แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 42 ฆ่าคนและช่วยคน

“เจ้าพูดถึงยาสลบหรือ?” หลิวหลีพูดพลางขับควันดำออกจากภายในร่างกายแล้วจางหายไปในอากาศ
“เจ้า… คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรับมือกับยาสลบได้ด้วย? เจ้าไม่ใช่นักปรุงยาระดับสองนี่นา” เหลียนเฉิงตะโกนออกมา
“พูดให้ถูกข้าเป็นนักปรุงยาระดับห้าต่างหาก” หลิวหลีพยักหน้า ยอมรับอย่างเปิดเผย
“ระดับห้า เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าจะปรุงยาระดับห้าได้” โหยวซานหลางพูดขึ้น หลิวหลียังเยาว์นัก แค่มองปราดเดียวก็มองออก นางไม่มีทางอายุเกินสามสิบแน่นอน
“เหอะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องกังวลใจไป ใช่แล้ว เจ้าชื่ออู่อี้ เป็นผู้บำเพ็ญทางกาย อยากประลองกับข้าดูหรือไม่” นัยน์ตาหลิวหลีเผยความตื่นเต้นออกมาเล็กน้อย ในเมื่อเป็นผู้บำเพ็ญทางกาย จะได้มีคู่ต่อสู้ให้ทดลองใช้เคล็ดวิชามังกรนพเก้าของนางพอดี เฮ้อ…นางประมือกับศิษย์ร่วมสำนักไม่ลง
“หึ ช่างไร้เดียงสา เจ้าแค่บรรลุช่วงพื้นฐานระยะปลายเองจะมาเทียบกับข้าได้หรือ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราห้าคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เจ้าจะรับมือได้ง่ายๆ” อู่อี้พูดเหยียดๆ แต่กลับเห็นเหลียนเฉิงและพรรคพวกทรุดตัวลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง
“ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นนักปรุงยาระดับห้า นักปรุงยาไม่เพียงแต่ปรุงยาช่วยชีวิตคนได้ แต่ยังทำร้ายคนหรือปกป้องคนก็ได้ทั้งนั้น” หลิวหลีอธิบายอย่างใจดี
ทั้งสี่คนนั้นโดนยากระดูกเปราะที่เอ๋าเลี่ยเป็นคนวางยา หลิวหลีรับหน้าที่เป็นตัวดึงดูดความสนใจ ผลก็อย่างที่เห็นนางพออกพอใจอย่างยิ่ง ยากระดูกเปราะถูกนางปรับสูตร จนทำให้พูดำม่ได้ นางยิ้มตาหยีขณะมองดูอู่อี้ที่กำลังเขย่าสหายของตัวเอง จากนั้นดวงตาของสหายเหล่านั้นก็อ่อนยวบลงจนขยับไม่ได้
“ว่าอย่างไร จะยอมรับข้อเสนอของข้าหรือไม่ ถ้าหากเจ้าชนะข้าจะให้ยาถอนพิษ” หลิวหลีถามพร้อมกับแกว่งขวดเล็กๆในมือของนางไปมา
“เจ้ามียาประหลาดเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่วางยาข้าไปด้วยเล่า” อู่อี้รู้แล้วว่าตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดูแล้วตนคงต้องหาโอกาสหนีเสียก่อน ส่วนกับสหายที่เหลือ เขาคงต้องขอโทษก่อนแล้ว รอเขาออกมาได้ค่อยล้างแค้นให้พวกนั้น พวกเขาหลอกคนเข้ามาจำนวนไม่น้อย ไม่มีใครคุ้นเคยกับที่นี่ไปมากกว่าพวกเขาแล้ว
“หากวางยาเจ้าแล้วข้าจะประลองกับใครเล่า ข้าต้องการประลองกับผู้บำเพ็ญทางกาย ถึงพลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าจะอ่อนแอก็ตาม” หลิวหลีแสดงท่าทีรังเกียจออกมาน้อยๆ นางต้องประมือกับผู้บำเพ็ญเพียรในช่วงบำเพ็ญศีล แถมยังอ่อนแอขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้บำเพ็ญทางกาย นางคงจะวางยาพวกเขาทุกคนไปแล้ว
อู่อี้เงียบกริบ นี่เขาควรจะดีใจที่ตนเองเป็นผู้บำเพ็ญทางกายสินะ
“ใช่แล้ว ข้ากางค่ายกลไว้แล้ว ไม่มีใครมารบกวนพวกเราได้หรอก” หลิวหลียิ้มจนตาหยี ขณะบอกข่าวคราวที่เหมือนระเบิดลูกใหญ่กับอู่อี้ ในเมื่อกางค่ายกลไว้แล้วเขาคงไม่ได้พักเป็นแน่ ช่างน่าขันที่ทีแรกพวกเขาคิดว่านางเป็นคนโง่ ใครจะไปรู้ว่าที่จริงแล้วเป็นพวกเขาเองต่างหากที่โง่งม
“เริ่มประลองเถอะ” อู่อี้หลับตาลง เพียงครู่เดียวก็เปิดปากเอ่ยและลืมตาขึ้น
“สู้สุดกำลังล่ะ” หลิวหลีกำชับ เอ๋าเลี่ยดูแคลนอีกฝ่าย คนธรรมดาไหนเลยจะเทียบกับเคล็ดวิชาระดับสูงของเผ่ามังกรได้ นังหนูก็ดันหาคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอขนาดนี้ หากคนในเผ่ามังกรรู้เข้าคงหัวเราะเยาะนางตายเลย
อู่อี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาพุ่งหมัดตรงมาหานาง หลิวหลียกกำปั้นของนางขึ้นมาอย่างไม่ต้องคิด เมื่อหมัดทั้งสองปะทะกัน อู่อี้ก็รู้สึกว่ากระดูกแขนของเขาแหลกละเอียด และได้รับบาดเจ็บภายใน พลังบำเพ็ญเริ่มไม่มั่นคง นี่มันพลังอะไรกัน หลิวหลีรู้สึกไม่ชอบใจ จะเรียกกระสอบทรายยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นางหมดความสนใจลงทันที ฝึกบำเพ็ญทางกายเป็นเช่นนี้นี่เอง
“อ่อนแอเกินไป ไม่น่าสนใจแล้ว” หลิวหลีนึกว่าจะนางถูกโจมตีอย่างเหี้ยมโหด นางกดพลังบำเพ็ญเพียรไว้ที่ช่วงพื้นฐานระยะปลายเท่านั้น
หลิวหลียกมือขึ้นมาแล้วปรากฏสายฟ้าสีม่วงฟาดใส่ในร่างอู่อี้ และทั้งสี่คนที่เหลือ จนท้ายที่สุดพวกเขาล้มลงลุกไม่ขึ้น และบนร่างกายมีกลุ่มแสงลอยออกมา เมื่อพยายามจะหนี นางจึงใช้เพลิงบุปผาเหมันต์ระเบิดพวกเขาเป็นจุล พูดอย่างจริงจังได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางฆ่าคน แต่หลิวหลีกลับไม่ได้รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรนี้มิใช่สังคมภายที่มีกฎหมายใดๆ โลกใบนี้ถือคติใครเก่งกว่าคนนั้นรอด หากนางเป็นฝ่ายที่อ่อนแอเช่นห้าคนนี้ขึ้นมา คนที่จะต้องตายก็คือนาง
นางหยิบถุงเก็บของทั้งห้าคนนั้นขึ้นมา เพราะเมื่อผู้เป็นเจ้าของตาย รอยประทับวิญญาณที่อยู่ด้านบนจะสลายไป หลิวหลีจึงเห็นของด้านในได้โดยง่าย สิ่งของมากมายในนั้นหลิวหลีไม่สนใจสักนิด เป็นของที่ปล้นมาทั้งนั้น แต่มีแผนที่ฉบับหนึ่งที่เข้าตานาง คงจะเป็นแผนที่ของแดนลี้ลับแห่งนี้
แล้วครุ่นคิดว่านางยังต้องอยู่ที่นี่ต่อ จึงตัดสินใจจะเดินในแดนลี้ลับต่อ
“โอ้โห้ ดูท่าแล้วแดนลี้ลับแห่งนี้น่าจะเป็นของจริงสินะ เจ้าพวกนั้นรู้แค่ผิวเผินเท่านั้น” เอ๋าเลี่ยมองแผนที่แล้วพูดสรุปขึ้น
“นั่นสิ ควรค่าให้เดินสำรวจต่อ” หลิวหลีรู้สึกว่าน่าจะเดินต่อได้ นางจึงอุ้มจื่อฉีแล้วเดินไปตามแผนที่ สถานที่แรกที่นางไปก็คือหลุมศพของเหยื่อที่โดนทั้งห้าคนนั้นหลอกมา มีคำที่กล่าวว่าให้ฝังคนตายลงดินแล้วพวกเขาจะสงบสุข หลิวหลีจึงเตรียมจะฝังพวกเขาลงดิน
แต่เมื่อถึงที่หมายหลิวหลีก็เห็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียด ศพบางศพกลายเป็นโครงกระดูกขาวซีด บางศพก็กำลังเน่าเปื่อย ในขณะที่บางศพก็ยังไม่มีสภาพเปลี่ยนแปลงด้วยซ้ำไป
ทันทีที่หลิวหลีวาดมือก็ปรากฏหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาหนึ่งหลุม ตั้งใจจะฝังพวกเขาในหลุมเดียวกัน  ตอนกำลังจะกลบดิน ก็มีเสียงครางแผ่วๆลอยออกมา หลิวหลีชะงักมือค้าง มีคนยังไม่ตาย เมื่อตั้งใจฟังเสียงอย่างละเอียดแล้ว นางก็ดึงชายชุดสีฟ้าขึ้นมาคลำหาชีพจร เขายังมีชีวิตอยู่แต่สภาพไม่ค่อยดีนัก นางต้องช่วยเขา
ช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญ นางไม่รอช้า ป้อนยาฟื้นฟูร่างกายคุณภาพชั้นเลิศให้อีกฝ่าย นางโคจรพลังเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ เมื่อรู้สึกว่ายาเริ่มออกฤทธิ์แล้วก็ป้อนยาเสริมวิญญาณคุณภาพชั้นเลิศเพิ่มเข้าไป เพื่อฟื้นฟูพลังเซียนในร่างกายที่แทบไม่เหลืออะไรแล้ว นางไม่สนใจบาดแผลภายนอกนัก เพราะอย่างไรก็ไม่ร้ายแรง จนในที่สุดชายคนนั้นก็เริ่มหายใจแรงขึ้น นางจึงวางเขาลง พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครรอดชีวิตอีกก็เริ่มฝังคนอื่นๆที่เหลือต่อ
“นังหนู ที่จริงแล้วเจ้าช่างใจอ่อนนัก” เอ๋าเลี่ยมองหลิวหลีที่วางท่านิ่งเฉย แต่เขารู้ว่าที่จริงนางมิได้เป็นเช่นนั้น นางสังหารทั้งห้าคนเพื่อล้างแค้นให้แก่คนตาย ทั้งยังมุ่งมั่นเสาะหาบรรดาเหยื่อที่ถูกทำร้ายเพื่อฝังพวกเขาลงดิน เพื่อให้ดวงวิญญาณเป็นสุข เฮ้อ…นังหนูคนนี้ช่างขี้สงสารคนอื่นเสียจริง
“เปล่าเลย ข้าแค่คิดว่าถ้าคนตายถูกฝังลงดินอย่างสงบน่าจะดีกว่า ใครจะรู้ว่าเยอะขนาดนี้” หลิวหลีเอ่ย ไม่เห็นที่นางฆ่าห้าคนนั้นโดยไม่ฝังเลยหรือนางใจอ่อนที่ไหนกัน นางโหดเหี้ยมกับพวกคนชั่วและศัตรูจะตายไป
“แล้วแต่เจ้าเลย ว่าแต่เจ้าจะรอให้เจ้าหมอนี่ฟื้นขึ้นมาจริงหรือ” เอ๋าเลี่ยมองใบหน้าซีดขาว คนที่ฝืนจนมีชีวิตรอดมาได้ช่างน่ารังเกียจนัก ถูกคนพวกนี้หลอกได้ ก็โง่พอกัน
“อืม ก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้ หากจะช่วยก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด” หลิวหลีกล่าวเป็นสำนวนที่นานๆ จะได้ยินสักครั้ง
“ก็ใช่ เป็นความโชคดีของเขาที่มาเจอเจ้า”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีฟ้ามีนามว่าซ่างกวนอวี้ เป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าหุบเขาพันใบ มีแกนวิญญาณนภาประเภทพฤกษา ออกจากหุบเขามาเพื่อท่องโลกเช่นเดียวกับหลิวหลี ตอนเขาออกเดินทางผู้อาวุโสในหุบเขาได้ทำนายดวงชะตาให้เขา กล่าวว่าจะเผชิญกับโชคร้ายครั้งใหญ่จะกลับกลายเป็นโชคดีและได้อะไรกลับมาไม่น้อย ทางสำนักจึงได้ปล่อยเขาออกมา แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็โดนหลอกเสียก่อน ห้าคนนั้นคิดว่าฆ่าเขาได้แล้วแต่คิดไม่ถึงว่าจะโดนยันต์คุ้มกันของเขาสกัดท่าโจมตีที่หมายจะปลิดชีวิตเขาไว้ได้ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ตอนที่เขารู้สึกว่าตนเองใกล้จะตายก็มีคนโผล่มาป้อนยาให้เขา ทั้งยังช่วยเร่งฤทธิ์ยาให้เขาด้วย มีคนช่วยชีวิตเขาแล้วหรือ อยากจะเห็นนักว่าใครกันที่เป็นคนช่วยชีวิตตนไว้
“หลิวหลี ดูเหมือนว่าเขาจะฟื้นแล้ว” เอ๋าเลี่ยเห็นคนบนพื้นขยับตัว
“อืม ข้าเห็นแล้ว” หลิวหลีปากก็พูดอยู่แต่มือไม่ว่าง ตั้งแต่จื่อฉีกินเนื้อ มันก็ไม่สนใจนมหรือไข่อีกเลย นางก็กลัวว่าหากกินเนื้อย่างมากไปจะไม่ดี จึงทำสเต็กเด็กแสนอร่อยให้จื่อฉีกิน ถึงอย่างไรหมอนั่นก็คือคนนอกจะสำคัญเท่าจื่อฉีได้อย่างไร
…………………………………………….

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset