หลิวหลีนอนหลับอย่างสบายในคืนนั้น ใช่แล้ว ไม่ใช่นั่งสมาธิ แต่เป็นการนอนหลับอย่างแท้จริง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าสดชื่น จากนั้นจึงเตรียมมื้ออาหารของตน ยังมีคนตะกละ 3 คน ซุปไข่ตุ๋นเนื้อของจื่อฉี ทำแกะย่างให้เอ๋าเลี่ย เตรียมเนื้อแห้งให้หงหลิน และเตรียมนมมะละกอกับก้อนแป้งข้าวเหนียวรสมะม่วงให้ตนเอง
ก้อนแป้งข้าวเหนียวเป็นอาหารโปรดจานใหม่ของหลิวหลี พอโดนเผาที่หมู่บ้านอัคคีเพลิง หลิวหลีก็รู้สึกว่านางต้องการอะไรเย็นๆ เพื่อทำให้รู้สึกเย็นลง ก้อนแป้งข้าวเหนียวที่ไม่ถือว่าเย็นนักจึงเป็นตัวเลือกแรกของนาง แป้งที่ทำจากข้าววิญญาณ แป้งข้าวโพด น้ำตาลทรายขาว เนย นมผสมเข้ากันให้เป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อเป็นตัวแผ่นแป้งข้าวเหนียว ผสมเนย น้ำตาลทรายและมะม่วงเป็นไส้ เมื่อได้การทำความเย็นจากหยกเหมันต์ หลิวหลีกัดก้อนแป้งข้าวเหนียวอย่างมีความสุข
สุ่ยหลิงเอ๋อร์เข้ามาหาดูเพื่อนใหม่ ว่านางไม่สบายตรงไหนหรือไม่ พอเห็นหลิวหลีกำลังกินอย่างมีความสุข เมื่ออีกฝ่ายเห็นสุ่ยหลิงเอ๋อร์เดินมา หลิวหลีจึงแบ่งให้อีกฝ่ายอย่างใจกว้าง สุ่ยหลิงเอ๋อร์เองก็มีความสุขเช่นเดียวกับหลิวหลี
สุ่ยหลิงกวงเข้ามาเห็นน้องสาวกับหญิงสาวในคราบบุรุษมีใบหน้าสุขสมเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวแต่ก็ยังคงหึงหวงอย่างอดไม่ได้ เมื่อคืนวานเขาต้องโดนเข้าใจผิดแน่ ทำไมจึงเกิดอยากได้ศรีภรรยาเช่นนี้
“สหายสุ่ย” หลิวหลีย่อมเห็นสุ่ยหลิงกวง เพียงแต่ท่าทางเสียดายแปลกๆนั่นคืออะไรกัน
“ท่านพี่ อาหารที่น้องหลิวหลีทำชื่อก้อนแป้งข้าวเหนียวอร่อยมากจริงๆ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์กลายเป็นนักกิน ก้อนข้าวเหนียวมีรสสัมผัสที่ดี ทั้งมีพลังเซียน ช่างมีความสุขเหลือเกิน จนยาปี้กู่ตาน (ยาทิพย์) นั้นไม่จำเป็น
“น้องหญิง พวกเราต้องกินอาหารให้น้อยประเภทลง อาจมีสิ่งปนเปื้อนไปขวางเส้นลมปราณส่งผลเสียต่อผู้บำเพ็ญเพียร” สุ่ยหลิงกวงเกลี้ยกล่อม ในอดีตน้องสาวเขาว่านอนสอนง่าย เหตุใดตอนนี้จึงเปลี่ยนไป
“ท่านพี่ วางใจเถอะ ก้อนแป้งข้าวเหนียวที่น้องหลิวหลีทำมีพลังเซียน ไม่เปลืองหรอก” สุ่ยหลิงเอ๋อร์อธิบายแล้วตนเองก็กินต่ออย่างมีความสุข ช่างอร่อยจริงๆ
หลิวหลีเห็นอีกฝ่ายบ่นพึมพำเช่นนี้ จึงรีบจัดการอาหารตนเองให้เรียบร้อย จื่อฉีและหงหลินก็รีบกินให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ยืมคำพูดที่เจ้านายพวกเขาเรียกสถานการณ์เช่นนี้คือ จะกินให้อร่อยไม่สู้เท่ากินให้หมดๆไปจะดีกว่า
“ท่านพี่ ท่านทำอะไรผิดแปลกไปหรือไม่?” สุ่ยหลิงเอ๋อร์เห็นหลิวหลีรีบกินก็เกรงใจเกินกว่าจะละเมียดทีละคำจึงรีบกินให้เสร็จๆ บรรยากาศกำลังดีๆ ท่านพี่มาถามทำไม
“ผู้นำสกุลหู หูอี้เทียนพาลูกชาย ลูกสะใภ้ตัวเอง เหม่ยอวี้และเหม่ยหลินมาขอบคุณสหายหลิวหลีให้วิหคเพลิงแก่เหมยอวี้”
“นี่หูเหม่ยหลินมาที่นี่ทำไม หากข้าจำไม่ผิด พ่อของหูเหม่ยหลินเป็นท่านลุงรองของเหม่ยอวี้” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ได้ยินว่าเหม่ยหลินก็มาที่นี่ด้วยก็พูดอย่างไม่เป็นสุขนัก พี่เหม่ยอวี้กับท่านพ่อท่านแม่มา นางก็รู้สึกยินดี แต่หูเหม่ยหลินนั่นมาทำไม
“น้องหญิง เจ้าอย่างพูดจาเหลวไหลผู้มาเยือนล้วนเป็นแขก” สุ่ยหลิงกวงย่อมรู้ว่าน้องสาวตนและหูเหม่ยหลินไม่ค่อยถูกกันนัก เขาเพียงไม่เข้าใจว่านังหนูเหม่ยหลินท่าทางเปราะบาง น่าสงสาร ซึ่งสุ่ยหลินกวงเองก็ชอบผู้บำเพ็ญอย่างน้องหลิน มาตรฐานในการเลือกคู่ของเขาก็คือบุปผาขาวบริสุทธิ์อย่างหูเหม่ยหลิน หากไม่สำคัญเท่าน้องสาวตนเอง ก็คงไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรได้บ้าง
“เจ้าค่ะ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์เม้มปาก พี่ชายของนางถูกเซียนปลอมๆล่อลวง สายตาช่างแย่จริงๆ
“เชิญนำทาง” หลิวหลีไม่ได้รู้สึกอะไร ผู้อาวุโสของอีกฝ่ายมาแล้วไม่ไปพบก็นับว่าเสียมารยาท อีกทั้งที่นี่ก็ไม่ใช่พื้นที่ของสำนักเมฆาคล้อย นางจะโพล่งไปตรงๆก็ไม่ได้ พูดเช่นนี้นางก็หวนนึกถึงวันที่เจ้าสำนักจะได้เป็นป้าอ๋อง อนิจจา สามปีรีบผ่านไปเร็วๆหน่อย นางอยากกลับไปสำนักเต็มทนเพื่อรีบแก้ไขเรื่องที่นี่ นางต้องการหาเพลิงวิญญาณไม้ จากนั้นจะได้ไปเข้าร่วมงานประชุมยาศักดิ์สิทธิ์ ณ เมืองเฟยเซียน หลังจากนั้นก็กลับไปเป็นตัวขี้เกียจที่สำนักอย่างมีความสุขจึงตัดสินใจอย่างมีความสุข
“ท่านลุงสุ่ย คนผู้นี้คือท่านลุงและท่านอาสะใภ้สกุลหูกระมัง” หลิวหลีเป็นเด็กที่มีมารยาทมาก
“ท่านปู่หู ท่านลุงท่านอาสะใภ้” สุ่ยหลิงเอ๋อร์เองก็ถือเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย
“เจ้าก็คือหลิวหลี ส่วนวิหคเพลิงอัคคีนี่เจ้าจับมาหรือ? คู่พันธสัญญาของเจ้าเก่งกาจมากนัก เป็นอะไรหรือ จิ้งจอกสีม่วงรึ? ล้อเล่นแล้วกระมัง” ผู้ใหญ่ยังไม่ทันพูด หูเหม่ยหลินก็เปิดปากพูดรัวราวปืนกล สีหน้าของสกุลหูไม่ดีนัก ท่าทางไร้ยางอายของนางเช่นนี้ ถือว่าไม่ไว้หน้าผู้อาวุโส ผู้นำสกุลหูรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าทำไมตนเองถึงได้ตาบอดหูหนวกไม่รู้มาก่อนว่าหลานสาวตนเองจะเป็นคนเช่นนี้ ที่ผ่านมานางเสแสร้งมาตลอด
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าเป็นใคร?” หลิวหลีย่อมไม่เกรงใจ ใครดีมานางก็ดีตอบ ใครร้ายมาก็ร้ายตอบ
“เจ้า ข้าคือหูเหม่ยหลินจากทายาทสายตรงสกุลหู เจ้ามาจากสกุลไหนกัน” ทันทีที่เห็นหลิวหลีนางก็หวาดระแวงขึ้นจนห้ามปากตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
“หลิวหลีแห่งสำนักเมฆาคล้อย”
“ศิษย์ของสำนักคงลำบากกระมัง ทันทีที่ดูก็รู้ว่าเจ้าเป็นศิษย์นอกสำนัก” ได้ยินหลิวหลีกล่าวกว่าเป็นศิษย์ของสำนัก นางรู้สึกราวกับค้นพบความจริงอันน่าเหลือเชื่อขึ้นมา
มีคำพูดหนึ่งกล่าวเอาไว้ คนในครอบครัวนั้นมีหลายประเภทเป็นเรื่องจริง หูเหม่ยหลินและหูเหม่ยอวี้ดูจากภายนอกแล้ว หากไม่บอกว่าเป็นพี่น้องกันก็คงจะไม่มีใครรู้
“บังอาจ หลิวหลีเป็นถึงศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสเสวียนหั่ว ท่านลุงหู น้องหู นี่พวกเจ้ามาขอบคุณนางจริงหรือ?” สีหน้าสุ่ยเจิ้นปัวมีย่ำแย่ โพล่งด่าอย่างอดไม่ได้ จะให้เขาเอาหน้าเจ้าเมืองอย่างตนและผู้นำสกุลหูไปไว้ที่ไหน
“ท่านลุงสุ่ย” ในที่สุดหูเหม่ยหลินก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองทำอะไรลงไป พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
“มิบังอาจ” สุ่ยเจิ้นปัวโกรธขึ้นมาจริงๆ
“ขออภัยทุกท่านด้วยเป็นข้าสั่งสอนนางไม่ดีเอง หลิวหลี ต้องขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหม่ยอวี้หลานข้าทำพันธสัญญากับวิหคเพลิง” หูอี้เทียนกล่าว
“หัวหน้าสกุลหูเกรงใจเกินไปแล้ว ข้ามิกล้า” ความประทับใจของหลิวหลีที่มีต่อสกุลหูก็ลดน้อยลงไป มีหลานสาวสติปัญญาต่ำเหมือนโดนหมาแทะเช่นนี้ ตระกูลหูก็ไม่อะไรเท่าไหร่นักหรอก
“หลิวหลี ถึงแม้เมื่อครู่เหม่ยหลินจะดูหมิ่นเจ้า แต่ตัวข้าก็สงสัยนักว่าเจ้าช่วยเหม่ยอวี้ทำพันธสัญญากับวิหคเพลิงได้อย่างไร?”
หูเหม่ยอวี้รู้สึกแย่เหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าท่านปู่เองก็ไม่เชื่อน้องหลิวหลี ซึ่งนั่นก็คือไม่เชื่อคำพูดหลานตนเอง ซึ่งท่านพ่อท่านแม่ที่อยู่ด้านข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน หูเหม่ยอวี้รู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าตนเองมองทะลุภาพลวงตาที่คนในสกุลสร้างขึ้น ห่อเหี่ยวใจ สุ่ยหลิงเอ๋อร์เห็นสีหน้าพี่สาวตบลงบนหลังมือนางเบาๆ
และความอดทนของหลิวหลีก็หมดลงคนสกุลนี้วุ่นวายมากเรื่องเหลือเกิน ช่วยจับวิหคเพลิงก็แล้วยังถามหารายละเอียดด้วยหรือ นางคงต้องพิจารณาดูว่าควรจะช่วยสุ่ยหลิงเอ๋อร์จับอสูรภูตวารีดีหรือไม่ รู้สึกรำคาญใจจริงๆ
หลิวหลีปล่อยหงหลินออกมา มันขยายร่างใหญ่มหึมาอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายอสูรลอยคละคลุ้ง ร่างแผ่พลังมหาศาลออกมา
“สหาย พอเถอะ เก็บสัตว์อสูรของเจ้าไปเสีย” สุ่ยเจิ้นปัวเอ่ย ทำไมสกุลหูถึงได้เป็นวงศ์ตระกูลที่ไร้เหตุผลแบบนี้ ก่อนนี้ตัวเจ้าเองก็ตาบอดเช่นกันไม่ใช่หรือ สุ่ยเจินปัวย้อนคิดและเอ่ย ภาพจำนางฟ้าในใจสุ่ยหลิงกวงถูกทำลายจนหมดสิ้น แล้วยังต้องตกใจงูหลามเพลิงที่ทรงพลังของหลิวหลี เขาเองก็รู้สึกอิจฉาอย่างมาก
หูเหม่ยหลินมองไปยังงูหลามเหลิงที่แสนงดงาม บนใบหน้าฉายแววริษยาอย่างรุนแรง หากเป็นนางก็คงดี
งูหลามเพลิงเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นกำไลข้อมือหยกอีกครั้ง คนจำนวนต่างจ้องไปที่ข้อมือนาง หลิวหลีเอามือไปซ่อนด้านหลังอย่างไม่ค่อยยินดีนัก
“ท่านเจ้าเมืองสุ่ย ข้าขอบคุณสำหรับการดูแลอย่างดีในเมื่อคืนวาน ข้ามาที่เมืองต้าเย่เพราะมีเรื่องต้องจัดการ ไม่รบกวนท่านดีกว่า” หลิวหลีรู้สึกว่ารีบไปหาเพลิงวิญญาณไม้แล้วรีบไปจากที่นี่จะดีกว่า ไพล่คิดว่าหาเพื่อนสนิทเจอแล้ว แต่ครอบครัวของเพื่อนสนิททำให้นางต้องเสียใจ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว ครอบครัวของอีกฝ่ายโหดร้ายเกินไป จะคบค้าสมาคมก็คงต้องระวัง!
“นังหนูหลิวหลี ไม่อยู่ต่อสักหน่อยหรือ ให้หลิงเอ๋อร์ กวงเอ๋อร์พาเจ้าไปชมเมืองรอบๆ เมืองต้าเย่งดงามมาก” สุ่ยเจิ้นปัวรั้งไว้
“ไม่ล่ะ ที่ข้ามาเมืองต้าเยี่ยเพราะมีธุระ กับพี่หลิงเอ๋อร์และพี่อวี้คงแค่บังเอิญผ่านทางมา ขอบคุณท่านลุงสุ่ยที่ดูแล” หลิวหลียังคงเป็นมิตรกับคนที่เมตตานาง
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 49 การเจอกันอย่างไม่มีความสุข
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!