แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 37 พิชิตเพลิงอัสนีคราม

“ข่าวดีก่อนแล้วกัน” เอาความสุขสร้างให้อารมณ์ดีก่อนดีกว่า
“ไฟของกินเลนตัวนี้คือเพลิงอัสนีคราม”
“อยู่ในลำดับที่ 30 ของอันดับเพลิงอัคคี” เอ๋าเลี่ยเห็นสีหน้าตกใจของหลิวหลี จึงพูดเสริมขึ้น
ในใจของหลิวหลีไม่ได้นิ่งสงบนัก คิดไม่ถึงว่าสาเหตุที่ตัวเองดึงดันไม่ไปไหนก็เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง เพลิงอัสนีครามเป็นโชคชะตาและโอกาสของนาง
“ถ้าอย่างนั้น ข่าวร้ายล่ะ” หลิวหลีพยายามสงบสติอารมณ์แล้วพูดขึ้น
“ข่าวร้ายก็คือ หากกิเลนตัวน้อยนั้นไม่ยอมออกมา ด้วยความที่มันร่างกายอ่อนแอก็อาจจะตกเป็นของบำรุงให้กับเพลิงอัสนีคราม ซึ่งจะทำให้มนุษย์ทั้งโลกต้องประสบกับภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่” เอ๋าเลี่ยพูด
“อะไรนะ” นี่เป็นข่าวร้ายจริง ๆด้วย แนวเขตต้องห้ามนี้นางก็ทำลายไม่ได้อีก ทำอย่างไรดี กิเลนตัวน้อยน่ารักขนาดนี้จะถูกเพลิงอัคคีกินเข้าไปได้อย่างไรกัน
มองดูกิเลนที่แทะเปลือกไข่อย่างตั้งใจ โดยไม่รับรู้อันตรายที่กำลังคืบคลานมา เพลิงอัคคีสีม่วงรอบตัวมันสว่างขึ้น หลิวหลีเริ่มกระวนกระวายใจ จะทำอย่างไรจึงจะล่อให้อสูรน้อยมาตรงนี้ได้นะ
“อาเลี่ย ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของอสูรน้อยอยู่ประมาณไหนแล้ว”
“ช่วงพื้นฐานมั้ง แทะเปลือกไข่หมดก็น่าจะบรรลุช่วงบำเพ็ญศีล” เอ่อ หลิวหลีจะถามเรื่องนี้ทำไม สวรรค์เอนดูอสูรเทพนัก เกิดมาก็มีพลังบำเพ็ญเพียรค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
“ถ้าอย่างนั้นยาวิญญาณอสูรน่าจะช่วยได้ ถ้าไม่ได้ก็ใช้ขนมต่างๆของเจ้าด้วย ข้าจะใช้ความหอมล่อมันออกมา”
เอ๋าเลี่ยทำท่าทีดูแคลนแผนของหลิวหลี แต่เขาก็ไม่มีหนทางอื่น เรื่องทำลายแนวเขตต้องห้ามนี้ เอ๋าเลี่ยบอกว่าหากเป็นร่างเดิมของเขาคงทำลายแนวเขตต้องห้ามเละเป็นโจ๊กได้ภายในชั่วพริบตา
หลิวหลีมีความคิดเป็นของตัวเอง กิเลนน้อยตัวนี้เพิ่งเกิดมาต้องยังไม่ได้กินอะไรแน่นอน ถึงนางจะเข้าใจว่าเปลือกไข่เป็นของบำรุงของมัน แต่อาหารที่มีกลิ่นหอมน่าจะสามารถดึงดูดสัตว์น้อยได้ดีกว่า หลิวหลีนำยาวิญญาณอสูรและเนื้อย่างน้ำผึ้งออกมา ใช้ยันต์ขยายกลิ่นเพื่อให้กลิ่นหอมโชยออกไป เพราะเอ๋าเลี่ยบอกว่าเขตแดนต้องห้ามไม่สามารถกั้นกลิ่นได้
จนหลิวหลีทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็มองกิเลนน้อยที่อยู่ตรงหน้า อืม…มันเพิ่งจะเกิด นางหยิบของผิดรึเปล่านะ นางน่าจะหยิบของพวกที่ทำจากนม
ในขณะที่หลิวหลีกำลังสับสนว่าจะเปลี่ยนอาหารดีหรือไม่ กิเลนน้อยก็เหมือนได้กลิ่นอาหารของนาง มันรีบเขมือบเปลือกไข่จนหมดภายในไม่กี่คำแล้วรีบพุ่งมาทางนี้อย่างทุลักทุเล หลิวหลีจึงรีบให้เอ๋าเลี่ยกางเขตแดน และนำของที่จำเป็นต้องใช้ในการหลอมรวมเพลิงอัคคีออกมาด้วย
กิเลนน้อยทำจมูกฟุดฟิดหาที่มาของกลิ่นหอมนั้น เพลิงอัสนีครามที่อยู่ข้างๆก็ลุกโหมขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งกิเลนน้อยชนเข้ากับแนวเขตต้องห้าม มันก็พบว่ามันไปไหนไม่ได้ ทันใดนั้นเองมันก็ลืมตาขึ้นมา หลิวหลีตกตะลึงในความงามของดวงตาคล้ายอัญมณีสีม่วงของกิเลนน้อย กิเลนน้อยร้อนใจอยากจะรีบมาหานางแต่กลับไปไม่ได้
กิเลนน้อยที่ร้อนใจเป็นอย่างมากเริ่มกัดกินแนวเขตต้องห้าม แนวเขตต้องห้ามที่เอ๋าเลี่ยบอกว่าไม่สามารถทำลายได้กลับถูกกิเลนน้อยตัวนี้กินเรียบ เอ๋าเลี่ยตกตะลึง นี่กลายพันธุ์ไปไกลมากจริง ๆ
“นังหนู เร็ว” เอ๋าเลี่ยตะโกน
หลิวหลีกินของที่ต้องใช้ในการหลอมรวมเพลิงอัคคีทั้งหมด ยื่นมือออกมา เริ่มโคจรพลัง เพลิงอัสนีครามกลายเป็นกระแสไฟฟ้าสีม่วงค่อยๆไหลเข้าร่างนาง ส่วนกิเลนน้อยในอ้อมกอดเอ๋าเลี่ยกำลังกินเนื้อย่างน้ำผึ้งอย่างมีความสุข
พอเพลิงอัสนีครามไหลเข้าร่างหลิวหลี เพลิงบุปผาเหมันต์ในร่างกายก็ตื่นตัวขึ้นมา เพลิงอัคคีทั้งสองฟาดฟันกัน สร้างความเสียหายในร่างกายของหลิวหลีอย่างมาก หลิวหลีกัดฟัน เจ็บมากจริงๆ ร่างกายราวกำลังถูกแยกออกจากกัน หลิวหลีพยายามตั้งสติ เริ่มโคจรเคล็ดวิชา เนื่องจากเพลิงบุปผาเหมันต์เป็นเพลิงในร่างนาง หลิวหลีเพิ่มพลังของเพลิงบุปผาเหมันต์เพื่อสะกดเพลิงอัสนีครามไว้อยู่ในเส้นลมปราณไม่ให้ขยับไปไหน ค่อยๆทำให้มันโอนอ่อนลง พอเพลิงอัสนีครามพบว่ามันไปไหนไม่ได้แล้ว จึงปล่อยอัสนีม่วงที่มีพลังทำลายล้างสูงออกมา หลิวหลีร้องเสียงหลง เพียงไม่นานเพลิงอัสนีครามก็พบว่าตัวเองดันทุรังทำลายต่อไม่ได้แล้วจึงจำยอมหลอมรวมเข้ากับเส้นลมปราณ ภายในร่างกายของหลิวหลีมีเส้นลมปราณสีม่วงเพิ่มขึ้นมาอีกเส้น เพลิงอัสนีครามกลายเป็นของเหลวสีม่วงไหลเวียนซ่อมแซมร่างกายที่ได้รับความเสียหายเมื่อครู่ พลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีก็ขึ้นมาที่ช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลายทันที
บนท้องฟ้าปรากฏสัญลักษณ์มงคล มังกรตัวน้อยคำรามขึ้นฟ้า เกล็ดบนตัวกลายเป็นสีฟ้ากับสีม่วง มังกรมีขนาดโตขึ้นมาก
“นี่เป็นสัญลักษณ์มงคล” หลงจิ่งหลินกล่าวอย่างประหลาดใจ ไม่ใช่ว่าทุกคนในสกุลหลงทุกคนจะมีนิมิตเป็นมังกร นี่เป็นสุดยอดผู้ถูกเลือกจริง ๆ
หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่านี่เป็นภาพนิมิตในการบรรลุช่วงพลังของหลิวหลี
“หลิวหลีอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้”
“เจ้าบอกว่าหลิวหลีอยู่แถวนี้หรือ เจ้ารู้ได้อย่างไร เด็กสกุลหนานกง” หลงจิ่งหลินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“หลิวหลีน่าจะบรรลุช่วงบำเพ็ญศีลแล้ว นี่น่าจะเป็นภาพนิมิตของนาง” หนานกงเวิ่นเทียนอธิบาย
“พลังบำเพ็ญเพียรของหลานสาวข้าไม่เลวเลย” หลงจิ่งหลินตกตะลึง ได้ยินมาว่าหลานสาวเพิ่งจะอายุ 18 ปีเอง อย่างนี้แสดงว่าต้องเป็นผู้ถูกเลือกและเป็นคนของสกุลหลงอย่างแน่นอน
“ขอรับ” หนานกงเวิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับในพรสวรรค์และความเร็วในการบำเพ็ญเพียรของหลิวหลี ขนาดโลกอสูรเทพยังไม่ค่อยจะมี
ฮ่าฮ่า เมื่อคิดไปถึงนังหนูสกุลจ้านที่ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ เมื่อเทียบกับหลานสาวของเขาแล้วก็ถือว่าห่างชั้นอยู่มาก หากเขาจำไม่ผิด นังหนูบ้านสกุลจ้านคนนั้นบรรลุช่วงบำเพ็ญศีลตอนอายุ 25 ปี ยิ่งคิดหลงจิ่งหลินก็ยิ่งอยากจะพาตัวหลิวหลีกลับไป
หลิวหลีโคจรพพลังเซียนในร่างกายหลายรอบ พลังบำเพ็ญคงที่อยู่ที่ช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลาย ตอนนี้หากนางฝึกบำเพ็ญต่ออีกสักพัก หรือไม่ก็หาเพลิงอัคคีที่ต้องการเจอ นางก็จะบรรลุช่วงอมตะแล้ว
หลิวหลียื่นมือขวาออกมา กระแสไฟฟ้าสีม่วงเต้นระเร่าอยู่บนมือของหลิวหลี นางยื่นมือซ้ายออกมา ดอกบัวสีฟ้าก็เปล่งแสงระยิบระยับ พอนำสองมือประกบเข้าด้วยกัน ก็เกิดดอกบัวสีม่วงตระการตาขึ้น และมีกลิ่นอายที่รุนแรงมากด้วย
เอ๋าเลี่ยที่อยู่ข้างๆก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน จู่ๆก็มีก้อนกลมๆขึ้นมาบนหัวเขาสองอัน บนก้อนนั้นก็มีกิ่งไม้งอกขึ้นมาด้วย ใบหน้างูก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน อย่างน้อยหลิวหลีก็รู้สึกว่าทนดูได้มากขึ้น
“อาเลี่ย เจ้าน่ามองขึ้นมากเลย” หลิวหลีก็ยังคงดูไม่ออกว่านี่คือมังกรที่นางเฝ้าถวิลหา
กิเลนน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเอ๋าเลี่ยก็ได้กลิ่นบนตัวของหลิวหลี พยายามตะเกียกตะกายเข้าหาหลิวหลี หลิวหลีรีบรับเจ้ากิเลนตัวน้อยมาลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู กิเลนตัวน้อยใช้หัวคลอเคลียมือของหลิวหลี
“ฮ่าฮ่า เจ้าหนูน้อย เจ้าช่างน่ารักจริงๆ” ตาของนางจะกลายเป็นรูปหัวใจอยู่แล้ว ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ
กิเลนเอียงคอมองหลิวหลีเหมือนไม่เข้าใจว่าหลิวหลีกำลังพูดอะไร มันเหมือนจะคิดอะไรออก กิเลนน้อยกรีดเลือดบนนิ้วตัวเองใส่ปากหลิวหลี แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถสร้างพันธสัญญาได้
“เจ้าหนูน้อย นี่คือคู่พันธสัญญาของข้า” เอ๋าเลี่ยพูดอย่างได้ใจ
กิเลนน้อยคลอเคลียหลิวหลี แล้วก็ไม่รู้ไปทำท่าไหนใส่เอ๋าเลี่ย สีหน้าของเอ๋าเลี่ยดูจริงจังขึ้นมา เจ้าหนูน้อยบอกว่าบนตัวของหลิวหลีมีกลิ่นอายความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมันจึงอยากทำพันธสัญญากับนาง บนตัวของหลิวหลีมีกลิ่นอายกิเลนด้วยหรือ นั่นหมายความว่าบิดาของนางอาจจะเป็นคนสกุลจ้านสินะ
“เจ้าหนูน้อย ถึงแม้จะทำพันธสัญญากับเจ้าไม่ได้ แต่เจ้ายินดีที่จะติดตามข้าไหม” หลิวหลีพูดขึ้นพลางลูบตัวอสูรน้อย
กิเลนน้อยพยักหน้า แล้วเข้าถูคลอเคลียกับมือของหลิวหลี
“จริงหรือ เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้กับเจ้า เจ้าชื่อจื่อฉีแล้วกัน” จื่อฉีที่หมายความว่ากิเลนสีม่วงแล้วกัน
อสูรน้อยชอบชื่อนี้เป็นอย่างมาก มันเข้าไปพะเน้าพะนอหลิวหลีอีกครั้ง
“เอาล่ะ พวกเราควรออกไปได้แล้ว”
จื่อฉีผละตัวออกจากอ้อมกอดของหลิวหลี กลับเข้าไปในแนวเขตต้องห้ามแล้วนำหินสีฟ้าก้อนหนึ่งออกมาวางไว้บนมือของหลิวหลี
“ให้ข้าหรือ”
จื่อฉีพยักหน้า มันคือลูกแก้วเซียนวารี หลิวหลีรับมาใส่เข้าไปในหม้อปรุงยาสามัญ ดูแล้วนางสามารถเก็บธาตุน้ำกับธาตุไม้ได้ครบแล้ว
พอโผล่พ้นน้ำทะเล ก็มีแสงสีทองจากฟ้าลงมาห่อหุ้มตัวหลิวหลีไว้ เอ๋าเลี่ยตกใจ เพราะมันคือแสงทองแห่งบารมี
…………………………………………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset