เจียงป่าวชิงถือกล่องยาเดินออกจากบ้านไป
คนที่ปากภูเขาส่วนใหญ่ไปร่วมวงดื่มเหล้ากันหมดแล้ว ตอนนี้ในหมู่บ้านค่อนข้างเงียบ ทว่าโชคดีที่ค่ำคืนนี้พระจันทร์สวย แสงสีเหลืองนวลส่องสว่างให้ถนนบนภูเขาไม่มืดเกินไปนัก
เจียงป่าวชิงค่อย ๆ เดินลงมาจากด้านข้างของถนนบนภูเขา ตอนที่นางกำลังเด็ดสมุนไพรอย่างมีความสุขอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้น ต้องมีคนเดินอยู่แถวนี้เป็นแน่
เนื่องจากนางอยู่บนทางลาด เสียงเดินของใครคนนั้นดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน
เจียงป่าวชิงหยุดเด็ดสมุนไพรแทบทันที กลั้นหายใจฟังเสียงเคลื่อนไหวอย่างระแวดระวัง พลางเข้าไปซ่อนตัวตรงพุ่มไม้ในหุบเขาและเห็นคนมาใหม่ภายใต้แสงจันทร์
บุคคลปริศนาคนนั้นคือมู่จิ้งอี๋นั่นอง
หากให้บอกตามตรง เจียงป่าวชิงเกือบลืมชายผู้ที่ซูรุ่ยเอ๋อร์ลักพากลับมาแล้ว เพราะเขาผู้นี้ไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลยตลอดการอยู่ที่นี่ เขาเงียบมาก เงียบกว่าชายทุกคนที่ซูรุ่ยเอ๋อร์เคยลักพาเอาตัวกลับมา
เรียกได้ว่าอยู่อย่างเรียบง่ายเงียบเชียบจนคนในหมู่บ้านเกือบลืมเขาแล้ว
แต่เจียงป่าวชิงไม่ลืม มีครั้งหนึ่งตอนที่นางเดินผ่านที่พักของซูรุ่ยเอ๋อร์ นางเห็นทั้งสองคนรำดาบด้วยกันที่ลานบ้าน มีจอกเหล้าสองจอกกับโถเหล้าวางอยู่บนโต๊ะหินด้านข้าง พวกเขาดูเหมือนคู่รักปกติที่รักใคร่ชอบพอกันมาก
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าคนในหมู่บ้านจะไม่ค่อยเห็นมู่จิ้งอี๋บ่อยนัก เขาเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้สะดุดตาอะไร
ทว่าตอนนี้ จู่ ๆ นางก็มาเห็นมู่จิ้งอี๋ในสถานที่แปลก ๆ ยามวิกาล เจียงป่าวชิงกลั้นหายใจอย่างระมัดระวัง นางตกใจมากเมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้าของมู่จิ้งอี๋ไม่มีรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่มักจะเห็นได้ตามปกติ สีหน้าของเขาในเวลานี้เคร่งขรึม ฝีเท้าแผ่วเบาก้าวเดินผ่านทางบนภูเขาและหยุดเป็นครั้งคราวเพื่อมองไปรอบ ๆ
เมื่อมู่จิ้งอี๋เดินไปไกลแล้ว เจียงป่าวชิงถอนหายใจออกมายาว ๆ นัยน์ดวงตาของนางฉายแววสงสัยไม่อยากปล่อยเรื่องนี้ไป
……
อรุณรุ่งวันต่อมา หลายคนปวดศีรษะราวกับถูกใครมาทุบสมองด้วยค้อน
หัวหน้าจิ้นไปยังสนามฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างฮึกเหิม เมื่อเขาเห็นผู้คนพากันส่งเสียงโอดครวญครางฮือกันอยู่ที่สนามฝึก ไม่ต้องพูดเลยว่าเขารู้สึกสบายใจมากแค่ไหน
‘เหอะ ไอ้พวกไก่อ่อน!’
หลายคนสังเกตเห็นว่าสีหน้าของจิ้นเทียนหยู่ยังดีอยู่ เขาจึงลุกขึ้นนั่งบนพื้นด้านข้างอย่างหมดแรงและพูดขึ้นด้วยความรู้สึกว่านี่มันไม่ยุติธรรม “หัวหน้าสาม เมื่อคืนท่านคงไม่ได้เทเหล้าทิ้งหรอกใช่ไหมขอรับ ?”
จิ้นเทียนหยู่ต่อว่าอีกฝ่าย “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร เห็นข้าเป็นคนแบบนั้นรึ ?!”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมสีหน้าของท่านถึงยังดีอยู่ล่ะขอรับ ?!”
ทุกคนพากันไม่เชื่อ ไม่มีอาการเมาค้างหรือสีหน้ามึนงงปรากฏอยู่บนใบหน้าของจิ้นเทียนหยู่ด้วยซ้ำ
พูดถึงเรื่องนี้ ความลำพองใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจิ้นเทียนหยู่ เมื่อคืน หลังจากที่เขากลับไปอย่างมึนเมา เขาจำได้ราง ๆ ว่าเจียงป่าวชิงนำต้มสร่างเมาที่ผ่านการต้มจนเข้มข้นมาส่งให้เขา เขาดื่มมันเสร็จเรียบร้อยก็หลับไปทันที ตื่นขึ้นมาตอนเช้าของวันนี้ ตัวเขาเบาสบายราวกับว่าเมื่อคืนเขาไม่ได้ดื่มเหล้ามาแม้สักจอกเดียว
เมื่อคิดว่าเจียงป่าวชิงตั้งใจนำต้มสร่างเมามาส่งให้เขา ความรู้สึกสบายใจแล่นเข้าเกาะกุมหัวใจ รู้สึกแช่มชื่นราวกับกินยาวิเศษที่ทำให้ตัวเบาเหมือนลอยได้มาหนึ่งถ้วยใหญ่อย่างไรอย่างนั้น
“สีหน้าข้าดีแล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าฮึ ?!” จิ้นเทียนหยู่ลำพองใจอย่างมาก
เดิมทีทุกคนดื่มเหล้าด้วยกัน เมาค้างและทรมานด้วยกันมันก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่มีคนทรยศในหมู่พวกเขา ดื่มเหล้าแต่ไม่เมาค้างและไม่ทรมานนี่สิ ต้องจัดการเสียให้เข็ด!
ถ้าหากปล่อยลอยนวลไป แบบนี้ใครเล่าจะทนไหว!
ประกอบกับจิ้นเทียนหยู่มีท่าทางลำพองใจตอนที่ตอบพวกเขา มันทำให้เขาดูกวนอารมณ์มากยิ่งขึ้น
ทุกคนรู้สึกแค้นใจจนคันมือยุบยิบหมดแล้ว
เดิมทีเจียงป่าวชิงเตรียมต้มสร่างเมาไว้มากพอสมควร นางตั้งใจจะนำไปส่งในวงเหล้า แต่ตอนที่นางเดินถือกาน้ำใส่ยาสมุนไพรมาส่ง ชายเมาเหล้าสองสามคนขวางทางและพูดจาหยอกล้อนางอยู่ตรงทางเข้า
“หมอเจียง ไม่ใช่ว่าหัวหน้าสามไล่เจ้าไปแล้วรึ เจ้ามาอีกทำไม ?”
“ฮ่า ๆ ๆ หัวหน้าสามคงเห็นว่าเจ้าไม่เข้าพวกเกินไปจึงทนไม่ไหว”
“ก็ใช่ พวกผู้ชายแข็งแรงบึกบึนอย่างพวกข้าดื่มเหล้า เจ้าไม่ต้องมาร่วมสนุกหรอก!”
“ดูผิวบอบบางนุ่มละมุนของเจ้าสิ ไอ้โย! ไม่แปลกใจเลยที่หัวหน้าสามจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็น เจ้ามันไม่เหมือนพวกผู้ชายแม้แต่น้อย”
เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนชอบอาฆาตแค้นอะไร เมื่อนางได้ฟังคำพูดถากถางดูแคลนเหล่านี้ก็ทำเพียงยิ้มเท่านั้น
ไม่ใช่พวกผู้ชายใช่ไหม ได้! เช้นนั้นพวกผู้ชายแข็งแรงบึกบึนอย่างพวกเจ้าก็เชิญเมาหัวราน้ำไปเถอะ เห็นทีว่าต้มสร่างเมาจากคนผิวบอบบางนี้คงไม่จำเป็นแล้ว
เจียงป่าวชิงเดินถือกาน้ำใส่ยาสมุนไพรกลับไป นางไม่ได้อาฆาตแค้นใคร แต่ถ้าหากแก้แค้นได้ นางคงแก้แค้นตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว
ถ้าพวกโจรที่ปวดศีรษะจากการเมาค้างรู้ว่าพวกคนที่ขวางทางและพูดจาเหลวไหลกับเจียงป่าวชิงทำให้สูญเสียอะไรไปนั้น คาดว่าพวกโจรเมาค้างทั้งหลายคงเล่นงานคนพวกนั้นจนลงจากเตียงไม่ได้ไปหลายวันเป็นแน่แท้
แต่เพราะจิ้นเทียนหยู่ช่วยกู้หน้าแทนนางในวงเหล้า ประกอบกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เจียงป่าวชิงจึงเหลือให้จิ้นเทียนหยู่หนึ่งถ้วย ในตอนเช้าหลังจากเมาค้าง นอกจากคนที่คอทองแดงดื่มเก่งเป็นพิเศษตั้งแต่เกิดแล้ว ในหมู่บ้านมีเพียงแค่จิ้นเทียนหยู่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้สึกทรมาน ทั้งยังมีเรี่ยวแรงฮึกเหิมกว่าปกติอีกต่างหาก
……
เจียงป่าวชิงนั่งตากเครื่องปรุงยาและสมุนไพรอยู่ในลานบ้านกับเจียงฉิง ทันใดนั้นทั้งสองก็ได้ยินคนเคาะประตูบ้านจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง
มู่จิ้งอี๋ยืนงอนิ้ว กำลังเคาะประตูบ้านอยู่ตรงทางเข้า
“แขกที่ไม่ค่อยมาบ่อย” เจียงป่าวชิงพึมพำพลางลุกขึ้นยืน
มูจิ้งอี๋ไม่ได้รู้สึกโกรธต่อท่าทีเย็นชาของนาง เขาได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าหมอเจียงคนนี้ดูเหมือนอ่อนโยนและเป็นมิตร แต่แท้จริงนั้นหมอเจียงเป็นคนเย็นชามากแล้วยังแปลกอีกด้วย เอาเข้าจริงไม่ถือว่าเข้ากับคนง่าย
เจียงฉิงกะพริบตามองสังเกตมู่จิ้งอี๋อย่างละเอียด นางเห็นผู้ชายที่ถูกมัดจนหมดสติจากที่ไกล ๆ ในวันที่หัวหน้าซูลักพาตัวเขากลับมา เมื่อนางสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่าเขาหน้าตาหล่อเหลาดีจริง ๆ
‘อืม แต่ก็ยังดูดีไม่เท่าพี่สาวของข้าที่ปลอมตัวเป็นผู้ชาย’ เจียงฉิงตัดสินชี้ขาดในใจ
มู่จิ้งอี๋ทักทายเจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่ดูแปลก ๆ เล็กน้อยในสายตาเจียงป่าวชิง
“โย! หมอเจียง ข้าคงต้องขอรบกวนเจ้าแล้ว เมื่อคืนรุ่ยเอ๋อร์ดื่มเหล้าเยอะ ข้าจึงทำต้มสร่างเมาให้นาง แต่เหมือนว่าต้มสร่างเมาที่ต้มตามสูตรปกติจะไม่ค่อยได้ผลเพราะข้าเห็นว่านางยังคงทรมานอยู่ ข้ารู้ว่าหมอเจียงมีทักษะในด้านนี้จึงอยากถามหมอเจียงเกี่ยวกับเรื่องสูตรต้มสร่างเมาสักหน่อย”
เจียงฉิงได้ฟังก็อดส่งเสียงอุทานไม่ได้
เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับนางชอบฟังนิทานวีรบุรุษรักสาวงามทำนองนี้ที่สุด รูปลักษณ์ของมู่จิ้งอี๋นั้นสอดคล้องกับลักษณะของตัวเอกในนิทานเป็นอย่างมาก ทั้งหล่อเหลาทั้งอ่อนโยน นอกจากนี้เขายังเอาใจใส่และรักใคร่หัวหน้าซูด้วย นี่เกือบจะฆ่าสาวน้อยอย่างเจียงฉิงให้ตายในทันทีเลยก็ว่าได้
เจียงป่าวชิงยืนอยู่กับที่ไม่ได้ขยับตัวแต่อย่างใด นางจ้องมู่จิ้งอี๋สักครู่ก่อนจะเผยรอยยิ้มนิ่ง ๆ ออกมาให้เห็น แต่น้ำเสียงของนางกลับแฝงไปด้วยความหมาย “เจ้าดีกับหัวหน้าสองของพวกข้ามาก”
มู่จิ้งอี๋ยิ้ม “อืม รุ่ยเอ๋อร์จริงใจกับข้า ข้าก็ต้องตอบแทนนางด้วยความจริงใจเป็นธรรมดา เรื่องความรู้สึกนี้ ต่อไปหมอเจียงเจอกับหญิงที่ถูกใจก็จะเข้าใจเอง”
เจียงป่าวชิงยิ้มจาง ๆ แต่นางไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม นางหมุนตัวเดินไปที่ห้องยา เลือกยาออกมาเล็กน้อยแล้วถือกล่องยาขึ้นมา “ข้าจะไปกับเจ้า จะได้จับชีพจรตรวจตราอาการให้หัวหน้าสองด้วย”
มู่จิ้งอี๋รู้ว่าเจียงป่าวชิงไม่เชื่อใจเขา แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น “หมอเจียงไปด้วยตัวเองได้ยิ่งดี เช่นนั้นก็รบกวนหมอเจียงด้วยแล้วกัน”