เจียงป่าวชิงพูดด้วยสีหน้าราบเรียบโดยที่ยังสบตากงจี้อยู่ “หัวหน้าใหญ่อยากบอกว่าเขาเป็นคนที่ ‘ทุ่มเทความพยายาม’ ดีมาก ใช่หรือเปล่า ?”
กู่ฟู่กุ้ยตบขาดังฉาด “ทุ่มเทความพยายาม ใช่ ทุ่มเทความพยายาม!”
กงจี้เก็บสายตากลับมาอย่างสงบ ‘ทุ่มเทความพยายามงั้นรึ ทุ่มเทความพยายามบ้าบออะไรกัน!’ คำพูดที่เขาอยากได้ยินไม่ใช่อย่างนี้สักหน่อย
กู่ฟู่กุ้ยเอ่ยชมกงจี้จากใจยกใหญ่ ชมจนสีหน้าจิ้นเทียนหยู่เริ่มบึ้งบูด แต่เขานั้นเคารพกู่ฟู่กุ้ยจึงทนรอให้หัวหน้าใหญ่เอ่ยยกย่องเชิดชูจากใจจนจบก่อน ถึงจะพูดเตือนเสียงเบาอย่างทนไม่ไหว “พี่ใหญ่ อย่าลืมว่าตอนนี้เรากำลังเจรจาต่อรองกันอยู่”
ปัง!
กู่ฟู่กุ้ยตบโต๊ะอย่างแรง “ใช่ ๆ ๆ ด้วยการปฏิบัติตัวของแม่ทัพกง พวกเขาบอกว่าจะไม่บอกพวกเจ้าหน้าที่ นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะไม่บอกอย่างที่พูด แต่ยังไงก็ตาม หมู่บ้านฟู่กุ้ยของเราแม้จะเป็นโจร ตอนที่เราประสบทุพภิกขภัยก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับผู้คนที่อยู่ด้านล่างเขาแม้แต่น้อย ข้าไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายใจตนเอง เอาล่ะ… เชื่อฟังพวกแม่ทัพกงและปล่อยสองคนที่เรากังไว้ไปซะ!”
ซูรุ่ยเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไร ขณะที่จิ้นเทียนหยู่สีหน้าไม่สู้ดีนักแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ส่วนเจียงป่าวชิง นางไม่พูดอะไรอยู่แล้ว
แต่ทว่า… จ้าวซื่อไห่กลับโวยวายเสียงดังแหวกความเงียบ “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงประมาทเช่นนี้ ?! ท่านไม่กลัวว่าพอเราปล่อยคนของพวกเขาไปแล้ว พวกเขาจะยกทัพมาโจมตีเราทั้งหมดหรอกรึ ?”
กู่ฟู่กุ้ยเดินไปตบไหล่จ้าวซื่อไห่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เหล่าจ้าว ด้วยความเก่งกาจและกำลังทหารของแม่ทัพกง ถ้าหากว่าเขาอยากใช้วิธีนี้กับพวกเรา เกรงว่าตอนนี้เราห้าคนคงนอนเป็นศพไปนานแล้ว”
จ้าวซื่อไห่ยังอยากพูดอะไรต่อ แต่มือของกู่ฟู่กุ้ยที่กดอยู่บนไหล่เขาเพิ่มแรงขึ้นเล็กน้อย ทำเอาเขารู้สึกเจ็บจนสีหน้าเปลี่ยนและไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีก
“เดี๋ยว ข้ายังมีอีกหนึ่งเงื่อนไข” จู่ ๆ กงจี้เอ่ยขึ้น
จ้าวซื่อไห่ไม่ได้พูดอะไร เขาทำสีหน้าประมาณว่า “ข้ารู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่ได้ง่ายเช่นนี้”
แต่กู่ฟู่กุ้ยกลับไม่ถือสา เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “แม่ทัพกงเชิญพูดได้เลย”
สายตาของกงจี้เลื่อนไปหยุดที่เจียงป่าวชิงผู้ซึ่งตอนนี้ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาทางสีหน้าเลย แต่ในใจของนางนั้นแน่นตึงอย่างที่สุด นางคิดในใจว่าขออย่าให้กงจี้มีความคิดไม่ดีกับนางเลย…
แต่สวรรค์เล่นตลก เป็นอย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ
กงจี้พูดขึ้นอย่างเย็นชา “ข้าต้องการให้นางไปกับข้า”
แม้กงจี้ไม่ได้เอ่ยชื่อ ทุกคนต่างรู้ดีว่ากงจี้หมายถึงใคร
เจียงป่าวชิงยังไม่ทันได้พูดอะไร จิ้นเทียนหยู่ก็ตบโต๊ะด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งเซ็งชีวิตเสียก่อน “ฝันไปเถอะ! เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด!”
“ข้าถามเจ้ารึ ?” กงจี้มองจิ้นเทียนหยู่นิ่ง ๆ
จิ้นเทียนหยู่ถูกกระตุ้นอารมณ์จนเกือบพลั้งลงมืออย่างไร้เหตุผลเพราะท่าทางนิ่ง ๆ และเย็นชาของกงจี้ แต่ ๆ จู่ ๆ เจียงป่าวชิงก็ลุกขึ้น เสียงใสดังกังวานอยู่ในห้อง “ข้าไม่ไปกับเจ้า”
เสียงของเด็กสาวก้องกังวาน และแฝงปนไปด้วยความเย็นชา
สายตาของกงจี้ไปหยุดอยู่ที่นาง เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงมองนางนิ่ง ๆ อยู่อย่างนั้น
เจียงป่าวชิงเองก็มองกงจี้เช่นกัน ความโศกเศร้ายากจะบรรยายได้เจืออยู่ในดวงตาที่สงบนิ่งอยู่เสมอ “คุณชายกงทำเหมือนว่าข้าเป็นตัวอะไร เป็นคนใต้การควบคุมที่สามารถสั่งให้ทำอะไรก็ได้ตามเงื่อนไขอย่างนั้นรึ ?”
กงจี้มองเจียงป่าวชิงนิ่ง ๆ เขาไม่ชอบพูดอธิบายอะไรให้ใครฟังมาโดยตลอด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเจียงป่าวชิง สิ่งที่ไม่ชอบทั้งหมดของเขาถูกลืมเลือนไปจนหมด
น้ำเสียงกงจี้ทั้งเบาและหนักแน่นในคราเดียวกัน “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
เจียงป่าวชิงรู้สึกน้อยใจอย่างไร้สาเหตุ อันที่จริงนางไม่ใช่คนงอแงไร้เหตุผล ไม่ว่าชีวิตจะไม่ยุติธรรมกับนางอย่างไร นางก็เพียงแค่จัดการกับความรู้สึก ทำให้ตัวเองดำรงชีวิตต่อไปอย่างคล่องแคล่วและสง่างาม แม้นางอยู่ในหมู่บ้านมาตลอดสามปีและช่วยชีวิตผู้คนไว้นับไม่ถ้วน นางก็ไม่เคยรู้สึกน้อยใจอะไรแม้แต่ตอนที่ถูกผู้คนสงสัยจนทำให้ต้องถูกกักบริเวณก็ตาม
แต่เพราะกงจี้ เขาคนนี้ทำให้นางรู้สึกน้อยใจและเศร้าโศกมากกว่าหนึ่งครั้ง
ความรู้สึกของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้มากที่สุด เจียงป่าวชิงรู้ว่าตัวเองชอบกงจี้ นี่เป็นเรื่องของนาง มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถขอให้เขารู้สึกแบบเดียวกับนางได้ แต่เมื่อนางได้ยินคำพูดที่ไม่ค่อยจะเคารพนางสักเท่าไหร่ ความเศร้าโศกพลันตลบทั่วในใจของนาง
ไม่เพียงแค่รู้สึกน้อยใจ แต่นางรู้ว่าตัวเองไม่มีจุดยืนใด ๆ ที่จะทำให้กงจี้ต้องรับผิดชอบต่อความรู้สึกน้อยใจของนาง
ซูรุ่ยเอ๋อร์มองเจียงป่าวชิงจากด้านข้างและอดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้ เด็กผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่ดื้อรั้นปากแข็งจริง ๆ นางคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ดื้อรั้นปากแข็งคนหนึ่ง แต่เจียงป่าวชิงกลับยิ่งกว่านางเสียอีก ก็เห็นอยู่ว่ามือที่อยู่ข้างกายกำเข้าหากันจนกลายเป็นหมัดแล้วแท้ ๆ แต่สีหน้าของเด็กสาวเจียงยังคงไร้อารมณ์ ไม่ยอมให้ใครเห็นความรู้สึกน้อยใจของนาง
ดูเหมือนว่าระหว่างนางกับแม่ทัพกงผู้นี้จะต้องมีอดีตอะไรบางอย่างร่วมกันอย่างแน่นอน
เจียงป่าวชิงเม้มริมฝีปากเบา ๆ “เจ้าบอกว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น งั้นหมายความว่ายังไงรึ ?” น้ำเสียงนางเบามาก ฟังไม่รู้ถึงความรู้สึกใด ๆ ราวกับว่ากำลังขอคำอธิบายจากใครสักคนอย่างไรอย่างนั้น
กงจี้ชะงักไปเล็กน้อย เขาอยู่มายี่สิบกว่าปียังไม่เคยอธิบายความคิดของตัวเองต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้เลย แต่นั่น… ท่าทางของเจียงป่าวชิง ไม่รู้ทำไมมันกลับทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบเหมือนถูกเข็มแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในใจ
กงจี้หลุบสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชามากกว่าเดิม “แล้วแต่เจ้าจะคิดเถอะ”
แต่เจียงป่าวชิงเย็นชากว่าเขา นางส่งเสียงไม่ชอบใจในลำคอและพูดย้ำอีกครั้งอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะไม่ไปกับเจ้า” แล้วนางก็นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้
ภายในห้องเงียบสนิทไม่มีใครพูดอะไร
หมัดของจิ้นเทียนหยู่กำเข้าหากันแน่น ระหว่างเจียงป่าวชิงกับชายแซ่กงคนนี้ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ ความแปลกประหลาดนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเอามาก ๆ
“แล้ว…”
ท้ายสุด เสียงที่ทำลายความเงียบนี้คือเสียงของจ้าวซื่อไห่ เขาขมวดคิ้วถามกงจี้ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากต่อรองเงื่อนไขไม่สำเร็จ ?”
กงจี้คร้านที่จะพูด ตอนนี้เขาอารมณ์ไม่ดี กำลังรู้สึกอยากฆ่าใครสักคนจึงไม่อยากสนใจใคร เขาลูบกระบี่ตรงเอวและคิดถึงสนามรบมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลิวหมิงอันเกิดความลังเล แรกเริ่มกงจี้ไม่คิดจะช่วยเขาเลย แต่จู่ ๆ วันหนึ่งกงจี้บอกว่าจะช่วย เขาจึงคิดว่านายท่านคนนี้ปลุกจิตสำนึกในความดีของเขาขึ้นอย่างกะทันหันแล้ว
เมื่อเขาเจรจากับหัวหน้าโจรในครึ่งแรก เขาเห็นกงจี้เงียบมาโดยตลอดจึงคิดว่ากงจี้ผลักเรื่องนี้ออกไปเพียงเพราะแค่อยากเจอสาวน้อยเท่านั้น
แต่จู่ ๆ กงจี้ก็เสนอเงื่อนไขออกมา บอกว่าต้องการให้สาวน้อยไปกับเขาด้วยและมาถูกสาวน้อยปฏิเสธใส่ ถึงแม้หลิวหมิงอันจะอยากยินดีกับความโชคร้ายของกงจี้ แต่เขารู้ดีว่าถ้าเขายินดีกับความโชคร้ายในตอนนี้ คงไม่พ้นถูกฟันคอตายโดยกงจี้ที่ตอนนี้ยืนทำหน้าโหดพร้อมฆ่าคนตายได้คนนั้น…
ปัญหาในตอนนี้คือหลิวหมิงอันไม่รู้ว่าตัวเองควรตอบว่าอย่างไร
หากบอกตามตรง การพาน้องชายของเขากับเพื่อนเล่นในวัยเด็กของน้อยชายออกมาจากถ้ำโจรได้โดยที่ยังไม่ทันออกศึกก็ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
ถ้าอย่างนั้นให้เขาปราบปรามพวกโจรรึ ? เหอะ คุณชายสามแย่งชิงอำนาจทางทหารของเขาไปหมดแล้ว เขาไม่มีอารมณ์อยากเอาทหารส่วนตัวไปต่อสู้กับโจรพวกนี้
ตอนที่หลิวหมิงอันกำลังลำบากใจ จู่ ๆ กงจี้ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าหากเจียงป่าวชิงไม่ไปกับข้า ข้าจะล้างหมู่บ้านของพวกเจ้าด้วยเลือด”
.
.