คำว่าเจรจา มันไม่ควรมีคำข่มขู่ปนอยู่มากถึงเพียงนี้มิใช่หรือ ?
หลิวหมิงอันยิ้มจาง ๆ “ชายชาตรีผู้นี้ ทำไมต้องปากแข็งด้วย การที่พวกเจ้ามาประชุมตัวคนเดียว ไม่ใช่ว่าเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดแล้วหรือ เราจะไม่พูดอ้อมค้อม พวกเจ้าปล่อยตัวน้องชายข้ากับเพื่อนเล่นของเขาซะ แล้วเราจะทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”
“ไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ ?” จิ้นเทียนหยู่พูด “ใครสามารถรับรองได้ ? ถ้าหากว่าเราปล่อยตัวประกันแล้วพวกเจ้าดันขายเราให้กับฝ่ายรักษาความปลอดภัยบ้านเมืองเล่า…” สายตาจิ้นเทียนหยู่จับจ้องไปที่หลิวหมิงอันกับกงจี้ สุดท้ายก็หยุดที่กงจี้ “หรือว่าเดิมทีพวกเจ้าก็เป็นคนของฝ่ายนั้นอยู่แล้ว ทั้งยังมีแผนที่ทางขึ้นมาหมู่บ้านเราด้วย เมื่อถึงเวลาปราบปรามก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าอยู่ดีนั่นแหละ!”
หลิวหมิงอันเคาะนิ้วบนโต๊ะเบา ๆ “เรื่องนั้นพวกเจ้าสบายใจได้ พวกเจ้าล้วนมีภาระหนี้สินในชีวิต ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ก็ปล้นรถม้าขุนนางที่เกษียณแล้วด้วยหนิ มันเป็นเรื่องที่ไม่ช้าก็เร็วที่จะดึงดูดพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่ตอนนี้มีความโกลาหลเกิดขึ้นบ่อยครั้งในชายแดน พวกเจ้าหน้าที่คงไม่มีเวลามาสนใจพวกเจ้า ที่พวกข้าเผชิญหน้ากับพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าพวกข้าเป็นฝ่ายถูกต้องหรืออะไร ก็แค่คนฝั่งของพวกข้าอยู่ในกำมือพวกเจ้าเท่านั้น เพียงแค่พวกเจ้าปล่อยตัวพวกเขาออกมา พวกข้าจะไม่ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แน่นอน”
หลิวหมิงอันหัวเราะเสียงเบา “หึ ๆ เพราะถึงยังไง สำหรับสตรีผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงแล้ว การที่ถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปก็เป็นรอยแปดเปื้อนที่ไม่อาจลบล้างได้ นั่นอาจทำลายชีวิตของนางไปตลอดชีวิตได้เลยทีเดียว”
คิ้วคมของซูรุ่ยเอ๋อร์เลิกขึ้น ริมฝีปากที่แต่งแต้มด้วยสีแดงงดงามดุจดั่งกลีบกุหลาบอ้าออกหัวเราะเบา ๆ “หึ ๆ ๆ ท่านหลิวกับน้องชายของท่านนี่ช่างเอาใจใส่ดีจริง คนหนึ่งเข้าไปในถ้ำเสือเพื่อช่วยคนรัก อีกคนพยายามทำเพื่อรักษาชื่อเสียงของสาวน้อย การที่ระมัดระวังกันเช่นนี้… เพราะกลัวว่าจะทำให้คนดีต้องมาบาดเจ็บตอนที่โจมตีคนร้ายใช่ไหม ?”
ซูรุ่ยเอ๋อร์หัวเราะเยาะตัวเอง “เหอะ ๆ ๆ ไอ้ยา! ไม่คิดเลยว่าวันนึงข้าจะได้พูดคำพูดที่น่าเศร้าโศกแบบนี้ อาจเป็นเพราะยังลืมไม่ลง… ช่างเถอะ ทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
คนนอกอาจไม่เข้าใจ แต่พวกกู่ฟู่กุ้ยกลับรู้ว่าเหตุใดซูรุ่ยเอ๋อร์ถึงยังลืมไม่ลงเช่นนี้ นั่นคงเป็นเพราะนางให้ความจริงใจไปแล้ว
เจียงป่าวชิงหลุบสายตาลง
แม้หลิวหมิงอันจะไม่เข้าใจความหมายที่ซูรุ่ยเอ๋อร์พูด แต่ตามข้อมูลแล้ว เขารู้ว่าหญิงสาวงดงามหยาดเยิ้มทว่าแฝงความเกียจคร้านอยู่ในทีตรงหน้าคนนี้ไม่ได้บอบบางอย่างรูปลักษณ์ภายนอกของนาง ดูก็รู้ว่านางสามารถใช้แส้เหล็กขูดกระดูกและเนื้อคนได้อย่างง่ายดาย
“แม่นางซูทำพูดเล่นไปได้” หลิวหมิงอันพยักหน้าให้ซูรุ่ยเอ๋อร์อย่างเกรงใจ “ข้ารับประกันได้ว่าน้องชายข้ากับเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเขาสำคัญจริง ๆ ถ้าพวกเจ้ายอมตกลงปล่อยพวกเขา เราสามารถถอนกำลังในข้ามคืนเพื่อให้การรับรองว่าพวกเจ้าจะไม่ถูกรบกวนอีก”
จิ้นเทียนหยู่แค่นหัวเราะ “รับรองอย่างนั้นรึ ยังไงล่ะ ? พูดปากเปล่าไม่มีหลักฐานชัด ๆ”
หลิวหมิงอันหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาโตมาจากในตระกูลสูงศักดิ์ตั้งแต่เด็กและเข้าร่วมกองทัพโดยที่ยังอายุไม่ครบยี่สิบปีด้วยซ้ำ ตัวเขาทำสงครามปราบปรามอยู่ในกองทัพเป็นเวลาหลายปี และเขาคิดว่าตัวเองเป็นชายชาตรีหัวแข็งดื้อรั้นคนหนึ่ง การที่เขาถูกใครมาหาว่าพูดปากเปล่าโดยไม่มีหลักฐานครั้งแล้วครั้งเล่า ต่อให้อารมณ์ของเขาจะดีแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดยั้งความหงุดหงิดได้
กงจี้ที่เงียบมาตลอดส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย “เจ้าไม่เชื่อก็ช่างเถอะ”
จิ้นเทียนหยู่ไม่ถูกชะตากงจี้ตั้งนานแล้ว เขาตบโต๊ะ กำลังจะลุกขึ้นด่าแต่เจียงป่าวชิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขารีบดึงชายเสื้อของเขาไว้ก่อน
หัวคิ้วกงจี้กระตุกทันที ไฟโกรธในใจพลันปะทุทันควัน เขารู้ปัญหาของนางเป็นอย่างดี นางเหมือนกับเขาที่ไม่ชอบให้คนมาแตะโดนตัว แต่ตอนนี้นางกลับเป็นฝ่ายยื่นมือไปดึงชายเสื้อของไอ้โจรภูเขาคนนั้นเสียเอง!
ความสัมพันธ์ที่ดูจะสนิทสนมกันเสียเหลือเกินนี้ ยังต้องพูดอีกรึ!
กงจี้ที่มีไฟอิจฉาปะทุอยู่ในใจ เขาจ้องจิ้นเทียนหยู่ด้วยสายตาเย็นชา
เดิมทีหลิวหมิงอันอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเขาเห็นสถานการณ์แล้วก็ปิดปากสนิททันที
รู้จักกับนายท่านผู้นี้มาหลายปี ปรัชญาการเอาชีวิตรอดประการหนึ่งที่หลิวหมิงอันได้เรียนรู้คือ เมื่อนายท่านคนนี้โกรธ ตัวเขาเองจะต้องหุบปากไม่พูดอะไร และแสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“หัวหน้าสาม เรามาเจรจาไม่ได้มาลงไม้ลงมือ” เจียงป่าวชิงเตือนเสียงเบา
จิ้นเทียนหยู่สูดหายใจเข้าลึก ๆ พลางนั่งลงไปอย่างแรงโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนกงจี้มีความอิจฉาปะทุแทบลุกเป็นเพลิงอยู่ในใจ เขาส่งสายตาอาฆาตใส่จิ้นเทียนหยู่อย่างไม่ลังเล
ครู่ต่อมากู่ฟู่กุ้ยที่ไม่ได้พูดอะไรมาโดยตลอดก็พูดขึ้นในที่สุด “ข้ามีเรื่องอยากถามพวกเจ้าหน่อย”
หลิวหมิงอันกำลังอยากให้มีใครสักคนพูดเบี่ยงเบนความสนใจของกงจี้ในตอนนี้อยู่พอดี ภายนอกเขาดูใจเย็นและสงบมาก แต่ตอนนี้ในใจเขากลับกำลังชื่นชมจิตวิญญาณเสียสละของกู่ฟู่กุ้ยอย่างบ้าคลั่ง
“เชิญพูด”
กู่ฟู่กุ้ยชี้ไปที่กงจี้ “คนผู้นี้แซ่กงใช่ไหม ?”
หลิวหมิงอันมองกงจี้ เมื่อเห็นว่ากงจี้นั่งทำสีหน้าเย็นชาและไม่มีท่าทีจะเปิดปากพูด เขาจึงพยักหน้าและพูดขึ้นแทน “ใช่ เขาแซ่กง… สิ่งที่หัวหน้ากู่อยากถามคือเรื่องนี้อย่างนั้นรึ ?”
กู่ฟู่กุ้ยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ใช่ ข้าอยากถามว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมา คนผู้นี้ใช่แม่ทัพกงในตำนานที่ขับไล่ศัตรูทรงพลังตรงชายแดนซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือเปล่า”
กงจี้มองเจียงป่าวชิง ซึ่งเจียงป่าวชิงเองก็มองไปที่เขาเช่นกัน จังหวะที่นางสบตากับเขา นางก็เบนสายตาไปทางอื่นทันที
กงจี้สีหน้าไร้อารมณ์ แต่มือของเขากลับกดขอบโต๊ะจนหลังมือแน่นตึงเส้นเอ็นนูนขึ้นมา เขากดแรงมากจนขอบโต๊ะเกิดเป็นรอยแตกร้าว
หลิวหมิงอันมองท่าทางกงจี้และแอบขยับห่างจากเขาเล็กน้อยแล้วค่อยตอบ “แซ่กงนั้นไม่ค่อยเห็นในกองทัพ ประกอบกับที่ว่าขับไล่ศัตรูทรงพลังซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยแล้ว… เขานี่แหละแม่ทัพกงตัวจริง”
ตลอดหลายปีมานี้ กงจี้สร้างกำลังทหารอย่างน่าทึ่งที่ชายแดนครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่เพียงแต่ขับไล่ชนชาติอื่นที่รุกรานเข้ามาปล้นเท่านั้น แต่ยังทิ้งตำนานไว้มากมายอีกด้วย แม้แต่โจรในหุบเขาลึกของแดนต้าหลงอย่างกู่ฟุ่กุ้ยก็เคยได้ยินกิตติศัพท์ความกล้าหาญของกองทัพตระกูลกงมาไม่น้อย เพราะเขาเองก็กังวลเรื่องกองทัพเสมอมา
เมื่อหลิวหมิงอันชี้แนะให้รับรู้ บนใบหน้ากู่ฟู่กุ้ยก็เต็มไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น เขาตบขาดังฉาดก่อนจะเอ่ยว่า “ข้ามองดูทหารนั้นและพบว่าไม่เหมือนทหารในกองทัพธรรมดา ประกอบกับน้องเจียงเคยพูดถึงชายแซ่กง ไม่คิดว่าการคาดเดาของข้าจะถูกต้อง เจ้าเป็นแม่ทัพกงจริง ๆ”
กู่ฟู่กุ้ยพูดเสร็จ จู่ ๆ เขาก็เก็บสีหน้า ลุกขึ้นโค้งตัวทำความเคารพด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่ทัพกง ข้าเป็นคนหยาบคายแต่ข้ายกย่องเชิดชูวีรกรรมในสงครามที่โดดเด่นในชายแดนของท่าน การทำความเคารพนี้มีไว้สำหรับคนดีเช่นท่านที่ปกป้องชายแดนด้วยจิตใจเด็ดเดี่ยว!”
แม้กงจี้จะเย็นชาและเย่อหยิ่งเล็กน้อย แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเลย เขาเองก็ลุกขึ้นแต่เพราะเขาไม่อยากแตะต้องกู่ฟู่กุ้ยจึงไม่ได้ยื่นมือไปห้ามท่าทางการเคารพของอีกฝ่าย ทำเพียงเอียงตัวหลบหลีกการทำความเคารพของกู่ฟู่กุ้ยเท่านั้น
“เจ้าชื่นชมข้าเกินไป ข้าเองก็มีความเห็นแก่ตัวเช่นกัน”
กู่ฟู่กุ้ยเงยหน้าขึ้น “ไม่ว่าแม่ทัพกงจะมีความเห็นแก่ตัวหรือไม่ แต่ตลอดหลายปีมานี้ เป็นความจริงว่าท่านต่อต้านการรุกรานจากชนชาติอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และการกระทำของแม่ทัพกงช่วยเหลือผู้คนที่ชายแดนไว้มากมาย ท่านช่าง… ช่าง…”
กู่ฟู่กุ้ยยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้น ตอนหลังเขากลับคิดคำพูดไม่ออกจึงกระทืบเท้า หันไปหาเจียงป่าวชิง “เจียงป่าวชิง เจ้าเป็นคนมีความรู้ เจ้าช่วยคิดคำพูดให้ข้าหน่อย เอาให้สมกับผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมอย่างแม่ทัพกงด้วยล่ะ”
เดิมทีกงจี้ยังคงฟังกู่ฟู่กุ้ยพูดชมเขาด้วยสีหน้าเย็นชา แต่เมื่อได้ยินชายร่างใหญ่นั้นสั่งให้เจียงป่าวชิงคิดคำพูดมาชื่นชมเขา สายตาของเขาเลื่อนไปจับจ้องนางทันที
.
.