แม่ครัวยอดเซียน – ตอนที่ 60 ผู้อยู่เบื้องหลังของหลิวหลีเป็นผู้มีอำนาจเหลือเกิน

 “ตาแก่เสวียนหั่ว สิ่งที่เด็กสาวคนนั้นพูดเป็นเรื่องจริงไหม” ไป๋หลี่ซูรู้สึกเคียดแค้นชิงชังเล็กน้อย เมล็ดพันธุ์ที่ดีขนาดนี้ได้ตาแก่เสวียนหั่วนี่เป็นอาจารย์แล้วหรือ ทั้งยังมีคุณสมบัติร่างกายที่ดีขนาดนี้ เมื่อครู่ที่จัดการกับพืชศักดิ์สิทธิ์ปรุงยาด้วยมือเปล่า สร้างความประหลาดใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก เขาอยากจะรับนางไว้เป็นศิษย์เองเสียด้วยซ้ำไป
“เคอเคอ ก็บอกแล้วว่าพวกเจ้ามีความสำคัญแค่เข้าร่วมเท่านั้น ลูกศิษย์ของข้าไม่อยากจะแสดงความสามารถแต่ความสามารถที่มีอยู่มันปิดไม่มิดจริงๆ” เสวียนหั่วพูดอย่างได้ใจ
 “ลูกศิษย์ของเจ้าเพิ่งจะได้ใบรับรองนักปรุงยาระดับ 3 มาเมื่อห้าวันก่อน แปลว่าจงใจปิดบังความสามารถที่แท้จริงเช่นนั้นหรือ” หลี่มั่วไป๋รู้สึกใจเต้นเล็กน้อยเช่นกัน เป็นหน้าเป็นตาได้ขนาดนี้ ทำให้ตอนนี้เขาเกิดความคิดอยากจะซัดเสวียนหั่วสักหนึ่งยกเหมือนกับไป๋หลี่ซู
“ข้าไม่ได้พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนเอง ลูกศิษย์ของข้าคิดว่าแค่ระดับสามก็พอแล้ว” เสวียนหั่วลูบจมูกด้วยความเก้อเขิน
“ลูกศิษย์ของเจ้าชำนาญการแก้ไขสูตรยาด้วยหรือ” ถึงขนาดรังเกียจรสชาติแย่จนต้องปรุงยาที่มีรสชาติขึ้นมา คงจะไม่มีใครอีกแล้ว
 “จะทำอย่างไรได้ ลูกศิษย์ของข้ากลัวความขมมาตั้งแต่เล็ก ก็เลยเริ่มปรับสูตรต่างๆนานา แถมนางยังเป็นแม่ครัวเซียนอีกด้วย อาหารที่นางทำรสชาติดีจริงๆ ทั้งยังปรับปรุงสูตรยามากมาย ยาเม็ดกับยาผงที่ศิษย์ระดับล่างของสำนักเมฆาคล้อยใช้อยู่ตอนนี้ เป็นสูตรที่ศิษย์ข้าปรับปรุงเองทั้งนั้น มีครบทุกรสชาติเลยล่ะ” เสวียนหั่วแบมืออกสองข้าง พูดราวเป็นเรื่องที่แสนจะเหนื่อยหน่ายใจ
“ตาแก่หลี่ ข้าอยากจะต่อยเขาจริงๆ” มือของไป๋หลี่ซูรู้สึกคันขึ้นมาเล็กน้อย ทำไมหมอนี่ถึงได้น่าโดนต่อยขนาดนี้
“ข้าก็รู้สึกเช่นกัน” หลี่มั่วไป๋ก็คิดเช่นเดียวกัน อย่าคิดว่าเขานิสัยอ่อนโยนแล้วจะไม่ชกต่อยคน
ลานด้านล่างก็คึกคักเช่นเดียวกัน
“เจ้าคือปรมาจารย์อาหลิวหลีเหรอเนี่ย” มู่หรงอวิ๋นตั่วแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง ปรมาจารย์อาหลิวหลีที่นางมองเป็นแบบอย่างมาโดยตลอด พระเจ้า สมแล้วที่แบบอย่างของนาง สุดยอดจริงๆ ความกังวลเล็กน้อยก่อนหน้านี้หายไปในพริบตา บุคคลนิรนามอะไรกัน นางคือความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักเรา
“หลิงเอ๋อร์เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าสำนักเมฆาคล้อยมีคนเช่นนี้อยู่” จู้อี่เสียนพูดพลางดึงสุ่ยหลิงเอ๋อร์
“จริงด้วย เจ้ามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าเจ้าเป็นคนของสำนักเมฆาคล้อย” ซ่งหนิงตะโกนขึ้นด้วยใบหน้าที่โหดเหี้ยม
 “พิสูจน์หรือ ชิ้นนี้ได้ไหม” ทำไมไปที่ไหนก็ต้องยืนยันตัวเองด้วย หลิวหลีชูป้ายหยกขึ้นมาอย่างรำคาญใจ มู่หรงอวิ๋นตั่วมองดูป้ายหยก แล้วตกตะลึง เป็นของจริงจริงด้วย อาจารย์อาท่านนี้มีสถานะเทียบเท่ากับผู้คุมหอจริงๆ
“คารวะปรมาจารย์อา” ป้ายหยกสถานะเป็นของจริง มู่หรงอวิ๋นตั่วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ถ้าเป็นเช่นนี้ คนที่ได้ที่หนึ่งคือสหายหลิวหลีจากสำนักเมฆาคล้อย ใครมีข้อโต้แย้งหรือไม่” จูเม่าตะโกนเสียงดัง
 “ไม่มี” คนที่เหลือพูดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน คนที่มีความสามารถขนาดนี้จะเป็นผู้ไร้ชื่อเสียงเรียงนามได้อย่างไรกัน
“เอาล่ะ ของรางวัลที่จะให้กับผู้ชนะ 3 อันดับแรก อันดับที่ 3 ไป๋หลี่เหลียน โสมราชามังกรพันปี 1 ต้น หินวิญญาณระดับสูง 1,000 ก้อน”
“ขอบคุณมาก” ไป๋หลี่เหลียนพูดแล้วรับถุงเก็บของมา อันดับที่ 3 ยังไม่ถึงขั้นทำลายชื่อเสียงของสำนักโอสถ เพียงแต่ก่อนนี้ตนเองรู้สึกทะนงตนมากเกินไป ครั้งนี้ถือเป็นการเตือนสติตัวเองได้ไม่น้อย
 “อันดับที่ 2 ซ่งหนิง ช่อไม้แห้งหมื่นปี 1 ก้าน หินวิญญาณคุณภาพชั้นเลิศ 100 ชิ้น” น้ำเสียงแตกต่างกันมาก
“ขอบคุณมาก” ซ่งหนิงพูดขึ้นอย่างไม่เต็มใจ เดิมทีอันดับที่หนึ่งควรจะเป็นของเขา ใครจะรู้ว่าจะมีคนแบบนี้โผล่ออกมา
“อันดับที่ 1 หลิวหลี เตาแปรตามกรรม 1 ใบ หินวิญญาณคุณภาพชั้นเลิศ 1,000 ชิ้น” น้ำเสียงฟังดูตื่นเต้นเล็กน้อย
“น่าเจ็บใจจริงๆ” ซ่งหนิงไม่อยากยอมรับ เขามองหลิวหลีที่ยิ้มเยาะเย้ยแล้วรับถุงใส่ของมา
 “เตาแปรตามกรรมใช้ได้เลย” หลิวหลีเขย่าถุงรับของไปมาแล้วเอ่ย
“สู้เตาเหนือสามัญของเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ” เอ๋าเลี่ยส่งเสียง
“เอาไว้หลอกคนอื่นน่าจะพอได้อยู่” หลิวหลีเก็บถุงเก็บของเข้าไปแล้วก็ส่งเสียงพูดขึ้น
ตาของซ่งหนิงแทบจะพ่นพิษออกมาได้อยู่แล้ว นี่คือศิษย์ของสำนักหลัก ได้ทรัพยากรดีๆเป็นจำนวนมาก ตัวเองลำบากมานานขนาดนี้ ไม่อยากจะยอมเลยจริง ๆ
 “สหายซ่งที่อยู่ตรงนั้น อยากจะประลองรอบพิเศษดูสักตั้งไหม ข้าจะใช้ไฟธรรมดา ส่วนเจ้าใช้เพลิงพยัคฆ์อัคคีโลหิตม่วง ลองมาดูประสิทธิภาพของยากัน” หลิวหลีเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ยิ่งชอบกลั่นแกล้งคนที่อับจนหนทาง คนนิสัยแบบนี้ มาเป็นนักปรุงยาได้อย่างไร
“ทำไมต้องประลองด้วย” ซ่งหนิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
“ก็เพราะว่าเจ้าอยากได้เตาแปรตามกรรมในมือข้าอย่างไรล่ะ เป็นอย่างไร ถ้าเจ้าชนะ เตาแปรตามกรรมเป็นของเจ้า ถ้าแพ้เจ้าก็ต้องยอมขอโทษข้าด้วยความเต็มใจ”
ซ่งหนิงกระวนกระวายใจ เขาย่อมอยากได้เตาแปรตามกรรม แต่พอนึกถึงความเชี่ยวชาญในการปรุงยาของหลิวหลี เมื่อครู่นางใช้เพลิงอัคคีปรุงยา หากใช้ไฟธรรมดา นางอาจแพ้ตนเองก็ได้ แต่ถ้าอีกฝ่ายใช้ไฟธรรมดาก็แล้วยังเอาชนะตนเองได้อีก เขาก็เต็มใจจะขอโทษอีกฝ่าย
“ก็ได้ ข้าจะประลอง”
“แย่แล้ว เหมือนศิษย์ของเจ้าจะคิดไม่ตกนะ ตาแก่เสวียนหั่ว” ไป๋หลี่ซูพูดพลางส่ายหน้า
“ไม่ใช่สักหน่อย เด็กนั่นยั่วโมโหนาง นักปรุงยาระดับ 6 ของพวกเจ้าใช้อะไรมาวัด ขอเพียงแค่สามารถปรุงยาระดับ 6 ได้เท่านั้นเอง ไม่สิ นักปรุงยาระดับ 6 ในสายตาศิษย์ข้า จะต้องสามารถใช้ไฟธรรมดาปรุงยาคุณภาพชั้นเลิศออกมาได้ จึงจะเรียกเป็นนักปรุงยาระดับ 6 ได้ ความจริงแล้วคือถึงนางจะใช้ไฟธรรมดาก็สามารถปรุงยาระดับ 6 คุณภาพชั้นเลิศออกมาได้ เด็กคนนั้นหัวเสียจนต้องหาที่ระบายมากกว่า” เสวียนหั่วมองดูซ่งหนิงด้วยความเวทนาแล้วพูดขึ้น
 “แต่ข้าก็จะไม่ใช้เพลิงราชสีห์ผนึกม่วง ข้าก็จะใช้ไฟธรรมดา” ซ่งหนิงพูด
“เฮ้อ เด็กนี่ก็หัวแข็งเหมือนกัน สงสัยอยากได้เตาปรุงยามากเสียจนตาลาย จึงกล้าทำเรื่องอะไรแบบนี้” เอ๋าเลี่ยกล่าว
“ถือว่าเขายังมีความกล้า แต่จะยึดติดมากเกินไปไม่ดี” ถึงแม้หลิวหลีจะเป็นเพียงเด็กอายุ 20 ต้นๆ แต่ก็สามารถมองปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ได้” หลิวหลีพูดคุยกับเอ๋าเลี่ยเสร็จก็กล่าวออกมา
 “น้องหลิงเอ๋อร์เจ้ารู้จักคนที่มีความสามารถขนาดนี้เลยหรือ” จู้อี่เสียนเอามือจับจมูกแล้วพูดขึ้น เมื่อครู่เขาโดนท่านพ่อส่งเสียงมาสั่งสอนแล้ว ในนั้นมีคนสำคัญขนาดนั้นแต่กลับไม่รู้ ยังสู้สุ่ยหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆที่เพิ่งเคยออกจากบ้านครั้งแรกไม่ได้แต่ว่าทำไมหลิงเอ๋อร์ที่ไม่เคยออกจากบ้านมาก่อนถึงรู้จักคนแบบนี้ได้
“ไม่เท่าไหร่หรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้จักนางที่เมืองต้าเย่ นางเป็นคนจิตใจดี ถ้าปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ นางจะตอบแทนกลับมาร้อยเท่าพันทวี” สุ่ยหลิงเอ๋อร์จับกำไลข้อมือราชางูหลามมรกตแล้วพูดขึ้น ลี่ว์หลีก็สัมผัสสุ่ยหลิงเอ๋อร์กลับเช่นกัน
“ช่างเป็นคนที่จิตใจบริสุทธิ์จริงๆ” จู้อี่เสียนนิ่งไปอยู่นานแล้วจึงเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา แล้วก็มองดูการประลองของทั้งสองคน
หลิวหลีสูดหายใจเข้าลึก ตั้งใจจะปรุงยาฝึกโคจรลมปราณระดับ 6 ที่ก่อนนี้ปรุงไม่สำเร็จ นางยังคงจัดการพืชศักดิ์สิทธิ์อย่างคล่องแคล่วเช่นเคย ผู้คนที่ดูอยู่ถึงกับตกตะลึง สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์เสวียนหั่ว หลิวหลีไม่ได้รับผลกระทบจากบรรยากาศ  แต่นางก็ยังใช้ประสาทเซียนคลุมเตาเอาไว้ชั้นหนึ่ง อย่างไรเสียก็ควรจะต้องกันไว้ก่อน หลิวหลีใส่พืชศักดิ์สิทธิ์เข้าไปตามความร้อนของไฟ
“ควบคุมความร้อนได้สุดยอดมาก” หลี่มั่วไป๋พูดด้วยความประหลาดใจ ตอนที่พวกเขาอายุเท่านี้ควบคุมไฟแบบนางไม่ได้ด้วยซ้ำ
 “ใช่ น่าเสียดายที่ถูกตาแก่เสวียนหั่วแย่งตัวไปเสียแล้ว” ไป๋หลี่ซูไม่เข้าใจว่าเมล็ดพันธุ์ที่ดีขนาดนี้ ทำไมถึงถูกเสวียนหั่วเก็บได้ ตอนนี้อัตราความเป็นไปได้ที่จะให้นางทรยศออกจากสำนักมีอยู่เท่าไหร่กัน
“เคอเคอ พวกเจ้าก็อิจฉากันไปเถอะ นางเป็นศิษย์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในใจข้า พรสวรรค์ของนางอยู่เหนือข้าเสียอีก” เสวียนหั่วรู้สึกพึงพอใจในพรสวรรค์ของหลิวหลีอย่างมาก
“อยากจะต่อยเขาจริงๆ” ไป๋หลี่ซูกับหลี่มั่วไป๋ประสานเสียงกันในใจ
เพียงไม่นานทั้งสองก็ทำการปรุงยาของตัวเองจนเสร็จ เหลือขั้นตอนสุดท้ายคือ การเข้ารับการประเมินคุณภาพของยา

แม่ครัวยอดเซียน

แม่ครัวยอดเซียน

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ฝึกเซียนที่นางเอกทำอาหารเก่งมาก อ่านไปหิวไปแน่นอน! นางย้อนเวลามาอยู่ในร่างของ ‘หลี่หลิวหลี’ ลูกนอกสมรสของตระกูลเศรษฐี และมีชะตาแห่งเซียน! หลังจากจากเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนเพื่อเป็นเซียน นางก็ได้หินเหล็กชิ้นหนึ่งมาโดยบังเอิญ จึงต้องตามรวบรวมเพลิงอัคคีทั้ง 9 เพื่อสร้างมิติของตนเอง แถมงูตัวสีแดงที่เก็บกลับมายังเป็นถึงสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อย่างมังกรโลหิต! เท่านั้นยังไม่พอ เด็กน้อยที่เก็บ(?)ได้ดันเป็นชายหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งแห่งโลกเซียน!! เส้นทางการเป็นเซียนของหลิวหลีช่างดูรุ่งโรจน์และราบรื่น ทว่า… นางใฝ่ฝันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วว่าอยากเป็นแม่ครัว ดังนั้น นางจึงไม่แยแสว่าที่แห่งนี้คือโลกแห่งเซียน ฝึกตนแล้วอย่างไร? บำเพ็ญเพียรแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วเป็นแม่ครัวด้วยไม่ได้รึ? แม้จะต้องบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน แต่วิถีแม่ครัวนางก็จะไม่ละทิ้งเด็ดขาด!

Options

not work with dark mode
Reset