่องที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น หรือว่านี่จะแปลว่าเชื้อพระวงศ์ของเผ่ามารรัตติกาลก็ดับสูญไปด้วยเช่นกัน

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset