แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 40 ว่ากันด้วยเรื่องของหลิวหลี

“เจ้าสาม หลิวหลีจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคีใช่ไหม? บ้านสกุลหลงของเรามีเพลิงมังกรฟ้าประทาน นังหนูต้องการหรือไม่” หลงเหวินเซวียนนิ่งไปสักพักแล้วถามขึ้น
“ท่านพ่อ เพลิงอัคคีที่นังหนูต้องการมีเงื่อนไขที่ค่อนข้างมาก ต้องเป็นเพลิงอัคคี 9 ธาตุเท่านั้น อีกทั้งเพลิงอัคคีธาตุไฟจำเป็นต้องเป็นเพลิงนพเก้ามอดนภาที่อยู่ในอันดับหนึ่งของการจัดอันดับเพลิงอัคคีเท่านั้น” เฮ้อ ตอนนั้นเขาก็ตั้งใจพูดแบบนั้นเหมือนกัน ใครจะไปรู้ว่าเพลิงอัคคีก็แบ่งประเภทด้วย แบ่งประเภทไม่พอยังมีลำดับด้วย เพลิงมังกรฟ้าประทานของพวกเขาอยู่แค่อันดับที่ 18 เท่านั้นไม่เพียงพอจริงๆ
“มิน่าทุกคนต่างรับรู้ความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ แต่กลับไม่มีใครฝึกสำเร็จ เกณฑ์ของเพลิงอัคคีที่ใช้ฝึกยากเอาเรื่องเลย” พี่ใหญ่หลงจิ่งอู๋พูดขึ้น
“เป็นเช่นนั้น สำหรับนางแล้วความยากอาจจะน้อยลงมาหน่อย เพราะว่านางเป็นร่างวิญญาณอัคคี อีกทั้งยังเป็นร่างเพลิงสุริยาอีก คิดดูแล้วคุณสมบัติร่างกายของนางก็มีข้อได้เปรียบอยู่บ้าง” หลงจิ่งหลินขบคิดพลางกล่าวขึ้น
“เจ้าสาม เมื่อกี้เจ้าบอกว่านังหนูเป็นร่างเพลิงอะไรนะ” หลงเหวินเซวียนคิดว่าช่วงนี้ตัวเองบำเพ็ญมากเกินไป หูไม่ค่อยจะดีแล้ว
“ร่างเพลิงสุริยา แต่ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง หลิวหลีได้แต่งงานแน่นอน” ร่างเพลิงสุริยาคืออะไร ทุกคนต่างเข้าใจดี เพียงแต่เป็นเด็กผู้หญิงถือว่าไม่ดีเท่าไหร่นัก
“อ่อ ใครกันหรือ” นังหนูมีคู่หมั้นหมายแล้วหรือนี่
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่กับพี่รองต่างก็รู้จัก เด็กสกุลหนานกงที่กำลังโดนประกาศจับตัวอยู่ หนานกงเวิ่นเทียน” หลงจิ่งหลินไม่อ้อมค้อม
“หนานกงเวิ่นเทียน” เด็กคนนี้เป็นร่างหยินล้วน เอ่อ ก็โชคร้ายเหมือนกัน ครุ่นคิดเล็กน้อย พวกเขาก็เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
“ใช่ เจ้าเด็กนั่นตอนนี้เป็นร่างวิญญาณเหมันต์ ร่างเหมันต์จันทรา ซึ่งเข้ากันได้ดีกับร่างเพลิงสุริยาของนังหนู” ยังดีที่ยังมีตัวเลือกแบบนี้อยู่ ไม่เช่นนั้นนังหนูต้องขึ้นคานแน่
“หากข้าจำไม่ผิด เด็กนี่น่าจะเป็นแกนวิญญาณเหมันต์ 97 ส่วนกระมัง” หลงจิ่งหลินกล่าว เด็กในสกุลต่างๆเหล่านี้เกิดมามีคุณสมบัติเช่นไรถือว่าไม่ใช่ความลับ
“จริงสิ แต่เจ้าเด็กนั่นโชคดีที่ได้มาเจอนังหนู เข้าไปในแดนลี้ลับด้วยกัน นางช่วยให้เขาได้ครอบครองวิญญาณเทพเหมันต์ สิ่งแปดเปื้อนบนแกนวิญญาณถูกขจัดออกกลายเป็นวิญญาณเหมันต์ หากสกุลหนานกงรู้ว่าปฏิบัติต่อบิดามารดาของเด็กที่มีคุณสมบัติแบบนี้เช่นนั้นล่ะก็ คงเป็นบ้าแน่” คิดอะไรน่ะหรือ เขาก็คิดถึงภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคตน่ะสิ
“วิญญาณเทพเหมันต์หรือ ของดีๆ” หลงจิ่งหนานอิจฉาเล็กน้อย เขามีแกนวิญญาณวารีค่อนข้างมาก หนำซ้ำไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกอสูรเทพอาจจะมีของวิเศษเช่นนี้อยู่หรือไม่
“อ่อ ใช่แล้ว ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ข้ารับปากเด็กสกุลหนานกงว่าจะช่วยดูแลพ่อแม่เขา อย่างไรเสียตอนนี้นังหนูก็มีตัวเลือกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น” หลงจิ่งหลินคิดขึ้นได้จึงพูดขึ้น
“ได้สิ” หลงเหวินเซวียนพยักหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นญาติกันในอนาคต
“ยังมีอีก ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง นังหนูมีคู่พันธะสัญญาแล้ว” นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่ทำให้หลงจิ่งหลินดีใจที่สุด แต่กลับลืมเสียได้
“มีคู่พันธะสัญญาหรือ นังหนูทำพันธะสัญญากับอะไร” ช่างน่าแปลก
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ทุกคนจะต้องนั่งตั้งใจฟังให้ดีนะ นังหนูทำพันธสัญญากับปรมาจารย์เอ๋าเลี่ยจากเผ่ามังกร” หลังจากหลงจิ่งหลินพูดจบ ทุกคนไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ หลงจิ่งหลินเห็นว่าทั้งสามคนตัวแข็งไปเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าหลงจิ่งหนานจะตั้งสติกลับมาได้ เขาเอื้อมสองมือจับไปที่ชายเสื้อของหลงจิ่งหลินแล้วถาม
“น้องสาม เจ้าอย่าหลอกท่านพ่อกับพวกข้าสิ นังหนูคนนั้นจะทำพันธสัญญากับท่านปรมาจารย์เอ๋าเลี่ยแห่งเผ่ามังกรได้อย่างไรกัน” หลงจิ่งหนานตะโกนขึ้น นี่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด หลงเหวินเซวียนกับหลงจิ่งอู๋ก็ตั้งสติกลับมาได้ แล้วแสดงท่าทีไม่เชื่อเช่นออกมาเช่นกัน
“เป็นเรื่องจริง อาตงเป็นพยานได้ เขาคงจำบรรพบุรุษของตัวเองได้ไม่ผิดแน่” หลงจิ่งหลินพูดขึ้น เอ๋าตงที่ทำตัวเป็นผู้ฟังอยู่ข้างๆมาโดยตลอด ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพหลงเหวินเซวียนแล้วพูดขึ้น
“ท่านลุงเหวินเซวียน เป็นเรื่องจริงขอรับ”
นานกว่าทั้งสามจะเรียกสติกลับมาได้ ตอนนี้ก็อยากจะหัวเราะชุดใหญ่ อัจฉริยะของสี่สกุลที่เหลือจะสู้อะไรได้ เจ้าหญิงน้อยสกุลหลงของพวกเขาต่างหากที่จะเป็นสุดยอดผู้ถูกเลือก
ใช่แล้ว ตอนนี้พวกเขายกให้หลิวหลีเป็นเจ้าหญิงคนใหม่แห่งบ้านสกุลหลงแล้ว
“น้องสาม หลิวหลีบอกหรือไม่ว่าจะกลับมาเมื่อใด” หลงจิ่งอู๋ถามขึ้น อยากจะเห็นหน้าหลานสาวผู้ถูกเลือกคนนี้จริงๆ เป็นหน้าเป็นตาให้สกุลไม่น้อย
“บอกแค่ว่าจะกลับมา ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านอย่าลืมว่าอีกสิบปีจะเป็นการประลองของลูกหลานที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีของทั้งห้าสกุล ถึงหลิวหลีจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เด็กสกุลหนานกงนั่นต้องรู้แน่ เขาต้องกลับมาตบหน้าสกุลตนเองฉาดใหญ่ พอถึงตอนนั้นหลิวหลีน่าจะกลับมาพร้อมกัน” หลงจิ่งหลินอธิบาย
“จริงสิ เจ้าสาม เจ้าหาป้ายหยกมังกรของอาเยว่เจอไหม” หลงเหวินเซวียนถาม ป้ายหยกของหลงซินเยว่ต่างจากของคนสกุลหลงคนอื่น ป้ายหยกของนางเป็นของบรรพบุรุษคนที่หนึ่งแห่งสกุลหลง เป็นสัญลักษณ์ประจำสกุล มันหายไปพร้อมกับการหายตัวไปของหลงซินเยว่ และไม่กล้าแพร่งพรายให้คนอื่นรับรู้ บัดนี้อาเยว่ไม่อยู่แล้ว แต่ลูกสาวของนางยังอยู่ ไม่รู้ว่าจะอยู่ในมือของหลิวหลีหรือไม่
“เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้ถาม ถึงถามนางก็คงไม่รู้ นางเกิดบนโลกมนุษย์ น้องเล็กให้กำเนิดนางแล้วก็จากไป นังหนูเข้าสู่โลกบำเพ็ญเพียรได้เพราะเหตุบังเอิญ” หลงจิ่งหลินคิดถึงน้องสาวที่จากไป ก็รู้สึกไม่ดีเท่าไรนัก
เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่เข้าใจ หลงจิ่งหลินจึงได้เล่าเรื่องราวของหลิวหลีให้ทุกคนฟัง ทั้งสามนิ่งไปสักพัก ชีวิตของนางไม่ง่ายเลยจริง ๆ
“นังหนูมีชีวิตที่น่าสงสารอยู่นะ พวกเจ้าทั้งสามในฐานะที่เป็นลุงของนางจะต้องดีกับนางล่ะ” หลงเหวินเซวียนพูดกับลูกชายทั้งสามคน
“ขอรับ ท่านพ่อ ท่านพ่อไม่ได้เห็น นังหนูคล้ายน้องเล็กมากๆ ครั้งแรกที่ข้าเห็นนางยังคิดว่าเป็นน้องเล็กด้วยซ้ำ อีกทั้งอนาคตของนางก็มิอาจคาดเดา ท่านพ่อ…ท่านรู้ไหม หลังจากนังหนูบรรลุช่วงพลัง สวรรค์ก็ได้ประทานแสงแห่งบารมีให้นาง”
หลังจากที่หลงจิ่งหลินพูดจบ ทั้งสามก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ แสงแห่งบารมี นังหนูไปทำอะไรมาจึงได้โชคดีขนาดนี้ หลงจิ่งหลินนึกขึ้นได้ว่าปรมาจารย์เสวียนหั่วบอกว่านังหนูออกไปแสวงหาโชคชะตาและโอกาส ตอนนั้นพลังบำเพ็ญของนางอยู่ในช่วงพื้นฐานเท่านั้น มีเพียงเพลิงอัคคีเท่านั้นที่จะสามารถทำให้นางบรรลุช่วงพลังได้ แปลว่านางพิชิตเพลิงอัคคีได้ที่โลกมนุษย์ สำหรับโลกมนุษย์แล้วเพลิงอัคคีมีพลังทำลายล้างรุนแรง ในเมื่อหลิวหลีพิชิตเพลิงอัคคีได้ก็เท่ากับนางช่วยคนทั้งโลก หลงจิ่งหลินบอกข้อสันนิษฐานของตนเอง ทั้งบิดาและพี่ชายต่างเห็นด้วยกับความคิดนี้ของเขา
“จริงสิ ท่านพ่อ ข้านำเลือดหนึ่งหยดของนังหนูนำกลับมาทดสอบระดับความเข้มข้นของเลือดของนางด้วย” ในที่สุดหลงจิ่งหลินก็ระลึกถึงจุดประสงค์หลักในการมาที่นี่ของเขาออก นั่นคือการนำชื่อของหลิวหลีใส่ในรายชื่อสกุล
“พวกเราไปที่หอบรรพบุรุษกัน” หลงเหวินเซวียนพยักหน้า
ภายในหอบรรพบุรุษ พวกเขาทำการกราบไหว้บรรพบุรุษก่อน แล้วจึงนำเลือดของหลิวหลีหยดลงไปบนแท่นวัดความเข้มข้นสายเลือดอย่างระมัดระวัง แค่พริบตาเดียวค่าความเข้มข้นเลือดของหลิวหลีก็มีมากกว่า 90 ส่วน จึงทำให้สี่คนกับหนึ่งมังกรตื่นเต้นอย่างมาก สุดท้ายค่าความเข้มข้นของสายเลือดก็เริ่มคงที่ คำว่าเลือดบริสุทธ์ 100 ส่วน ก็ปรากฏขึ้น ทำให้ทั้งสี่ร้องตะโกนอย่างลิงโลด ในที่สุดสกุลหลงก็มีเลือดบริสุทธิ์ดั้งเดิมเกิดขึ้น สวรรค์มีตาจริงๆ
“ท่านพ่อ ไม่เช่นนั้นพวกเราเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อน มีแค่พวกเราสี่คนที่รู้ พอถึงเวลาค่อยสร้างความประหลาดใจให้พวกเขากัน” หลงจิ่งอู๋เสนอความคิดเห็น
“ได้ แต่จะต้องทำป้ายสถานะของนังหนูให้เสร็จนะ” หลงเหวินเซวียนเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ทว่าป้ายสถานะจำเป็นต้องทำให้เสร็จก่อน เขาสามารถรักษาดูแลไว้ให้ก่อนได้ ไม่นานนักป้ายสถานะของหลิวหลีก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าหลิวหลีเองไม่รู้ด้วยซ้ำ รู้สึกแค่ว่าเหมือนมีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่างเพิ่มเข้ามาเท่านั้นเอง
“เจ้าสาม เก็บรักษาไว้ให้นังหนูดีๆ เรื่องนี้จะต้องรอให้นางมาก่อนจึงจะพูดได้” หลงเหวินเซวียนกำชับ
“ท่านพ่อได้โปรดวางใจ” พวกเขายังพอเข้าใจเรื่องลำดับความสำคัญอยู่บ้าง

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset