แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 51: นิมิตฝันของโมนิก้า

               “พี่คะ อย่าไป!”

               ยุวสตรีร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนชุดนักเรียนแม่มดฝึกหัด ส่งเสียงร้องพลางยื่นมือขวาไปข้างหน้าหมายจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง ท่ามกลางพื้นที่อันกว้างขวางสีขาวโพลนปราศจากสิ่งอื่นใด นอกเสียจากเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีผู้ซึ่งมีสีผมเหมือนกันกับเธอ ในชุดลำลองแบบสุภาพพร้อมผ้าคลุมจอมเวท ที่กำลังเดินจากไปอย่างช้า ๆ

               เด็กหญิงวัยสิบห้าปีรีบเร่งฝีเท้าตามแผ่นหลังพี่ชายของตนไปด้วยสีหน้ากังวลปนหวั่นใจ ราวกับว่าถ้าหากปล่อยให้เขาหลุดมือไปตอนนี้ ก็คงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกตราบจนชั่วนิรันดร์

               “ถ้าไปล่ะก็ พี่กับพวกเพื่อน ๆ อาจไม่รอดชีวิตกลับมานะ!”

               แม่มดสาวส่งเสียงห้ามรั้งเอาไว้อีกครั้ง ท้ายที่สุดพ่อมดหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนจึงชะลอฝีเท้าและหยุดก้าวเดิน ทำให้เธอสามารถวิ่งไล่ตามและเข้าใกล้ชิดเขาได้ทันท่วงที จนกระทั่งทั้งคู่ยืนอยู่ห่างกันเพียงเอื้อมมือเท่านั้น

               บุรุษจอมเวทหันหลังกลับมามอง ปรากฏให้เห็นถึงใบหน้าคมคายและนัยน์ตาสีฟ้าใสอันโดดเด่นพร้อมด้วยรอยยิ้มจาง สื่อถึงความอ่อนโยนและความอบอุ่น เธอจึงแย้มสรวลอย่างโล่งใจเมื่อรู้ว่าตนเองเหนี่ยวหลังเขาเอาไว้สำเร็จ

               “อ๊ะ…?”

               ทว่าเหตุการณ์กลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่รักได้ผลักร่างของยุวสตรีให้ถอยหลังออกห่างจากตน โดยที่รูปลักษณ์ของเขาเริ่มแปรเปลี่ยน กลายเป็นบุรุษรูปงามเจ้าของเรือนผมสีขาวโพลนรวมหางม้า กำลังแย้มสรวลด้วยสีหน้าเศร้าสลดเล็กน้อย ในขณะที่สภาพแวดล้อมเริ่มกลายเป็นสีดำอึมครึมน่าสะพรึงกลัว

               มิหนำซ้ำด้านหลังของเด็กหนุ่มยังมีเงาแห่งปีศาจชั่วร้าย ลักษณะคล้ายผีดูดเลือดสยายปีกค้างคาวอันใหญ่โต กำลังเข้าครอบงำปกคลุมพร้อมทั้งอ้าปากเผยเขี้ยวแหลมคมเตรียมกลืนกินเขา โดยที่ร่างสูงโปร่งเริ่มจมดิ่งหายไปในท่ามกลางหมอกควันแห่งความมืดอย่างรวดเร็ว

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีฟ้ารีบเอื้อมสองมือบางหมายจะไขว่คว้าทั้งน้ำตาคลอด้วยสีหน้าวิตกกังวลสุดขีด ในระหว่างที่ตนยังคงถอยหลังห่างจากอีกฝ่ายไกลออกไปโดยไร้ซึ่งท่าทีหยุดนิ่ง พยายามเรียกร้องขานชื่อของสุภาพบุรุษวัยเยาว์อย่างร้อนรนใจ เนื่องจากคนที่เธอรักได้ถูกพลัดพรากแย่งชิงไปต่อหน้าต่อตาเสียแล้ว

               “คุณเลวอน!!”

               สุดท้ายเหลือไว้แค่เพียงเสียงสะท้อนดังกึกก้อง ท่ามกลางความมืดมิดอันว่างเปล่าเท่านั้น

 

               ********************

 

               กริ๊งงงงง…!

               “เฮือก!?”

               วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม เวลา 6 นาฬิกา เสียงนาฬิกาปลุกดิจิตอลดังขึ้นจากหัวเตียง โมนิก้าสะดุ้งตกใจรีบลืมตาตื่นด้วยสีหน้าหวั่นวิตกทั้งน้ำตาคลอ ภายในห้องนอนสีขาวสะอาดตาบนชั้นที่สองของบ้านพัก รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าสองมือของเธอได้เอื้อมไปยังเบื้องหน้าเสียแล้ว ราวกับว่ากำลังพยายามไขว่คว้าใครสักคนซึ่งอยู่ในความฝัน

               เด็กสาวร่างเล็กในชุดลำลองเสื้อยืดคอกลมสีชมพูกับกางเกงชั้นในสีขาว ซึ่งกำลังนอนห่มผ้าบนเตียงนอนอยู่ รีบชักมือกลับมาตบเข้าที่ใบหน้าด้วยแรงพอประมาณสองถึงสามทีเพื่อตั้งสติให้มั่น ก่อนจะพลิกร่างเอื้อมแขนเพื่อปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่บนหัวเตียงให้เงียบสนิท แล้วถอนหายใจเอือมระอาออกมาอย่างแผ่วเบา

               “เฮ้อ… ฝันร้ายอีกแล้วสิเรา”

               โมนิก้ายกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตา แล้วเหลือบมองไปยังกรอบรูปสองใบซึ่งตั้งอยู่บนหัวเตียงด้วยความอาลัยอาวรณ์

               ภาพแรกเป็นรูปถ่ายสมัยตอนที่ตัวเองยังมีอายุได้สิบสองปี กำลังยืนจูงมือพ่อมดหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลรูปร่างสูงโปร่งในชุดลำลองสุภาพ หรือ “มิคาอิล ซิบูลคอฟ” พี่ชายเพียงคนเดียวของเธอ และนั่นถือเป็นการบันทึกภาพถ่ายร่วมกันครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไปเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น

               อีกภาพหนึ่งเป็นรูปที่เพิ่งถ่ายได้เมื่อไม่นานมานี้ โดยมีโมนิก้า เลวอน และวัตสันปรากฏอยู่ในนั้น ซึ่งสถานที่บันทึกภาพคือห้องนอนของเลวอนนั่นเอง แม่มดสาวจึงกวาดสายตามองดูภาพดังกล่าวเพื่อรำลึกถึงมิตรภาพที่ดีระหว่างกัน ทว่าไม่นานนักเธอก็เผลอจับจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มรูปงามผมสีขาวโพลนด้วยความห่วงใยปนเศร้าสลดใจ

               “คุณเลวอน…”

               โมนิก้าไม่อาจหยุดคิดถึงเลวอนได้เลย แม้ว่าเมื่อวานซืนนั้นจะเผอิญพบเห็นภาพบาดตาบาดใจจนทำให้รู้สึกขื่นขมอยู่บ้างก็ตาม อีกทั้งเหตุการณ์เมื่อช่วงก่อนหน้านี้ หรือตอนที่เขากับสเตฟาเนียมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเพื่อแลกเปลี่ยนพลังเวทและโค่นล้มปีศาจ Aka Manah นั้นเอง ก็ได้สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้แก่เธอมากพอแล้ว

               แต่ถึงอย่างนั้นเด็กสาวก็ยังคงรักเลวอนอย่างไม่เสื่อมคลาย ด้วยความที่เธอและเขาเคยสนิทชิดเชื้อด้วยกันมาเนิ่นนาน และด้วยนิสัยหรือบุคลิกท่าทีของอีกฝ่าย ก็ได้ทำให้ตนนึกถึงพี่ชายผู้ล่วงลับขึ้นมา ทว่าพักหลังมานี้มันค่อย ๆ ทวีคูณความรุนแรงชัดเจนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

               เนื่องจากโมนิก้าสูญเสียครอบครัวไปจนหมดสิ้นแล้ว จึงทำให้เธอขาดความอบอุ่น และต้องการใครสักคนมาเยียวยาแผลใจโดยการมอบความรักให้แก่ตน เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไป

               ทว่านอกเหนือจากเลวอนแล้ว ก็ไม่อาจมีใครเข้ามาเป็นตัวแทนพี่ชายของเธอได้อีก

               ความจริงโมนิก้าเองก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาได้แล้วว่า ถ้าหากตัวเองไม่ยอมเปิดใจเพื่อยอมพูดคุยกับเลวอนและสเตฟาเนียโดยตรง เรื่องราวทั้งหมดอาจต้องเลวร้ายลงเข้าสักวัน ทว่าเธอกลับไม่มีความกล้ามากพอที่จะเรียกร้องอะไรจากพวกเขา มีแต่จะทำให้คนรอบข้างต่างพากันดูแคลน และคิดว่าตนเป็นเด็กที่เอาแต่ใจจนเกินเหตุ เพียงเพราะหึงหวงหรือโหยหาความรักจากเขา

               โมนิก้าไม่ได้ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างเลวอนกับสเตฟาเนียถูกทำลายลง แต่ก็ไม่อยากจะกลายเป็นคนอ่อนแอเพียงเพราะไม่กล้าเผชิญหน้าต่อความจริงด้วยเช่นกัน เธอได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อให้เลวอนยอมรับและหันมาเห็นค่าความสำคัญของตนอีกครั้ง

               “…ขืนมัวแต่หลบหน้าสองคนนั้นต่อไป มีหวังเราคงได้กลายเป็นเด็กขี้ขลาดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ”

               หลังจากตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว เด็กสาวจึงปั้นสีหน้าคิ้วขมวดฮึดสู้ รีบพับผ้าห่มพร้อมทั้งจัดที่นอนให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกขึ้นลงจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมรับประทานมื้อเช้า และมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนอย่างกระตือรือร้น

 

               ********************

 

               โมนิก้าได้เดินทางมาถึงสนามหญ้าอันโล่งกว้างซึ่งเป็นพื้นที่รอบบริเวณปราสาทสีขาว ภายใต้ท้องฟ้าสีครามและตะวันยามรุ่งอรุณ โดยมีเหล่าบรรดานักเรียนวัยรุ่นชายหญิงต่างทำกิจกรรมสันทนาการตรงบริเวณสถานที่รอบ ๆ อย่างสนุกสนาน

               แม่มดสาวผมยาวสลวยสีน้ำตาลอ่อน ได้เหลือบเห็นผองเพื่อนซึ่งเป็นสมาชิกทีมประกาศิตแห่งมังกรทุกคน อันได้แก่เลวอน สเตฟาเนีย อาเธอเรีย คลาร่า เวสน่า ฮิคาริ ออเดรย์ วัตสัน และอิทสึกิ กำลังนั่งสนทนากันอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่โดยอยู่ห่างจากจุดนี้ราวสิบเมตร เหล่าพรรคพวกเห็นดังนั้นจึงหันมาโบกมือส่งเสียงทักทายด้วยรอยยิ้มอันสดใสทันที

               “โมนิก้า/อรุณสวัสดิ์ค่ะ/หวัดดี/โย่ว”

               “อรุณสวัสดิ์ค่ะทุกคน”

               โมนิก้าตอบรับคำทักทายพลางก้าวเท้ารีบเข้าไปสมทบ อิทสึกิขยับตนออกห่างจากเลวอนยังด้านขวามือเพื่อให้อีกฝ่ายแทรกตัวเข้ามาร่วมวงได้อย่างสะดวก ก่อนที่เด็กสาวจะย่อเข่านั่งพับเพียบลงเคียงข้างเลวอน ถอดหมวกแม่มดใบใหญ่วางลงบนหน้าตัก แล้วส่งยิ้มละมุนให้กับทุกคนด้วยสีหน้าร่าเริงแจ่มใสตามปกติ

               “เมื่อวันเสาร์พวกเราได้ข่าวมาว่าเธอไม่สบาย ตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้าง?” ออเดรย์ซักถามโมนิก้าอย่างเป็นกังวล

               “วันนั้นฉันรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย แต่ตอนนี้โอเคขึ้นเยอะแล้วล่ะค่ะ… ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เป็นห่วง”

               “คุณโมนิก้าน่าจะรีบติดต่อมาหาฉันนะคะ เผื่อทางนี้จะได้เข้าไปรักษาอาการป่วยให้” เวสน่าเผยสีหน้าท่าทีไม่สบายใจ พร้อมทั้งกล่าวแนะนำต่ออีกฝ่ายด้วยความปรารถนาดี

               “ไม่เป็นไรหรอกค่ะซิสเตอร์ ตอนนั้นเกรงว่าจะเป็นการรบกวนก็เลยไม่กล้าโทรติดต่อไป เพราะงั้น…”

               “อะไรกัน ไม่ได้เป็นการรบกวนเลยค่ะ ทางนี้มีความยินดีที่จะช่วยเหลือทุกคนอยู่แล้ว ที่สำคัญสุขภาพร่างกายนั้นต้องมาเป็นอันดับหนึ่งก่อนเสมอ… ครั้งหน้าถ้าหากมีอาการอะไรได้โปรดรีบติดต่อหาฉันโดยทันทีเลย ถือเสียว่าพวกเราขอร้องนะคะ”

               คราวนี้เวสน่าคิ้วขมวดใส่เล็กน้อย แสดงออกถึงความเข้มงวดปนความหวังดีอย่างชัดเจน ทำให้โมนิก้าหวั่นเกรงมิอาจหาญปฏิเสธน้ำใจของนักพรตสาวได้อีก ก่อนจะผงกศีรษะน้อมรับคำขอจากคู่สนทนาด้วยท่าทีว่านอนสอนง่าย

               “ข… ขอโทษด้วยนะคะ คราวหน้าฉันจะทำตามที่ซิสเตอร์บอกค่ะ”

               “ท่านวัตสันเป็นถึงนักปรุงยารักษาโรคแท้ ๆ แล้วทำไมถึงปล่อยให้นางล้มป่วยไปตั้งวันสองวันแบบนั้นกันล่ะขอรับ?”

               อิทสึกิได้หันไปซักไซ้พ่อมดหนุ่มผมสั้นสีส้มด้วยความกังขา อีกฝ่ายจึงส่ายหน้าไปมาพร้อมทั้งให้คำอธิบายไปดังนี้

               “หลังจากได้รับข้อความทางมือถือเมื่อบ่ายวันเสาร์ ฉันก็ได้แวะไปเยี่ยมโมนิก้าถึงบ้านเพื่อดูอาการทันที แต่ยัยเปี๊ยกนี่ดันป่วยการเมืองน่ะสิ ต่อให้ใช้ยารักษาก็ไม่มีทางหายขาดโดยเร็วหรอก”

               “ป่วยการเมือง? คุณโมนิก้าติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการเมืองจนล้มป่วยงั้นเหรอคะ?”

               คลาร่าเกริ่นสงสัยด้วยสีหน้าท่าทีไร้ซึ่งเดียงสา อาเธอเรียจึงจำใจต้องอธิบายเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด

               “เอ่อ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกคุณหนู เขาหมายถึงแกล้งป่วยต่างหากล่ะ”

               “ดูจากเหตุการณ์ที่ผ่าน ๆ มา ฉันคิดว่าโมนิก้าน่าจะป่วยเป็นไข้ใจมากกว่า”

               ฮิคาริซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิกอดอกอยู่อย่างเงียบ ๆ ได้กล่าวแซะพลางเหล่ตามองเลวอน หรือบุรุษหนุ่มผู้ซึ่งเป็นต้นสายปลายเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด โมนิก้าถึงกับแก้มแดงระเรื่อแสดงอาการลุกลี้ลุกลน พลันยกสองมือบางขึ้นมาโบกปฏิเสธพร้อมทั้งให้คำตอบอย่างร้อนรนใจทันที

               “ฉ… ฉันเปล่าเป็นไข้ใจนะคะ!”

               “แหม ๆ พูดจริงเหรอ ตอนไปเที่ยวกรุงปรากเมื่อวันศุกร์พวกฉันยังเห็นเธอยืนร้องไห้อยู่เลย”

               “ม-ไม่ใช่สักหน่อย ตอนนั้นเศษฝุ่นเข้าตาฉันต่างหากค่ะ!”

               บรรยากาศการสนทนาในครั้งนี้ดูเหมือนจะสนุกสนานและเป็นไปได้ด้วยดี ทว่ามีเพียงเลวอน และสเตฟาเนียเท่านั้นที่ยังคงนั่งเงียบกริบ เนื่องจากแปลกใจในท่าทีของโมนิก้าเล็กน้อยซึ่งสดใสร่าเริงผิดจากเมื่อสองสามวันก่อนลิบลับ

               ด้วยเหตุนี้เลวอนและสเตฟาเนียจึงหันมาสบตามองกัน พร้อมทั้งพยักหน้าส่งสัญญาณอะไรบางอย่างก่อนจะพยุงตัวลุกขึ้นยืน สร้างความประหลาดใจให้แก่เหล่าผองเพื่อนที่ยังคงนั่งพักผ่อนอยู่เป็นอย่างยิ่ง อาเธอเรียเห็นดังนั้นจึงเงยหน้าซักถามทั้งคู่ด้วยความฉงนใจ

               “เฮ้ ทั้งสองคนจะไปไหนกันน่ะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเข้าห้องเรียนเลยนี่นา”

               “พวกเราสองคนมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำนิดหน่อยน่ะ… สักครู่นะครับ”

               เลวอนพูดจบก่อนที่เขาและสเตฟาเนียจะแยกตัวออกจากกลุ่ม โมนิก้าได้แต่ยิ้มเศร้าสร้อยก้มหน้าลงต่ำเล็กน้อย พลางนึกโทษตัวเองไปว่าตนเป็นฝ่ายผิด แล้วจึงกล่าวพึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

               “ฉันคงทำอะไรผิดไปงั้นสินะคะ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังกลายเป็นก้างขวางคอยังไงยังงั้นเลย”

               “ยัยบ๊อง เลวอนน่ะไม่ได้คิดแง่ร้ายแบบนั้นกับเธอหรอกนะ”

               วัตสันกล่าวปลอบโยนสั้น ๆ ขณะนั้นเองฮิคาริพลันเกริ่นขึ้นพลางแสดงสีหน้าคิ้วขมวดเล็กน้อยด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์

               “ไม่หรอก เธอน่ะไม่ได้ทำอะไรผิดเลย คนที่เป็นต้นสายปลายเหตุน่ะคือเจ้าลูกแกะต่างหาก”

               “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะขอรับ ท่านเลวอนเขาทำอะไรผิด ทำไมท่านฮิคาริถึงได้พูดจาแบบนี้!?”

               อิทสึกิรีบโต้แย้งอย่างไม่พึงพอใจ ซามูไรสาวจึงพลันทักท้วงยกนิ้วชี้ใส่บุรุษเทพสุนัขสลับกับพ่อมดหนุ่มนักปรุงยาไปมา

               “เลิกให้ท้ายเพื่อนรักพวกนายสักทีเถอะ ก็เพราะว่าหมอนั่นทำให้โมนิก้าต้องมีสภาพจิตใจย่ำแย่แบบนี้ยังไงล่ะ แถมยังสนิทชิดเชื้อกับสเตฟาเนียจนดูน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก พวกนายก็รู้นี่ว่าโมนิก้าน่ะคิดยังไงกับ…!”

               “ได้โปรดช่วยหยุดด้วยเถอะค่ะ! ยิ่งทุกคนหันมาทะเลาะกันเองแบบนี้มีแต่จะทำให้ฉันรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาส่วนตัวที่ต้องลงมือสะสางด้วยตัวฉันเอง… ดังนั้นอย่าได้กังวลไปเลยค่ะ!”

               โมนิก้ารีบแทรกบทสนทนาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพื่อไม่ให้เหตุการณ์ต้องบานปลายไปมากกว่านี้ ทำให้ความขัดแย้งทั้งหมดพลันเงียบสงบลงแต่โดยดี ฮิคาริ อิทสึกิ และวัตสัน จึงหันมาสบสายตามองกันด้วยความละอายใจ ออเดรย์ คลาร่า และอาเธอเรียเองต่างก็ตะลึงพรึงเพริดเช่นเดียวกัน

               ยกเว้นเวสน่าเพียงคนเดียวที่นึกเฉลียวใจขึ้นมา เธอสังเกตเห็นว่าทั้งโมนิก้าและฮิคาริ ต่างก็หลงใหลในตัวเลวอนอย่างลึกซึ้ง ตนจึงเหลือบสายตามองต่ำเล็กน้อยพลางเผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยด้วยความเห็นใจ

               “อีกอย่างฉันน่ะ… ว้าย!?”

               ไม่ทันที่จะอธิบายต่อให้จบ ระหว่างนั้นเองโมนิก้าก็สัมผัสได้ถึงความเย็นวูบวาบบนแก้มขวา จนเธอสะดุ้งโหยงส่งเสียงร้องตื่นตระหนก พลอยทำให้คลาร่าและพรรคพวกซึ่งนั่งอยู่ ณ ตรงนี้เองต้องตกใจตามตนไปด้วย ในขณะที่แก้มอีกข้างกลับรู้สึกอบอุ่นโดยขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง

               แม่มดสาวร่างเล็กนัยน์ตาสีฟ้ามองหันซ้ายแลขวา แล้วพบว่าของสองสิ่งนั้นคือกระป๋องน้ำผลไม้รวมกับแฮมเบอร์เกอร์เนื้อไก่ห่อด้วยกระดาษเป็นอย่างดี เมื่อเอนหลังแหงนศีรษะขึ้นไปมองดู ก็พบเห็นว่าเลวอนและสเตฟาเนียกำลังยืนส่งยิ้มอยู่ทางด้านหลัง ก่อนที่จะเรียกขานชื่อของทั้งคู่ด้วยความแปลกใจ

               “ค… คุณเลวอน สเตฟก้า”

               “ที่ผ่านมาพวกเราสองคนแอบเป็นห่วงโมนิก้ามากเลยนะ… รับเอาไว้ทานสิคะ จะได้กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม”

               สเตฟาเนียเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงไว้ซึ่งความอบอุ่น เลวอนเองก็เผยรอยยิ้มละมุนละไมให้เช่นเดียวกัน โมนิก้าจึงไม่อาจสะกดกลั้นความตื้นตันใจเอาไว้ได้เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายยังนึกเป็นห่วงและให้ความสำคัญแก่ตน รีบยกสองมือบางรับของขวัญจากพวกเขาพร้อมทั้งกล่าวถ้อยคำซาบซึ้งอย่างแผ่วเบา

               “ขอบคุณมากนะคะ ถ้างั้นขอรับเอาไว้ด้วยความเต็มใจเลยค่ะ”

               “ว่าแต่ไปไวมาไวจังเลยแฮะ อย่าบอกนะว่าใช้เวทมนตร์วาร์ปน่ะ?”

               อาเธอเรียสงสัย เลวอนและสเตฟาเนียผงกศีรษะแทนคำตอบ ก่อนจะย่อเข่านั่งลงเพื่อร่วมวงสนทนากับทุกคนอีกครั้ง ในระหว่างที่โมนิก้ายังคงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย พลางเพ่งเล็งของทานเล่นที่อยู่ในมือทั้งสองข้าง สลับกับจ้องมองดูสองสหายผู้มอบของขวัญให้แก่ตนไปมา เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีอำพันจึงเอื้อมสองมือหยิกดึงแก้มเธอดังหมับด้วยแรงพอเหมาะทันที

               “ว้าย!? ค… คุณเลวอน?”

               โมนิก้าส่งเสียงอื้ออึงแทบจะไม่เป็นภาษา เลวอนเผยสีหน้าคิ้วขมวดใส่เล็กน้อยพร้อมทั้งพูดคุยด้วยน้ำเสียงจริงจัง

               “เมื่อวานซืนหลังจากที่ได้ยินข่าวว่าโมนิก้าไม่สบาย พวกเราก็เลยรีบโทรศัพท์และส่งข้อความไปหา แต่ทางนั้นไม่ยอมติดต่อกลับมาสักที… รู้บ้างรึเปล่าว่าผมกับสเตฟก้าเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน?”

               “แง้ หนูขอโทษค่า!” โมนิก้าเกริ่นสำนึกผิดทั้งน้ำตาคลอ สองแก้มของเธอแดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุก

               “เลวอน นับวันนายชักจะเริ่มทำตัวเหมือนคุณน้าเยวามากเข้าไปทุกทีแล้วนะ” พ่อมดหนุ่มนักปรุงยาแซวใส่เพื่อนสนิท

               “รุ่นพี่วัตสัน หัดดูบรรยากาศบ้างสิคะ ไม่พูดตอนนี้ก็ไม่มีใครหาว่าคุณเป็นใบ้หรอกค่ะ”

               สเตฟาเนียทักท้วงน้ำเสียงราบเรียบพร้อมด้วยแววตาจ้องเขม็ง ออเดรย์ อาเธอเรีย และฮิคาริต่างก็ผงกศีรษะเห็นพ้อง ทำให้วัตสันต้องเผยสีหน้าเจื่อนก้มศีรษะสลดใจเพียงลำพังอย่างเงียบเชียบ

               เลวอนละสองมือหนาออกจากแก้มของโมนิก้า แล้วลูบสางศีรษะอีกฝ่ายเพื่อปลอบประโลมจนเด็กสาวเริ่มออกอาการเหนียมอาย จากนั้นจึงกล่าวถ้อยคำอันแสนละมุนซึ่งสื่อถึงความห่วงใยและความอบอุ่นดังนี้

               “ถึงจะไม่ยอมเล่าให้พวกเราฟัง แต่ก็พอคาดเดาได้แหละว่าโมนิก้ากำลังรู้สึกอย่างไร… เธออาจคิดว่าตัวเองไม่สำคัญ ไม่อาจช่วยเหลือหรือทำประโยชน์อะไรให้กับทุกคนได้ แต่สำหรับผมแล้วกลับไม่คิดแบบนั้น เพราะถ้าหากไม่ได้เธอคอยพร่ำสอนวิชาต่าง ๆ ให้ ก็คงไม่มีตัวผมในวันนี้อย่างแน่นอน”

               “ต-แต่ว่าฉัน…”

               “ในเมื่อพวกเราเป็นห่วงโมนิก้าถึงขนาดนี้ ยังคิดว่าไม่มีใครมาสนใจอีกเหรอ ที่จริงผมเองก็ผิดเหมือนกันที่ดันปล่อยให้เหตุการณ์ทั้งหมดต้องลงเอยแบบนั้น… เพราะงั้นถ้าหากอยากจะเรียกร้องหรือทำตัวเอาแต่ใจสักหน่อยผมก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่อยากให้รับรู้เอาไว้ด้วยว่าโมนิก้าคือคนสำคัญสำหรับชีวิตผม”

               “…!?”

               โมนิก้าเผยสีหน้าตาโตพร้อมทั้งแก้มแดงระเรื่อด้วยความดีใจ ทว่าแม่มดสาวกลับพยายามที่จะหักห้ามใจตนเองพลางหันไปสบตามองสเตฟาเนียอย่างเป็นกังวล เนื่องจากว่าเธอนั้นไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์อันดี ระหว่างเพื่อนสนิทกับบุรุษหนุ่มผู้เป็นที่รัก จนเรื่องราวทุกอย่างต้องร้าวฉานลงนั่นเอง

               โชคดีที่สเตฟาเนียไม่นึกถือสาอะไร แถมยังแย้มสรวลมุมปากเพื่อให้สหายรักคลายความวิตก เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าโมนิก้านั้นต้องการสิ่งใดจากเลวอนมากที่สุด ก่อนจะเริ่มเกริ่นปลอบโยนอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

               “โมนิก้าเองก็เป็นเพื่อนสนิทคนสำคัญของฉันเหมือนกัน คราวหน้าหากมีเรื่องทุกข์ร้อนใจอะไร ก็แวะมาพูดคุยกับฉันหรือรุ่นพี่เลวอนได้เสมอเลยนะคะ”

               “คุณเลวอน สเตฟก้า… ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”

               แม่มดสาวผมสีน้ำตาลอ่อนกล่าวซาบซึ้งด้วยรอยยิ้มปลื้มปีติ ความขุ่นมัวซึ่งปกคลุมอยู่ภายในใจตอนนี้ได้จางหายไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว แม้ว่าจะยังคงรู้สึกไม่ดีต่อเรื่องที่ทั้งสองคนแอบมีอะไรกันเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ก็ตาม

               โมนิก้าจะพอเข้าใจถึงเหตุผลอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่เลวอนกับสเตฟาเนียทำลงไปทั้งหมดนั้นก็เพราะด้วยความจำเป็น ทำเพื่อช่วยเหลือให้ทุกคนกำราบปีศาจ Aka Manah ได้สำเร็จ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังแอบรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ดี ที่ครั้งแรกของเด็กหนุ่มกลับถูกเพื่อนสนิทแย่งชิงตัดหน้าไปเสียก่อน

               วัตสัน อิทสึกิ ออเดรย์ คลาร่า เวสน่า และอาเธอเรีย ซึ่งนั่งเฝ้ามองสถานการณ์อย่างเงียบ ๆ ต่างเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อเห็นว่าเรื่องราวทั้งหมดจบลงแต่โดยดี ทางด้านฮิคาริเองก็โล่งใจไม่แพ้กัน เพียงแต่รู้สึกผิดที่ตนได้พูดจาว่าร้ายเลวอนต่อหน้าโมนิก้า เธอจึงหลบสายตาลงเล็กน้อยพร้อมทั้งส่งเสียงพึมพำแผ่วเบา ยากที่ใครจะได้ยินชัดเจน

               “ให้ตายเถอะ แบบนี้ฉันมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนางร้ายในละครหลังข่าวเลยน่ะสิ…”

Options

not work with dark mode
Reset