“น้องหลิงเอ๋อร์จะต้องดู 3 คนนี้ คนหนึ่งคือไป๋หลี่เหลียนมาจากสำนักโอสถ ตอนนี้เขาเป็นนักปรุงยาระดับ 5 ฝีมือในการปรุงยาสุดยอดมาก อีกคนหนึ่งคือซ่งหนิง เขาเป็นนักปรุงยาระดับ 5 เช่นเดียวกัน ถนัดปรุงยาอันตราย คนสุดท้ายมาจากหอปรุงยาสำนักเมฆาคล้อย มู่หรงอวิ๋นตั่วก็เป็นนักปรุงยาระดับ 5 เช่นเดียวกัน ได้ยินว่าเป็นศิษย์ของศิษย์พี่ใหญ่จื่ออีแห่งหอปรุงยาของสำนักเมฆาคล้อย”
สุ่ยหลิงเอ๋อร์ฟังด้วยความตั้งใจ สุดท้ายพอได้ยินชื่อสำนักเมฆาคล้อยก็คิดว่าจะเป็นน้องหลิวหลี แต่สรุปไม่ใช่นาง
“พี่จู้ ในสำนักเมฆาคล้อยมีผู้บำเพ็ญชื่อหลิวหลีไหมเจ้าคะ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ไม่น่าจะมีนะ” จู้อี่เสียนคิดแล้วก็ตอบ หลิวหลีคงไม่ใช่น้องสาวที่หลิงเอ๋อร์พูดถึงใช่ไหม เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจริงๆ
สุ่ยหลิงเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำไมน้องสาวของหลิงเอ๋อร์ถึงไม่มีชื่อเสียงในสำนัก ไม่น่าจะเป็นไปได้
หลิวหลีรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถปรุงยาออกมาได้อย่างราบรื่น จนเข้าสู่รอบ 100 คนได้อย่างไม่น่าประหลาดใจ
“การแข่งขันรอบต่อไป ให้เลือกพืชศักดิ์สิทธิ์ 3 ประเภทใส่เข้าไปในยาที่พวกท่านปรุง และจำไว้ว่ายาที่ปรุงออกมาจะต้องไม่ต่ำกว่าระดับ 3”
หลิวหลีรู้สึกว่างานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์ดูน่าสนใจดี หลิวหลีเลือกพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวเองต้องการอย่างรวดเร็ว ด้านข้างของนางมีคนเลือกพืชศักดิ์สิทธิ์ชนิดเดียวกัน จนถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเสียด้วย
“ตาเฒ่าเสวียนหั่ว ทำไมเจ้ายอมออกมาข้างนอกได้อย่างไร ไม่เป็นนางห้องแล้วหรือ” เสียงพูดด้านข้างดังขึ้นอย่างประหลาด
“ตาแก่ไป๋หลี่สำนักโอสถ ทำไมเจ้าถึงยอมย้ายออกจากรังแล้วล่ะ ไม่กลัวว่าเตาปรุงยาของเจ้าจะโดนขโมยแล้วหรือ” เสวียนหั่วตอกกลับอย่างไร้ความเกรงใจ
“พอได้แล้ว พวกเจ้าก็มีอายุกันหลายพันปีกันแล้วนะ ไม่กลัวคนรุ่นหลังหัวเราะเยาะกันหรืออย่างไร”
“ตาแก่หลี่ เจ้าก็เป็นคนดีเก่งเสียจริง” ไป๋หลี่ซูเหน็บแนม
“พอได้แล้ว พวกเจ้ามาดูเด็กๆประลองกันไม่ใช่หรือ อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย” หลี่มั่วไป๋อดบ่นไม่ได้
“จะว่าไปแล้ว ตาแก่ไป๋หลี่เจ้ามาดูหลานผู้สืบทอดที่อยู่ระดับ 5 ของเจ้าหรือ ส่วนเสวียนหั่ว เจ้ามาดูคนชื่อมู่หรงอวิ๋นตั่วคนนั้นหรือ” หลี่มั่วไป๋อดถามคนทั้งสองไม่ได้
“ตาแก่หลี่ เจ้าเดาผิดแล้ว เด็กคนนั้นเป็นใคร ข้าไม่รู้จักเสียหน่อย” เสวียนหั่วบ่น ในหอโอสถเขาจำได้แค่ศิษย์หลานเทียนเย่ากับศิษย์หลานจื่ออีเท่านั้น ส่วนมู่หรงอวิ๋นตั่วใครจะไปรู้จักกัน
“แล้วถ้าอย่างนั้นเจ้ามาดูใคร” ความอยากรู้ของทั้งสองถูกจุดประกายขึ้นมา
“ข้าไม่บอกพวกเจ้าหรอก อย่างไรเสียผู้ชนะก็ไม่ใช่คนของพวกเจ้าอยู๋แล้ว” เสวียนหั่วคุยทับเพื่อนสนิทอย่างไม่เกรงใจ
“ทำตัวมีลับลมคมในไปได้” ไป๋หลี่ซูบ่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
หลิวหลีปรุงยาของตัวเองออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วกรรมการที่มาตรวจสอบก็ทำสีหน้าประหลาดใจ
“สหายจูเม่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงไม่ประกาศผลอีก”
“สหายหวังจิ่น ข้าก็ยังไม่รู้จะประกาศผลอย่างไร?”
“เกิดอะไรขึ้น?” หวังจิ่นถามอย่างสงสัย
“ยารวมพลังเซียนระดับ 3 สำเร็จแล้วหรือ?”
“สหายหวังจิ่น พืชศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 อย่างที่นางเลือกคือดอกเสวี่ยหรงฮัว หญ้าปักษา โป๊ยกั้ก ถึงแม้ว่าจะทำสำเร็จแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ” จูเม่าอธิบาย
“ยาที่ข้าทำผ่านไหม?” หลิวหลีพยายามถามอย่างใจเย็น ตัวนางเองไม่เห็นว่ามันจะมีปัญหาอะไร
“ยาตัวนี้ควรใช้ผลสุวรรณมณีไม่ใช่หรือ ทำไมจึงใช้โป๊ยกั้ก” หวังจิ่นถามขึ้น
“เรื่องนี้เอง ถึงสรรพคุณของโป๊ยกั้กกับผลสุวรรณมณีจะแตกต่างกัน แต่ก็ทำหน้าที่เหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงฤทธิ์ยาแล้ว ผลสุวรรณมณีย่อมเหมาะสมมากกว่า แต่เมื่อใส่โป๊ยกั้กกับหญ้าปักษาในความร้อนที่ต่างกันจะทำให้ได้สรรพคุณใหม่ๆ ยาที่ปรุงออกมาจะไม่ใช่ยารวมพลังเซียนอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นยาเพิ่มพลังเซียนแทน อีกอย่างคือเมื่อผสมโป๊ยกั้กกับหญ้าปักษาเข้าด้วยกันแล้วจะทำให้ได้รสชาติที่เย็นสดชื่น กินแล้วรู้สึกสบายกว่า”
ทั้งสองถึงกับอ้าปากค้าง พวกเขาได้ยินอะไรเนี่ย รสชาติเย็นสดชื่นหรือ กินแล้วรู้สึกสบายหรือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนเอาเรื่องรสชาติมาอธิบายหลักในการปรุงยา คนข้างๆหลายคนถึงกับหัวเราะออกมา
“แล้วอย่างนั้นประสิทธิภาพยาของเจ้าล่ะ อร่อยอย่างเดียวไม่ได้นะ” จูเม่าพูดพลางส่ายศีรษะ
“แน่นอนว่าประสิทธิภาพของยา ข้าให้ 10 คูณ 10 ไปเลย สบายใจเถอะ ไม่ทำลายประสิทธิภาพของยาแน่นอน หากไม่เชื่อสามารถส่งไปตรวจสอบได้เลย” หลิวหลีตบอกพูด
“กรุณารอสักครู่” จูเม่าไม่รู้จะทำอย่างไร เป็นผู้จัดงานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรก แต่กลับได้ใช้เครื่องตรวจสอบศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เคยใช้มาก่อนตั้งแต่เริ่มจัดงานมา ปวดหัวจริงๆ
“ยินดีด้วย เจ้าผ่านเข้าสู่ด่านต่อไปหรือ?” จูเม่าแอบรู้สึกประหลาดใจ สหายผู้นี้เป็นคนประหลาด ผู้จัดงานถึงกับใจเต้นรัว
“เด็กสาวคนนี้โผล่ออกมาจากไหนกัน ทำไมถึงเข้าใจสรรพคุณของยาได้อย่างลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ถึงขนาดสามารถคิดสูตรยาแบบนี้ออกมาได้” หลี่มั่วไป๋หยิบยาแล้วก็ถามขึ้น
“ฝีมือชำนาญนัก ไม่มีร่องรอยของการปรุงซ้ำครั้งที่สองที่ทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง ถ้าดูจากคุณภาพแล้วน่าจะเป็นคุณภาพระดับสูงที่ใกล้เคียงกับคุณภาพชั้นเลิศ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มีสำนักแล้วหรือยัง” ไป๋หลี่ซูจับยาแล้ววิจารณ์ จะต้องเอาคนที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้เข้าสำนักโอสถให้ได้
“ถือว่าไม่เลวเลย” พอเสวียนหั่วได้ยินคำแนะนำพวกนั้น ก็นึกถึงนิสัยของศิษย์ตนเอง แต่ตาแก่ไป๋หลี่อยากให้นางเข้าสำนักโอสถหรือ เหอะ…จะปล่อยให้เจ้าได้ใจไปก่อน
สุดท้ายมีเพียง 10 คนเท่านั้นที่จะผ่านไปด่านสุดท้าย ด่านสุดท้ายง่ายแล้ว ขอแค่ปรุงยาให้ได้คุณภาพระดับสูงที่สุดก็จะเป็นฝ่ายชนะไป
“ไป๋หลี่เหลียนจากสำนักโอสถใช้ไฟเย็นศีตลากระมัง”
“มู่หรงอวิ๋นตั่วจากสำนักเมฆาคล้อยใช้เพลิงอัคคีม่วงแน่เลย”
“ส่วนซ่งหนิงท่านนั้นน่าจะใช้อัคคีเซียน เป็นเพลิงอสูรพยัคฆ์อัคคีโลหิตม่วง”
หลิวหลีมองทั้งสองคนที่ประชันกันราวนกยูงกำลังรำแพนหาง ก็แค่เพลิงอัคคีไม่ใช่หรือ ต้องถึงขนาดนั้นเลยหรือ นางควรจะอวดบ้างดีไหม ตอนที่หลิวหลีกำลังลังเลอยู่นั้น ทุกคนต่างก็ได้เริ่มทำกันแล้ว
หลิวหลีจุดไฟธรรมดาขึ้นมา ซ่อนเพลิงอัคคีอะไรพวกนั้นไว้จะดีกว่า หลิวหลีจัดการพืชศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองอย่างชำนาญ แล้วเริ่มปรุงยา ด้านข้างมีเสียงเตาปรุงยาระเบิดดังมาเป็นระยะๆ หลิวหลีก็ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งตอนที่นางรู้สึกว่ากำลังจะปรุงสำเร็จแล้ว นางค่อยรู้สึกเบาใจ ก็มีประสาทเซียนกวาดผ่านมา หลิวหลีตะโกนในใจว่าแย่แล้ว เตาปรุงยาของนางก็จะระเบิดเช่นเดียวกัน
หลิวหลีมองดูเตาปรุงยาที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ใครกัน ใครกันที่ทำเกินไปขนาดนี้ เสียงหัวเราะเบาๆจากด้านข้าง ทำให้หลิวหลีหัวเสียถึงขีดสุด เขาก็คือซ่งหนิง
“เหอะ พวกเจ้าจะเอาอะไรมาสู้กับข้า” ซ่งหนิงยิ้มเจ้าเล่ห์
“เจ้าเด็กนี่เป็นคนใจคด แต่สมาธิของเขาดีมาก”
“สะใจมากใช่ไหม? เจ้ารู้ไหม ข้าโกรธมากแล้วผลที่ตามมาก็จะร้ายแรงมากด้วย” หลิวหลีแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้น
“โกรธแล้วจะทำไม อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องแพ้ข้า เวลาเหลือไม่มาก อีกทั้งข้าไม่ใช่นักปรุงยาระดับ 5 ข้าเป็นนักปรุงยาระดับ 6 แล้ว พวกเจ้าที่เป็นแค่ตัวประกอบคงไม่จำเป็นแล้วล่ะ” ซ่งหนิงพูดอย่างเย่อหยิ่ง
ไป๋หลี่เหลียนกับมู่หรงอวิ๋นตั่วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลงมือปรุงยาต่อ อย่างไรเสียเขาก็ควรจะต้องติดอันดับ 1 ใน 3
“เหอะ ดี วันนี้ข้าจะมาสั่งสอนเจ้า บางครั้งการหัวเราะทีหลังก็ดังกว่านะ” หลิวหลียื่นมือขวาออกมา เปลวไฟสีม่วงก็ปรากฏขึ้น
“เพลิงอัสนีคราม”
“ตอนแรกข้าอยากจะทำตัวติดดิน แต่จะทำอย่างไรได้ความสามารถมันปิดไว้ไม่มิดจริงๆ” เมื่อหลิวหลีพูดจบ ก็นำเพลิงอัคคีของตัวเองคลุมพืชศักดิ์สิทธิ์ไว้ เพลิงอัคคีมีคุณสมบัติในการผาไหม้ประสาทเซียน เพลิงอัคคีของไป๋หลี่เหลียนกับมู่หรงอวิ๋นตั่วไม่ใช่ลูกไฟ พวกเขายืมสำนักมาสุดท้ายก็ต้องคืนไป
“คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กคนนี้มีเพลิงอัคคีแต่ไม่ใช้ กลับใช้ไฟธรรมดา อีกทั้งยาที่ทำดูเหมือนจะเป็นยาระดับ 6 น่าเสียดาย เกรงว่าถึงมีเพลิงอัคคีก็คงทำไม่สำเร็จแล้ว”
หลิวหลีรวบรวมสมาธิ จัดการกับพืชศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือเปล่าอย่างชำนาญ ท่าทางของนางทำให้คนตกตะลึง คล่องแคล่วเหลือเกิน นางใช้มือเปล่าปรุงยาได้โดยไม่ต้องใช้เตาปรุงยาด้วยซ้ำ สุดท้ายเหลือเวลาเพียงเล็กน้อย ทุกคนจึงวางมือ หลิวหลีเองก็ปรุงยาออกมาได้สำเร็จแล้ว นางจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ไป๋หลี่เหลียน ยาระเบิดพลังระดับ 5 คุณภาพระดับกลาง”
“มู่หรงอวิ๋นตั่ว ยากักพลังเซียนระดับ 5 คุณภาพระดับล่าง”
“ซ่งหนิง ยางูศักดิ์สิทธิ์ระดับ 6 คุณภาพระดับล่าง”
“เหอะ ที่หนึ่งเป็นของข้า” ซ่งหนิงพูดอย่างได้ใจ
“คนสุดท้าย หลิวหลี ยาสลายวิญญาณระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศ” จูเม่าปาดเหงื่อ สหายท่านนี้ดูจะแค้นอย่างยิ่ง
“ตอนนี้ผลออกมาเป็นเอกฉันท์แล้วว่าที่หนึ่งคือหลิวหลีจากสำนักเมฆาคล้อย”
“ข้าขอค้าน สำนักเมฆาคล้อยไม่มีคนชื่อนี้อยู่ด้วยซ้ำ” ซ่งหนิงคิดไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือแบบนี้ด้วย
“เหอะ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านปรมาจารย์เสวียนหั่วแห่งสำนักเมฆาคล้อย เจ้ากลับไม่รู้จักงั้นหรือ” เสียงของสุ่ยหลิงเอ๋อร์ดังลอยเข้ามา
แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 59 หลิวหลีประกาศศักดา
Posted by ? Views, Released on October 6, 2021
, แม่ครัวยอดเซียน
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน!
นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน!
หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ
จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง
แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต!
เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!!
เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า…
นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว
ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน
ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ?
แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!