แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 4: เด็กหนุ่มต้องคำสาป

               วัตสันและโมนิก้านั่งรอคอยเลวอนอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกชั้นล่าง ระหว่างนั้นเองทั้งสองก็ได้พบเห็นชายวัยกลางคนเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนรวบหางม้าวัย 40 ปีตอนต้น นัยน์ตาสีอำพันในชุดสูทแบบเสื้อโค้ตยาวคลุมหัวเข่า กำลังก้าวเท้าบนทางเดินระเบียงโดยหิ้วกระเป๋าทำงานพร้อมหมวกปานามาสีดำติดมือมาด้วย

               สองพ่อมดแม่มดวัยใสรีบลุกขึ้นจากโซฟา แล้วกล่าวคำทักทายต่อบุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านนี้โดยพลัน

               “คุณอาเลออน สวัสดีครับ/อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

               “โอ๊ะ…! อรุณสวัสดิ์ ทั้งสองคนสบายดีไหม?”

               จอมดาบเวทแห่งอาร์มีเนีย “เลออน ทาวิเทียน” ชะงักฝีเท้าหันมาตอบรับคำทักทายอย่างเป็นกันเอง หากลองสังเกตให้ดีจะพบว่าทั้งใบหน้าและสีของดวงตานั้น ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับเลวอนผู้เป็นลูกชายเสียเหลือเกินแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม ส่วนวัตสันกับโมนิก้าตอบกลับต่ออีกฝ่ายด้วยท่าทีสุภาพนอบน้อม

               “สบายดีครับ/สบายดีค่ะ”

               “ขอบคุณมากนะที่เดินทางมาเยี่ยมลูกชายของอาอยู่บ่อย ๆ ว่างเมื่อไหร่ก็แวะมาทานอาหารมื้อค่ำกับพวกเราที่บ้านสิ ทางนี้ยินดีต้อนรับพวกเธอเสมอเลย”

               “ขอบคุณสำหรับคำเชื้อเชิญค่ะ ว่าแต่เช้านี้คุณอาจะออกไปปฏิบัติภารกิจปราบปีศาจใช่ไหมคะ?”

               โมนิก้าซักถามไปตามมารยาท เลออนผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง

               “ใช่แล้วล่ะ เห็นว่ามีปีศาจตนหนึ่งกำลังก่อเรื่องไม่ดีในกรุงปราก เจ้านั่นน่ะร้ายกาจถึงขนาดเที่ยวร่ายเวทใส่ประชาชนไปทั่ว จนมีใครหลาย ๆ คนพากันเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมยังไล่ตามจับตัวยาก แต่ทางเราขาดแคลนอาสาสมัครเพราะส่วนใหญ่ต่างลาหยุดในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ผู้นำหมู่บ้านเลยต้องมาขอร้องไหว้วานให้อาช่วยรับหน้าที่นี้ไปแทน”

               “ขยันแบบนี้อย่าลืมไปทวงค่าล่วงเวลากับผู้นำหมู่บ้านด้วยนะครับ” วัตสันพูดทำนองติดตลก

               “ฮะฮะฮะ แน่นอนอยู่แล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวอาไม่มีเงินมารักษาอาการป่วยของลูกชายกันพอดี… อย่าหาว่าอาขี้งกเลยนะ”

               เลออนและวัตสันต่างหัวเราะชอบใจ โมนิก้ายกมือขึ้นปิดปากแอบส่งเสียงขำในลำคอ ไม่นานนักพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้าจริงจังด้วยความรู้สึกอัดแน่นบางอย่างภายในใจ แล้วจึงเข้าสู่บทสนทนาชวนเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

               “เอ่อ… พอดีพวกผมมีเรื่องสำคัญอยากพูดคุยน่ะครับ แต่เกรงว่าจะเป็นการละลาบละล้วงมากเกินไป…”

               ทว่าท่าทีของเขาดูค่อนข้างลังเล และไม่มีความกล้ามากพอที่จะกล่าวถึงประเด็นสำคัญได้อย่างเต็มปาก

               “แหม อะไรกันท่าทางดูซีเรียสเชียว ไหนลองว่ามาสิ ถ้าหากเป็นเรื่องที่อาพอจะช่วยได้ล่ะก็ทางนี้ยินดีรับฟังเสมอเลย”

               เลออนกล่าวด้วยสีหน้าแจ่มใสพร้อมแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ทว่าสองหนุ่มสาวกลับฉีกยิ้มไม่ออก ระหว่างนั้นเองโมนิก้าได้ยกมือขวาขึ้นมากระตุกดึงชายเสื้อของวัตสันพลางส่ายศีรษะไปมาเล็กน้อย ราวกับจะห้ามปราบไม่ให้อีกฝ่ายพูดถึงข้อสงสัยคาใจบางอย่าง

               แต่ดูเหมือนพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาจะไม่เห็นพ้องต้องด้วย วัตสันใช้เวลาเพียงครู่หนึ่งในการตัดสินใจ รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อซักถามถึงเรื่องราวปริศนาต้องห้าม แม้ว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนี้อาจทำให้เลออนรู้สึกโกรธเคือง อึดอัดใจ หรือส่งผลเลวร้ายต่อพวกเขาก็ตาม

               “พวกเราได้ยินมาว่าตอนนี้เลวอนเหลืออายุขัยไม่มากแล้ว และอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น เลยอยากทราบถึงสาเหตุของคำสาปที่เขาได้รับมาน่ะครับ ว่าความจริงแล้วมันคืออะไรกันแน่ อะไรที่ทำให้เพื่อนของพวกเราต้องทนทุกข์ทรมานหลายปีจนถึงตอนนี้… ขอร้องล่ะครับ ได้โปรดช่วยเล่าให้พวกเราฟังทีเถอะ”

               “…นี่พวกเธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน?”

               เลออนเผยอากัปกิริยานิ่งชะงักพลางตาโตเล็กน้อย โมนิก้ารีบก้มศีรษะหลบสายตาอีกฝ่ายอย่างหวั่นเกรง ดูเหมือนว่าพวกตนจะเผลอจุดชนวนเรื่องราวอันไม่สมควรเข้าให้เสียแล้ว ส่วนวัตสันยังคงสั่นสู้ยืนจับจ้องมองบุรุษผู้ทรงสง่า ทั้งที่ในเวลานี้มีเม็ดเหงื่อกำลังผุดบนใบหน้าซีดเผือดอยู่

               “เมื่อวานซืนตอนที่ผมกับโมนิก้าเดินทางไปยังปราสาทสีขาวเพื่อนำเอารายชื่อสมุนไพรชนิดต่าง ๆ มาส่งให้ ก็เผอิญได้ยินเสียงคุณอากับผู้นำหมู่บ้านกำลังพูดคุยถึงเรื่องนี้ในห้องโถงพอดี… พวกเราต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ!”

               วัตสันรีบก้มโค้งศีรษะลงเพื่อแสดงความสำนึกผิด โมนิก้าเองก็รีบปฏิบัติตามเด็กหนุ่มอย่างไม่รีรอ เลออนเห็นท่าทีของสองหนุ่มสาวพลางนึกพิจารณาถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ถึงกับถอนหายใจแผ่วเบา เขาผ่อนคลายความกดดันลง จากนั้นจึงเกริ่นน้ำเสียงราบเรียบออกไปโดยปราศจากอารมณ์ขุ่นเคือง

               “ช่วยไม่ได้แฮะ ทางนี้เองก็ผิดเหมือนกันที่ไม่ทันระวังให้ดี เพราะงั้นอาไม่ถือโทษโกรธพวกเธอทั้งสองคนหรอก… จากนี้ไปเดี๋ยวอาจะเล่าความจริงให้ฟังเอง ถือว่าเห็นแก่น้ำใจและความเป็นเพื่อนของพวกเธอที่มีให้ต่อเลวอนมาตลอดสี่ปี”

               “ข… ขอบคุณมากครับ/ขอบพระคุณมากค่ะ!” วัตสันและโมนิก้ารีบเงยใบหน้าขึ้นพลางกล่าวอย่างโล่งอก

               “พวกเธอช่วยสัญญากับอาได้รึเปล่าว่าจะไม่นำเอาเรื่องนี้ไปบอกให้ผู้คนในหมู่บ้านรู้ โดยเฉพาะกับเลวอน อาไม่อยากให้แกต้องรับรู้ถึงความจริงอันโหดร้ายแบบนี้ เพราะนั่นอาจทำให้เขาหมดกำลังใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อได้เลย”

               “พวกเราขอสัญญาค่ะ”

               โมนิก้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น วัตสันผงกศีรษะน้อมรับข้อตกลง เลออนจึงอธิบายเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหมดให้สองวัยรุ่นหนุ่มสาวสดับรับฟัง โดยสรุปใจความดังต่อไปนี้

               เมื่อห้าปีก่อน ครอบครัวทาวิเทียนและเหล่าจอมเวทเร่ร่อนหลายร้อยชีวิต ได้อพยพย้ายถิ่นฐานจากประเทศอาร์มีเนียซึ่งเป็นดินแดนบ้านเกิด เนื่องจากมีการทะเลาะแบ่งฝ่ายพรรคพวกแย่งชิงอำนาจภายในหมู่บ้านและฆ่าฟันกันเอง จนพวกเขาไม่อาจทนอยู่อาศัยได้อีกต่อไป

               การโยกย้ายถิ่นฐานในครั้งนั้นจำเป็นจะต้องเดินทางเท้าและใช้รถม้าขนย้ายสัมภาระ โดยร่ายคาถาอำพรางเพื่อไม่ให้ผู้คนธรรมดาสังเกตเห็น ซึ่งจุดมุ่งหมายที่พวกเขากำลังมุ่งตรงไปคือหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน

               จนกระทั่งเดินทางมาถึงประเทศโรมาเนีย เหล่าจอมเวทพเนจรได้พบกับศัตรูตัวฉกาจแบบกะทันหัน นามว่า “วลาดที่สามแห่งวาลาเคีย” หรืออีกชื่อหนึ่งคือ “ราชาผีดูดเลือดจอมเสียบ” อีกฝ่ายเปิดฉากเข้าโจมตีอย่างคลุ้มคลั่งด้วยพลังเวทมนตร์มหาศาล พลางใช้สองเขี้ยวแหลมคมไล่กัดผู้คนอย่างไร้ความปรานี ทำให้บรรดาพ่อมดแม่มดบาดเจ็บล้มตายลงถึงสองในสาม

               เลออนกับเหล่าผู้ใช้อาคมที่ยังรอดชีวิตตัดสินใจเข้าต่อสู้อย่างสุดกำลัง ร่ายเวทมนตร์โบราณขั้นสูงพร้อมคำสาปพิฆาตใส่ศัตรู ส่งผลทำให้พื้นที่ราบเสียหายเป็นวงกว้างพร้อมโค่นล้มวลาดได้สำเร็จ ทว่าด้วยพลานุภาพของมนตราอันรุนแรงนั้นได้ฉีกร่างของราชาผีดูดเลือดระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ

               โดยเขี้ยวซึ่งเป็นหนึ่งในชิ้นส่วนของจ้าวแห่งแวมไพร์ได้กระเด็นทะลุเข้าที่กลางอก และฝังรากลึกเข้าถึงหัวใจของเลวอน เด็กหนุ่มวัย 12 ปีจึงต้องกลายมาเป็นเจ้าชายนิทรา เหล่าจอมเวทผู้ชำนาญด้านการแพทย์ยังหมดหนทาง แม้แต่ตัวเยวาในฐานะหมอนักปรุงยาเองก็ไม่อาจรักษาอาการป่วยให้ลูกชายลืมตาตื่นฟื้นขึ้นมาได้เลย

               เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน เลออนและเยวาจึงขอร้องให้ “ยาโรสลาฟ คอนวาลินก้า” ผู้นำหมู่บ้านและมหาจอมเวทช่วยรักษา ทว่าสิ่งที่พอทำได้คือการบรรเทาอาการจากคำสาปให้เบาบางลงเท่านั้น ครั้นจะนำเขี้ยวซึ่งฝังอยู่ในหัวใจออกก็อาจทำให้ชีวิตของเลวอนตกอยู่ในอันตราย เนื่องจากชิ้นส่วนดังกล่าวฝังรากลึกจนกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งไปเสียแล้ว

               หลังจากตกอยู่ในสภาวะหลับใหลมาเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม เลวอนก็ได้ลืมตาตื่นฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ ทว่าคราวนี้มาพร้อมกับอาการเจ็บป่วยและร่างกายที่อ่อนแรงลง จึงจำเป็นต้องเข้ารับกายภาพบำบัดทุกวันควบคู่ไปกับการศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่บ้าน เพื่อสั่งสมระดับวิชาความรู้ให้เท่าทันนักเรียนคนอื่น ๆ

               จนถึงตอนนี้เลวอนมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์และพร้อมที่จะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ กระนั้นแล้วข่าวร้ายระลอกใหญ่ก็ได้ซัดเข้าใส่ครอบครัวทาวิเทียนอีกครั้ง เมื่อเลออนถูกผู้นำหมู่บ้านเรียกตัวเพื่อสนทนาเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพของลูกชาย เนื่องจากสิ่งแปลกปลอมอันตรายซึ่งฝังอยู่ภายในหัวใจไม่ได้รับการถอนออก ส่งผลทำให้อายุขัยของพ่อมดหนุ่มสั้นลงและอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 20 ปี

               และนั่นคือเรื่องราวทั้งหมดที่เลออนได้เล่าให้สองพ่อมดแม่มดวัยใสสดับรับฟัง

               โมนิก้ารู้สึกเจ็บปวดใจจนเผยสีหน้าทุกข์ตรม วัตสันถึงกับอ้ำอึ้งอ้าปากค้าง ด้วยความที่ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกับเลวอนมายาวนานกว่าสี่ปี ดังนั้นการเผชิญหน้าต่อความสูญเสียซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้านี้ นับว่าทำใจได้ยากและค่อนข้างฉุกละหุกมากเลยทีเดียว

               “อาขอฝากพวกเธอช่วยดูแลเลวอน ให้เขาได้พบเจอกับเรื่องที่มีแต่ความสุขจนถึงวินาทีสุดท้ายด้วยนะ”

               สุภาพบุรุษวัยกลางคนเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อย ก่อนจะยกหมวกปานามาสีดำในมือขึ้นสวมศีรษะแล้วก้าวเท้าเดินจากไป ปล่อยให้สองวัยรุ่นหนุ่มสาวยืนนิ่งเงียบลิ้มรสความทุกข์ทรมานใจตามลำพัง วัตสันกัดฟันดังกรอดอย่างขื่นขม โมนิก้าแอบหลั่งน้ำตาพลางยกมือบางคู่นั้นขึ้นมาสวมกอดตนเองด้วยความหนาวเหน็บ

               เขาและเธอต่างรู้อยู่แก่ใจว่า ต่อให้ใช้เวทมนตร์ขั้นสูงหรือค้นหาสมุนไพรมาปรุงเป็นยารักษา ก็ไม่อาจทำให้เลวอนหลุดพ้นจากคำสาปหรือมีชีวิตรอดต่อไปอีกหลายสิบปีได้อยู่ดี เพราะขนาดมหาจอมเวทอันดับต้น ๆ ของโลกอย่างผู้นำหมู่บ้านเองก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือเยียวยาได้เช่นเดียวกัน

               โมนิก้าและวัตสันต่างพากันสลดหดหู่ไม่พูดจาใด ๆ ก่อนที่ทั้งสองจะวกกลับไปนั่งรอตรงโซฟาในห้องรับแขกตามเดิม จนกระทั่งเลวอนเปลี่ยนชุดแต่งกายเสร็จสิ้นแล้วเดินลงมาจากชั้นสอง ถัดมาทั้งสามคนจึงเริ่มเดินทางออกจากบ้านมุ่งหน้าไปยังเขตนอกหมู่บ้านใกล้พื้นที่ป่าทึบโดยทันที

 

               ********************

 

               เลวอน โมนิก้า และวัตสันก้าวเท้าบนทางเดินในย่านชุมชนใกล้นอกเขต อยู่ห่างจากใจกลางหมู่บ้านราวห้ากิโลเมตร ท่ามกลางแสงตะวันยามเช้าอันอบอุ่นพร้อมด้วยสายลมคอยพัดเอื่อยทำให้รู้สึกเย็นสบาย แม้จะมีสิ่งปลูกสร้างสไตล์ยุโรปตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ แต่กลับไม่รู้สึกรกสายตาจนเกินไป เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นผืนหญ้าโล่งกว้าง

               ตอนนี้เลวอนอยู่ในชุดเครื่องแบบอัศวินยุคกลางสวมใส่สบายพร้อมด้วยผ้าคลุมจอมเวทสีนิล เอวฝั่งซ้ายพกดาบยาวสี่ฟุตคล้องเข้ากับสายสะพาย โดยถือหนังสือเวทมนตร์ภาษาอาร์มีเนียโบราณติดตัวมาด้วย

               เลวอนที่ไม่ได้เดินทางออกจากบ้านมาเป็นเวลาหลายปี ทำให้ตนไม่ค่อยคุ้นชินต่อสภาพแวดล้อมและเส้นทางต่าง ๆ ภายในหมู่บ้านสักเท่าไหร่นัก ในทางกลับกันบรรดาชาวบ้านซึ่งแทบไม่ค่อยได้พบเห็นหน้าเด็กหนุ่มคนนี้บ่อยครั้งต่างก็พากันหันมาจับจ้องมองด้วยความสงสัย จนเขาเริ่มประหม่าและวางตัวไม่ถูก

               เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดใจไปมากกว่านี้ พ่อมดหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนจึงสบโอกาสพลันสนทนากับเพื่อนร่วมทาง โดยซักถามต่อโมนิก้าที่กำลังเผยสีหน้าทุกข์กังวลใจอย่างเป็นห่วง

               “เป็นอะไรไปโมนิก้า วัตสันแกล้งเธออีกแล้วเหรอ?”

               “ไม่ได้แกล้งสักหน่อยเฟ้ย” วัตสันรีบหันหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหาทันควัน

               “ถ้าไม่ได้แกล้งแล้วทำไมโมนิก้าถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ ใช้ไม่ได้เลยนะนายเนี่ย เกิดวันดีคืนดีโดนเธอสาปให้กลายเป็นกบขึ้นมาล่ะก็ผมจะไม่แปลกใจเลย”

               เลวอนอาศัยไหวพริบพูดจาติดตลกหวังให้โมนิก้ากลับมาเผยรอยยิ้มได้อีกครั้ง วัตสันจึงต้องรับบทเล่นไปตามน้ำแบบด้นสดโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายสะกิดเรียกหรือส่งสัญญาณใด ๆ

               “อย่าล้อเล่นน่า ฉันไม่ชอบกบนะจะบอกให้ อย่างน้อยก็ช่วยสาปให้ฉันกลายเป็นกระต่ายทีเถอะ!”

               “เห ความเข้าท่าคิดดีนี่!” เลวอนดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนจะหันมาพูดคุยกับแม่มดสาวผมสีน้ำตาลอ่อนที่เดินอยู่เคียงข้างตน “โมนิก้า คราวหน้าถ้าวัตสันแกล้งเธออีกล่ะก็ช่วยสาปให้เขากลายเป็นกระต่ายที ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยลองชิมเนื้อกระต่ายเลยสักครั้ง เดี๋ยวจะให้แม่ลองเอาไปผัดเผ็ดดูสักหน่อย”

               “จ-เจ้าบ้านี่ อย่ายุยงส่งเสริมให้เพื่อนทำความผิดแบบนี้สิฟะ อีกอย่างตัวฉันไม่ได้อร่อยถึงขนาดนั้นนะเฟ้ย!”

               วัตสันกล่าวลนลานพลางชี้นิ้วใส่เลวอนในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มเยาะชอบใจ จนโมนิก้ารีบยกสองมือบางปิดปากกลั้นขำส่งเสียงหัวเราะในลำคอ เงยหน้าขึ้นมาแย้มสรวลสบตามองเด็กหนุ่มผมสีขาวโพลนอย่างร่าเริงพร้อมกล่าวน้ำเสียงละมุน

               “โธ่คุณเลวอน ไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนที่ร้ายกาจถึงขนาดนี้”

               สองพ่อมดหนุ่มต่างยิ้มโล่งใจให้แก่กัน เมื่อเห็นว่าโมนิก้ากลับมามีสีหน้าสดใสตามปกติ

               เลวอน โมนิก้า และวัตสันใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 นาที จนกระทั่งถึงพื้นที่พุ่มหญ้าเขียวขจีซึ่งทอดยาวกว้างขวางสบายตา ถัดจากเบื้องหน้าราว 100 เมตรนั้นคือป่าทึบซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของอาณาเขตภายในหมู่บ้าน โดยสถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจในช่วงเวลาวันหยุด อีกทั้งยังสามารถฝึกซ้อมเวทมนตร์ได้ด้วยเนื่องจากห่างไกลแหล่งชุมชน

               ฟุบ

               ระหว่างนั้นเองพ่อมดหนุ่มในชุดอัศวินได้กางแขนออกทั้งสองข้าง หงายหลังเอนตัวนอนลงบนพื้นหญ้าเพื่อผ่อนคลายอิริยาบถคอยสัมผัสกลิ่นอายความเป็นธรรมชาติของหมู่บ้านแห่งนี้ หลังจากที่ต้องอดทนอยู่แต่ในบ้านมาเป็นเวลานานถึงห้าปี

               “คุณเลวอน/เลวอน!?”

               โมนิก้าและวัตสันเห็นอีกฝ่ายทิ้งตัวลงก็ถึงกับตื่นตระหนกตกใจ นึกว่าอาการป่วยของเพื่อนสนิทกำเริบขึ้นมากะทันหัน เลวอนจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย โดยที่สายตาจับจ้องมองไปยังเหล่าก้อนเมฆขาวปุยซึ่งกำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าสีครามอย่างอิสระ

               “ไม่เป็นไร ก็แค่อยากลองนอนบนพื้นหญ้าดูน่ะ ครั้งล่าสุดที่เคยทำตอนนั้นผมยังอายุแค่ 10 ขวบอยู่เลย… ขอโทษด้วยที่ทำให้ตกใจ”

               วัตสันและโมนิก้าถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะย่อเข่านั่งลงบนพื้นหญ้าตามเพื่อนสนิทเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อสักครู่ ท่ามกลางความสงบร่มรื่นพร้อมเสียงเคล้าคลอของสายลมที่กระทบเข้ากับเหล่ากิ่งไม้ใบหญ้าตามพงไพร

               ทั้งสามคนนั่งพักผ่อนเป็นเวลาสิบนาทีจนถึงสมควรแก่เวลา พ่อมดหนุ่มผมสีขาวโพลนจึงใช้สองมือดันพื้นประคองร่างลุกขึ้นยืน แล้วหันมาสนทนากับเหล่าสหายคนสนิทของตนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

               “เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีไหม?”

               “จัดไป ฉันเองก็อยากเห็นทักษะการใช้เวทมนตร์ของนายเหมือนกัน”

               วัตสันตอบรับคำเชิญชวนพลางลุกขึ้นยืน ยื่นมือส่งให้โมนิก้าจับประคองคอยพยุงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนได้อย่างสะดวก ขณะเดียวกันหญิงสาวได้เสนอความคิดเห็น พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังพื้นที่กว้างซึ่งอยู่ห่างถัดจากนี้ไปไม่ไกลมากนัก

               “ถ้างั้นมาลองทดสอบคาถาโจมตีกับวิชาป้องกันตัวขั้นพื้นฐานกันก่อนดีกว่าค่ะ… รบกวนวัตสันช่วยยืนอยู่ตรงนั้นคอยเป็นคู่ซ้อมให้คุณเลวอนเขาหน่อย”

               “อ้าว แล้วทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ? ถ้าให้เทียบกันแล้วเธอน่ะเก่งเรื่องคาถาการต่อสู้มากกว่าฉันเสียอีก” พ่อมดหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีส้มขมวดคิ้วใส่โมนิก้า

               “เพราะงั้นฉันถึงต้องรับหน้าที่เป็นครูฝึกสอนให้ยังไงล่ะคะ อีกอย่างวัตสันเองก็ต้องหมั่นฝึกซ้อมร่วมกับคุณเลวอนด้วย เห็นว่าทักษะการใช้คาถาต่อสู้ยังทำคะแนนได้แค่เกรด C เท่านั้นเองนี่นา”

               “เชอะ พูดจาตัดพ้อข่มกันเหลือเกิน เห็นแบบนี้แล้วแต่ฉันเก่งเรื่องการแพทย์และวิชาปรุงยามากที่สุดในชั้นเรียนเลยนะจะบอกให้… เอางั้นก็ได้!”

               แม้จะบ่นน้อยใจแต่วัตสันก็ยอมทำตามที่เด็กสาวไหว้วานมาโดยดุษณี ก้าวเท้ามุ่งไปยังจุดหมายซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ราวสิบเมตรแล้วหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาตั้งท่าเตรียม ในขณะที่ทางเลวอนยิ้มแหย ๆ ด้วยความเห็นใจ ส่วนโมนิก้าส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อยในลำคอก่อนจะเกริ่นขึ้นมาอีกครั้ง

               “อันดับแรกฉันจะให้คุณเลวอนใช้คาถาโจมตีขั้นพื้นฐานก่อน ส่วนวัตสันเป็นฝ่ายตั้งรับป้องกันค่ะ… คุณเลวอนหยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาสิคะ”

               “อ… อื้อ”

               เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันนำสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงค้นหาไม้กายสิทธิ์ตามซอกต่าง ๆ จนทั่ว แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้พกติดตัวมาด้วย นอกเหนือจากดาบอัศวินกับหนังสือเวทมนตร์แล้ว ก็มีเพียงแค่แหวนแปลภาษาที่สวมอยู่ตรงนิ้วกลางด้านซ้ายเท่านั้น ไม่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์สื่อนำในการเนรมิตคาถาได้ตามปกติ

               “อ๊ะ… ขอโทษนะ พอดีลืมหยิบมันมาด้วย ก่อนออกจากบ้านผมคงรีบร้อนเกินไปหน่อย”

               “ตายจริง ถ้างั้นยืมของฉันไปใช้ก่อนสิคะ”

               โมนิก้าหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากซอกถุงเท้าเพื่อส่งมอบให้แก่เขา ทว่าเลวอนกลับส่ายหน้าปฏิเสธอย่างสุภาพพลางแย้มสรวลจาง ๆ ยกมือขวาชูปลายนิ้วชี้ขึ้นก่อนจะตอบกลับต่ออีกฝ่ายอย่างมั่นใจ

               “แค่ปลายนิ้วเดียวก็พอแล้วล่ะ”

               ถัดมาพ่อมดหนุ่มเลอโฉมจึงวาดปลายนิ้วในลักษณะง้างขึ้น ตามด้วยสะบัดลงแล้วชี้ไปยังวัตสันซึ่งยืนอยู่ห่างจากตนอย่างรวดเร็ว พร้อมเปล่งเสียงร่ายคาถาสั้น ๆ โดยไม่ให้ผองเพื่อนทั้งสองคนได้ทันตั้งตัว

               “Spiritus! (ลมสลาตัน) ”

               ซูมมมม!

               สายลมปริศนาพลันปรากฏขึ้นรอบนิ้วชี้ของเลวอน หมุนวนเป็นเกลียวขนาดใหญ่แล้วพุ่งตรงไปยังคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วแรงดันอากาศรอบตัวส่งผลให้พื้นหญ้าสั่นไหวเอนเอียง ชุดแต่งกายและเส้นผมอันนุ่มสลวยของแต่ละคนต่างโบกสะบัดพัดพลิ้วประดุจดั่งมีพายุกำลังซัดกระหน่ำอยู่ตรงเบื้องหน้า โมนิก้าซึ่งยืนอยู่เคียงข้างเด็กหนุ่มส่งเสียงร้องตกใจ รีบยกสองแขนขึ้นมาบังใบหน้าพลางจับรั้งหมวกแม่มดใบใหญ่เอาไว้ไม่ให้หลุดปลิวออกจากศีรษะทันที

               “ว้าย!?”

               “Praesidio! (คาถาคุ้มครอง) ”

               วัตสันเห็นท่าไม่ดีจึงรีบโบกไม้กายสิทธิ์เสกคาถาป้องกันภัย แสดงให้เห็นถึงวงแหวนเวทรูปดาวหกแฉกสีฟ้าขนาดใหญ่พร้อมด้วยอักษรภาษารูนตรงเบื้องหน้า เพื่อปกป้องคุ้มครองตนจากสายลมกรรโชกที่พุ่งตรงมาทางนี้

               เพล้ง!

               “อ๊าาาาาาา!!”

               ด้วยอานุภาพอันรุนแรงของคาถาวายุสลาตัน วงแหวนมนตราจึงไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้นานและลงเอยด้วยการแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อย แล้วพัดร่างของวัตสันลอยขึ้นสู่กลางอากาศจนกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร

               วัตสันล้มลงไปนอนกับพื้นหญ้าอันแสนอ่อนนุ่ม ทำให้ตนไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมากนัก โชคดีที่เขายังคงประคองสติกำไม้กายสิทธิ์เอาไว้แน่นไม่ให้หลุดมือ ทั้งพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาและอุปกรณ์สื่อนำจึงปลอดภัยดี ทว่าร่างกายกับเสื้อผ้านั้นกลับเต็มไปด้วยเศษใบหญ้าเกาะติดอยู่แลดูสะบักสะบอมพอสมควร

               “ป… เป็นไงล่ะ ทุกคนเห็นแล้วรึยัง!?”

               เลวอนกล่าวน้ำเสียงตื่นเต้นต่อโมนิก้าก่อนที่สายลมจะสงบนิ่ง แต่แล้วอากัปกิริยาดังกล่าวกลับต้องแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นความประหลาดใจแทน เมื่อเห็นว่าแรงลมระลอกสุดท้ายได้สะบัดพัดชายกระโปรงของแม่มดสาวจนพลิ้วไหว เผยให้เห็นถึงต้นขาอันเรียวงาม พร้อมด้วยกางเกงชั้นในลายลูกไม้สีดำแบบมีสายรั้งสุดแสนยั่วยวนตัดโทนกับผิวพรรณอันบริสุทธิ์ ทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจละสายตาไปจากสิ่งเหล่านั้นได้เลย

               “ว้าย~!? ห้ามดูนะ!”

               โมนิก้ารีบเลื่อนสองมือบางลงไปจับยังชายกระโปรง ดึงให้เนื้อผ้าตึงเพื่อปิดบังพื้นที่น่าอายส่วนนั้นเอาไว้อย่างสุดชีวิต แก้มของเธอแดงแปร๊ดจนถึงใบหูพร้อมทั้งน้ำตาคลอ เลวอนเห็นอีกฝ่ายทำตัวไม่ถูกจึงรีบกล่าวขอโทษเธอด้วยท่าทีลนลานทันที

               “เหวอ…! ข-ขอโทษนะโมนิก้า เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจ!”

               “โธ่ คุณเลวอนลามกที่สุดเลย!” แม่มดสาวผมสีน้ำตาลอ่อนส่งเสียงดุพลางขมวดคิ้วใส่อีกฝ่าย

               “อา… ไม่น่าถาม ฉันน่ะมองเห็นชัดแจ๋วเต็มสองตาเลยล่ะเพื่อนเอ๋ย แถมใส่สีดำซะด้วย”

               วัตสันก้าวเท้าเดินมาทางนี้ทั้งที่เศษหญ้ายังคงเกาะติดตามตัว พร้อมเหล่ตามองเด็กสาวคนสนิทก่อนจะฉีกยิ้มเลศนัยออกมา โมนิก้ารีบหันไปจ้องเขม็งเล็งใส่อีกฝ่าย โดยท่าทีของเธอแตกต่างจากตอนที่ตนได้แสดงความเหนียมอายต่อหน้าเลวอนเมื่อสักครู่นี้อย่างสิ้นเชิง

               “อะไรกัน ทีเรื่องแบบนี้สายตาดีเชียวนะคะ!”

               “ต่อให้ต้องอยู่ห่างไกลหลายร้อยเมตร เรื่องแบบนี้ฉันไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว” พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาหัวเราะชอบใจก่อนจะหันไปพูดคุยกับเลวอน แล้วยื่นสองมือหนาจับไหล่คู่สนทนาพลางเขย่าร่างไปมาอย่างตื่นเต้น “ให้ตายเถอะเลวอน ร่ายคาถาได้โดยใช้แค่เพียงปลายนิ้วเดียวเนี่ยนะ ทำได้ยังไงกันฟะ!?”

               “ม… ไม่รู้เหมือนกัน ที่จริงแล้วผมเพิ่งจะทำมันสำเร็จเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนน่ะ”

               เลวอนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นพร้อมทั้งรู้สึกเวียนหัวตาลายจากการถูกฉุดกระชาก ในระหว่างนั้นเองโมนิก้าได้กล่าวทักท้วงเขา ซึ่งสีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความแปลกประหลาดใจต่อเหตุการณ์สุดมหัศจรรย์เมื่อสักครู่นี้อย่างชัดเจน

               “แต่ว่าเทคนิคการร่ายเวทเพียงปลายนิ้วถือเป็นหนึ่งในทักษะขั้นสูงสุดสำหรับเหล่าพ่อมดมดแม่เชียวนะคะ แถมพลังการโจมตีเองก็เพิ่มมากขึ้นผิดปกติทั้งที่ร่ายคาถาพื้นฐานแท้ ๆ ความรุนแรงแทบไม่ต่างไปจากคาถาขั้นสูงเลย…!”

               “อ-เอ๊ะ เทคนิคนี้สุดยอดขนาดเลยเหรอ ผมนึกว่านักเรียนทั่วไปจะทำได้ซะอีก!?” เลวอนสงสัย

               “เจ้าบ้า ขนาดพวกฉันยังทำแบบนั้นไม่ได้เลยนะเฟ้ย!”

               วัตสันรีบโต้แย้งพลางกระชากเสื้อคลุมของเลวอนเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใกล้ตน ส่วนโมนิก้ากล่าวอธิบายเพิ่มเติมอีกครั้ง

               “อย่างที่วัตสันพูดมานั่นแหละค่ะ ปกติแล้วคนที่สามารถใช้ปลายนิ้วร่ายคาถาได้มีเพียงแค่ผู้นำหมู่บ้าน ศาสตราจารย์ จอมเวทระดับชั้นพาลาดิน รวมถึงผู้ที่สวมแหวนกายสิทธิ์เท่านั้น แล้วทำไมคุณเลวอนถึงได้…”

               “ผมเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน… ว่าแต่นี่ถือเป็นเรื่องที่แย่ขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”

               เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันตั้งข้อสงสัยอย่างผิดหวัง ราวกับว่าตนเองนั้นเผลอกระทำสิ่งที่ไม่สมควรลงไป ทว่าวัตสันกลับเผยรอยยิ้มมุมปากผ่อนคลายอารมณ์ด้วยท่าทีสงบ แล้วคลายมือออกจากเสื้อคลุมของอีกฝ่าย ก่อนจะมอบคำตอบเพื่อให้สหายคนสนิทเกิดความสบายใจ

               “ซะที่ไหนกันเล่า พวกฉันก็แค่แปลกใจเท่านั้นเอง แถมยังแอบนึกอิจฉานายอยู่นิด ๆ ด้วย”

               “บางทีนี่อาจจะเป็นหนึ่งในผลลัพธ์จากการฝึกซ้อมอย่างหนัก เพราะงั้นอย่าได้คิดมากไปเลยนะคะ”

               โมนิก้าพูดปลอบพลางส่งรอยยิ้มเศร้าสร้อย ดูเหมือนเธอกับวัตสันจะรู้สึกตัวถึงสาเหตุที่แท้จริงเกี่ยวกับความสามารถพิเศษของเลวอนเข้าแล้ว เนื่องจากผลข้างเคียงของเขี้ยวแห่งปีศาจที่ฝังรากลึกอยู่ภายในหัวใจ จึงทำให้พลังเวทมนตร์แปรปรวนพร้อมทั้งก่อกำเนิดทักษะใหม่ขึ้นมา

               แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งนั้นกำลังจะกลายมาเป็นดาบสองคม และอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ รวมถึงอายุขัยที่สั้นถดถอยลงอย่างรวดเร็ว

Options

not work with dark mode
Reset