แวมไพร์หนุ่มกับแม่มดทั้งเจ็ด (Haverzhakan Village) – ตอนที่ 52: เด็กสาวผมสีชาด

               บ่ายวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม ณ บริเวณป่าทึบทางตะวันออกของหมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน

               สามทหารจอมเวทชายฉกรรจ์ได้ออกลาดตระเวนสำรวจพื้นที่ เพื่อตามล่าและกำจัดเสือโคร่งไซบีเรียสีขาว เนื่องจากเป็นสัตว์ดุร้ายสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านจนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

               มิหนำซ้ำมันยังสามารถใช้เวทมนตร์คาถาได้บางชนิด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยากที่จะเมินเฉย

               สามพ่อมดยอดนักสู้ผู้มีประสบการณ์โชกโชนต่างเผยสีหน้าเคร่งเครียด ไม่อาจนึกจินตนาการได้เลยว่าความสามารถของเสือโคร่งตัวนั้นอยู่ในระดับใด เพราะมันได้ถูกครอบงำด้วยศาสตร์แห่งความมืด โดยใช้สัญชาตญาณในการล่าเหยื่อมากกว่าที่จะปลดปล่อยพลังจิตสังหาร เป้าหมายในครั้งนี้แตกต่างไปจากบรรดาอสูรปีศาจอย่างสิ้นเชิง

               แซ่ก แซ่ก…

               เสียงบางอย่างดังขึ้นตรงบริเวณพุ่มไม้ฝั่งซ้ายมือ เหล่าสามทหารจอมเวทในชุดผ้าคลุมหมวกฮู้ดหันไปยังจุดดังกล่าว พลันหยิบอาวุธประจำตัวตั้งท่าเตรียมสู้ แต่ละคนถือดาบ ไม้เท้าวิเศษ แม้กระทั่งปืนผาหน้าไม้ เฝ้าจับตามองดูสิ่งผิดปกติอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง

               “โฮกกกก!!”

               ทันใดนั้นเอง สัตว์ดุร้ายซึ่งมีขนาดร่างกายที่ใหญ่โตพร้อมด้วยลำตัวยาวกว่าสองเมตร ได้พุ่งพรวดออกมาจากพุ่มไม้อีกฝั่งหนึ่งจู่โจมใส่แบบฉับพลัน เสือโคร่งไซบีเรียสีขาวได้แยกเขี้ยวกระโจนเข้าหาเหยื่อโดยที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยออร่าสีฟ้าคราม ทว่าสามทหารพรานหาได้ประมาทชะล่าใจ พวกเขารีบหันไปสวนกลับการโจมตีอย่างรวดเร็ว

               ทั้งคลื่นอากาศของคมดาบอัศวิน ลูกดอกน้ำแข็งอันแหลมเรียว และลูกเพลิงขนาดใหญ่ ต่างก็ถูกปลดปล่อยออกจากศาสตราวุธปะทะใส่ร่างของพยัคฆ์ขาว จนมันกระเด็นถอยหลังหายวับไปจากสายตา ท่ามกลางความมืดสลัวในป่าดงพงไพร

               “มันเสียท่าแล้ว ตามไปปิดฉากเร็ว!” พ่อมดปืนผาหน้าไม้เร่งออกคำสั่งต่อสมาชิกทุกคน

               “ไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้นหรอก”

               ไกลออกไปจากจุดนี้เกือบหนึ่งกิโลเมตร มีเด็กสาวผมสีแดงประดุจโลหิตรายหนึ่งในชุดเครื่องแบบสีดำ กำลังนั่งชันเข่าซ้ายอยู่บนต้นไม้อันสูงชัน เธอถืออาวุธปืนสีทราย Barrett M107A1 ไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านวัตถุติดตั้งตัวเก็บเสียง นัยน์ตาสีอำพันคอยจับจ้องเล็งไปยังเหล่าบุรุษกลุ่มนั้นผ่านเลนส์กล้องอย่างเยือกเย็น

               พวกเขาหารู้ไม่ว่าตนกำลังถูกหลอกล่อให้เข้าสู่พื้นที่สังหาร อีกทั้งยังเปิดเผยตัวตนด้วยการโจมตีเมื่อสักครู่ ทันทีที่เด็กสาวปริศนาพบเห็นตำแหน่งของศัตรู เธอจึงหันลำกล้องไปทางขวาให้ศูนย์เล็งอยู่ด้านหน้าของเหยื่อเพื่อเผื่อระยะยิง จากนั้นเริ่มเหนี่ยวไกปืนอย่างไม่รีรอ

               กระสุนขนาด .50 BMG ถูกพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืน เนื่องจากติดตั้งตัวเก็บเสียงและใช้กระสุนชนิดพิเศษ จึงทำให้เกิดเสียงที่ไม่ดังลั่นจนเกินไป ด้วยระยะทางเพียงไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร ลูกตะกั่วก็ได้ปะทะเข้าร่างของพ่อมดปืนผาหน้าไม้อย่างจังภายในเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาที

               แม้จะเป็นการใช้อาวุธสมัยใหม่ แต่มันก็ถูกนำมาผนวกให้เข้ากับพลังเวท ทั้งนี้เพื่อช่วยเร่งความเร็วของกระสุนและเพิ่มความแม่นยำ มิหนำซ้ำหัวกระสุนยังถูกดัดแปลงให้มีพลานุภาพในการทำลายล้างคาถาเกราะป้องกันสูงยิ่งขึ้น ส่งผลลัพธ์ทำให้เป้าหมายกระเด็นถอยหลังลงไปนอนกับพื้นไร้ซึ่งสติ

               “ยาคอฟ!?”

               ทหารจอมดาบเวทรีบหันไปมองสหายร่วมรบที่เพิ่งสิ้นลมหายใจอย่างตื่นตระหนก ลำตัวของพ่อมดพลแม่นปืนปรากฏเป็นแผลฉกรรจ์ราวกับถูกคว้านทะลวงพร้อมนอนจมกองเลือด ระหว่างนั้นเองนักรบแห่งจอมเวทไม้เท้าวิเศษพยายามตั้งสติและสะกดบันดาลโทสะเอาไว้ รีบกวาดสายตามองหาศัตรูที่แท้จริงด้วยท่าทีลนลาน

               “เสร็จกัน… เจ้าเสือโคร่งนั่นเป็นตัวล่อ พวกเราติดกับเข้าแล้ว!”

               ——ปัง!!

               เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้ถูกยิงมาจากตำแหน่งเดิม พ่อมดผู้ใช้ไม้เท้ากายสิทธิ์กลายเป็นเป้าหมายรายถัดไป เคราะห์ดีที่คู่หูของเขารีบสไลด์เท้าเข้าไปขวาง ใช้ดาบอาบพลังเวทปัดกระสุนซึ่งพุ่งเข้ามาทางเยื้องขวาอย่างทันท่วงที ก่อนที่จะสบถท้าทายเกรี้ยวกราดเพื่อยั่วโมโหศัตรู

               “ไอ้ขี้ขลาด แน่จริงก็ออกมาสู้กันซึ่ง ๆ หน้าสิวะ!”

               “เอางั้นก็ได้”

               น้ำเสียงราบเรียบใจเย็นของเด็กสาวดังแว่วจากทางด้านหลัง สองพ่อมดผู้กล้าเร่งหันไปยังทิศทางดังกล่าว แล้วพบว่าแม่มดสาวผมสีชาดกำลังยกปืน Barrett M107A1 ประทับบ่าเล็งใส่โดยยืนอยู่ห่างกันราวสิบเมตร ก่อนที่เธอจะลั่นไกยิงอีกหนึ่งนัดแบบไม่พูดพร่ำทำเพลง

               คราวนี้บุรุษจอมดาบเวทได้แสดงฝีมือใช้ศาสตราวุธตัดกระสุนขาดเป็นสองซีก จนเศษชิ้นส่วนถากโดนแก้มซ้ายตนเกิดเป็นบาดแผลจาง ๆ พร้อมทั้งกล่าวเยาะเย้ยโอ้อวดใส่คู่ต่อสู้ราวกับผู้มีชัย

               “เหอะ ยัยโง่เอ๊ย ของเล่นพรรค์นั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก!”

               “แล้วถ้าแบบนี้ล่ะ?”

               เด็กสาวนัยน์ตาสีอำพันรีบก้าวเท้าพุ่งเข้าหา อาวุธในมือเริ่มส่องวูบวาบเปลี่ยนรูปร่างเป็นอาวุธขนาดสั้นกะทัดรัด หรือปืนกลมือ Brügger & Thomet MP9 ติดตั้งตัวเก็บเสียง ในขณะที่ทหารพรานเลือดร้อนเร่งมุ่งปรี่พลางร่ายโล่เวทมนตร์ขึ้นมา ง้างดาบอัศวินขึ้นเหนือศีรษะซึ่งอาบด้วยคาถาคำสาปร้ายแรงหมายจะปลิดชีพเธอเพียงครั้งเดียว

               “ตายซะนังแม่มด!”

               อัศวินทหารกล้าสะบัดเหวี่ยงดาบพร้อมทั้งปลดปล่อยลำแสงสีเขียวออกไป ส่งผลทำให้แผ่นดินถูกผ่าแยกออกจากกันเป็นรอยขนาดใหญ่ลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ทว่ายุวสตรีผู้ลึกลับกลับโยกหลบไปทางซ้ายย่อเข่าสไลด์ตัวเข้าหาเขา แล้วจ่อปากกระบอกปืนใส่สีข้างฝั่งขวาของเป้าหมาย ก่อนจะกดนิ้วลั่นไกรัวกระสุนปืนปะทะอัดร่างสูงแกร่งในระยะเผาขน

               “อั้ก อ๊ากกก!?”

               บุรุษจอมดาบเวททรุดเข่าล้มลงนอนดิ้นพล่านบนพื้นโดยสิ้นสภาพจากการต่อสู้ ถัดมาเด็กสาวผู้ปราดเปรียวรีบลุกขึ้นเตรียมโจมตีใส่เป้าหมายที่เหลืออยู่ พ่อมดแห่งไม้เท้าวิเศษค่อย ๆ ก้าวเท้าถอยหลังพลางตัวสั่นเทาด้วยความหวั่นสะพรึง ทว่าในท้ายที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจโบกคทากายสิทธิ์ร่ายคาถาโบราณขั้นสูงต้องห้าม อันเป็นคำสาปโทษสถานหนักจู่โจมใส่เธอ

               “Factisunt cadaverisa! (คำสาปพิฆาต) ”

               “Detrahere arma! (คาถาปลดอาวุธ) ”

               เด็กสาวเร่งตวัดนิ้วชี้ซ้ายซึ่งสวมแหวนกายสิทธิ์สีทองใส่คู่ต่อสู้ สะบัดไม้เท้าวิเศษให้หลุดไปจากมือของทหารจอมเวท โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ปลดปล่อยลำแสงสังหารออกมา แล้วใช้ปืนกลมือยิงใส่อาวุธชิ้นนั้นกลายเป็นเศษซากร่วงลงสู่พื้นดินทันที

               ดูเหมือนพ่อมดทหารพรานจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่าตนคงสิ้นหนทางรอดแล้ว ต่อให้วิ่งหนีออกจากที่นี่เพื่อรายงานข่าวให้ยาโรสลาฟได้รับทราบ ก็มิวายโดนศัตรูตามล่าเพื่อฆ่าปิดปากอยู่ดี เขาจึงหยิบมีดสั้นซึ่งซ่อนไว้ตรงบริเวณหลังเอวออกมาตั้งท่าเตรียม แล้วส่งเสียงฮึกเหิมวิ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทั้งที่ตัวสั่นสู้

               “ย้ากกกกกก!”

               “สำหรับคุณแล้ว ต่อให้ฉันสู้ด้วยมือเปล่าก็น่าจะเกินพอ”

               ยุวสตรีผู้ห้าวหาญพึมพำ ก่อนจะร่ายเวทมนตร์ให้อาวุธที่ถืออยู่ในมือได้อันตรธานหายไป แล้วโยกหลบวิถีของมีดที่พุ่งตรงเข้ามาสลับซ้ายขวาอย่างช่ำชอง จนกระทั่งถึงช่วงที่บุรุษจอมเวทเหวี่ยงคมมีดหมายจะแทงเข้าศีรษะ เธอจึงรีบย่อเข่าลงต่ำเอียงลำตัวซ้ายไปข้างหน้าเล็กน้อย ขยับก้าวเท้าซ้ายวาดมือขวาสะบัดใส่แขนคู่ต่อสู้พลางยกขาข้างถนัดซัดเข้าลำตัว ทำให้มีดของอีกฝ่ายหลุดมือร่วงลงสู่ผืนดิน

               ทว่ามันยังไม่จบเพียงแค่นั้น เธอเร่งย่ำขาขวาลงพลางชักมือกลับ ขยับขาซ้ายย่อเข่าสไลด์เข้าประชิดร่างสูงแกร่ง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเหวี่ยงศอกซ้ายยกขึ้นโจมตีใส่กลางอกของชายฉกรรจ์ประดุจสายฟ้าฟาดเต็มรัก ส่งผลทำให้อีกฝ่ายกระเด็นถอยหลังกระแทกลงกับพื้นเกิดเศษฝุ่นลอยฟุ้งไปทั่ว

               “อั๊ก อ๊าก…!

               เขายกสองมือขึ้นกุมอกด้วยความเจ็บปวด พร้อมเผยสีหน้าบิดเบี้ยวทุรนทุรายอย่างน่าเวทนาใจ เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว กระบวนท่าของแม่มดสาวเมื่อสักครู่นี้เรียกว่า “วิชาแปดปรมัตถ์” เป็นศิลปะการต่อสู้มือเปล่าของชนชาติจีนที่มีทั้งความพลิ้วไหวและยืดหยุ่น แต่แฝงไว้ซึ่งความรุนแรงจนอาจคร่าชีวิตของศัตรูได้ หากได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

               บุรุษผู้ปราชัยพยายามเงยศีรษะเปล่งเสียงซักถามเธอทั้งที่ตนกำลังบาดเจ็บ

               “ธ-โธ่เว้ย นี่หล่อนเป็นใครกันแน่!?”

               “คนที่กำลังจะตายอย่างพวกคุณน่ะ ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกค่ะ”

               แม่มดสาวนัยน์ตาสีอำพันตอบบ่ายเบี่ยงก่อนจะผิวปากส่งสัญญาณบางอย่าง จนกระทั่งพบเห็นเสือโคร่งไซบีเรียสีขาวกำลังย่างกรายออกมาจากมุมมืดโดยปราศจากบาดแผลใด ๆ พลางจับจ้องมองเหยื่อทั้งสองที่ยังมีลมหายใจอยู่อย่างไม่ลดละ ทำเอาเหล่าพ่อมดทหารหาญต่างพากันหวาดกลัวสีหน้าซีดเผือด จนลืมความเจ็บปวดไปชั่วขณะหนึ่ง

               เธอมอบคำสั่งให้แก่จ้าวแห่งพงไพรด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มิได้สนใจไยดีต่ออีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

               “พยัคฆ์ขาว จัดการพวกเขาซะ”

               “ย-อย่าเข้ามานะ!/ค… ใครก็ได้ช่วยด้วย ฉันยังไม่อยากตาย!”

               สองพ่อมดทหารชายฉกรรจ์พยายามตะเกียกตะกายเพื่อเอาชีวิตรอด ช่วงวินาทีที่เสือโคร่งกำลังก้าวเท้ามุ่งตรงเข้าหาเหยื่อพร้อมอ้าปากแยกเขี้ยวหมายจะสังหารพวกเขา เด็กสาวลึกลับก็ได้หันหลังเดินจากบริเวณนี้ เพื่อปล่อยให้สัตว์เลี้ยงของตนเล่นสนุกตามอำเภอใจ ท่ามกลางเสียงคำรามของอสูรจอมหิวโหย เสียงฟันขบเคี้ยว และเสียงร้องของผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองคน

               “โฮกกกก!!”

               กร้วม กร้วม กร๊อบ!

               “อ๊ากกกกกกก!!”

               แม้จะชินชากับภาพสยดสยองมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อาจรื่นเริงสุนทรีย์หรือเสพสุขไปกับการฆ่าฟันได้อยู่ดี เนื่องจากการสังหารในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะด้วยความจำเป็น และเพื่อเป้าหมายสำคัญบางอย่าง

               “สลาติก้า บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าปรากฏตัวให้ศัตรูเห็นน่ะ?”

               น้ำเสียงราบเรียบนุ่มลึกของบุรุษรายหนึ่งดังแว่วขึ้นมา… จอมมารไซตอนนั่นเอง

               “ขออภัยด้วยค่ะ ฉันแค่นึกเป็นห่วงพยัคฆ์ขาว กลัวว่ามันจะรับมือกับเหล่าพ่อมดทหารพวกนี้ไม่ไหว ก็เลย…”

               แม่มดสาวผู้มีใบหน้าสะสวยวัยสิบหกปี กับใบหูที่แหลมคล้ายเผ่าเอลฟ์เพียงแต่สั้นกว่าเล็กน้อย “สลาติก้า ซาวาดสก้า” ได้ส่งกระแสจิตตอบกลับโดยที่เธอไม่ขยับปากเปล่งออกเสียงใด ๆ

               “ไม่จำเป็น ตราบใดที่พยัคฆ์ขาวยังออกล่าเหยื่อและกินหัวใจของมนุษย์ต่อไป มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งไร้เทียมทานมากขึ้น เว้นแต่ตอนที่ยาโรสลาฟเป็นฝ่ายออกมาสะสางเรื่องนี้เสียเอง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าค่อยพามันกลับมาหาข้าในภายหลัง… บุตรีแห่งข้าเอ๋ย จงรีบหลบซ่อนตัวต่อไปเถอะ”

               “รับทราบค่ะท่านพ่อ”

               สลาติก้าน้อมรับคำสั่งอย่างว่าง่ายก่อนจะยุติบทสนทนา ขณะเดียวกันเสือโคร่งสีขาวได้ย่างเท้าเดินเข้ามาชิดใกล้ นำศีรษะแนบชิดมือบางของผู้เป็นนายถูไถออดอ้อนราวกับแมวน้อยแสนเชื่อง ทั้งที่ยังมีคราบเลือดยังเปรอะเปื้อนไปทั่วบริเวณปาก เธอหันมาส่งยิ้มเศร้าสร้อย ลูบสางหัวของจ้าวแห่งสัตว์ป่าด้วยความเอ็นดูพลางกล่าวน้ำเสียงละมุน

               “ขอโทษด้วยนะ ฉันคงต้องปล่อยให้แกอยู่ที่นี่ตามลำพังไปอีกสักพักหนึ่ง ไว้ฉันจะแวะมาเยี่ยมใหม่…”

               เมื่อล่ำลากันเสร็จสิ้นแล้ว เด็กสาวผมสีชาดดุจโลหิตจึงยกมือขวาขึ้นดีดนิ้วร่ายคาถา ให้ร่างพลันอันตรธานหายไปจากพื้นที่ป่าทึบอันเงียบสงัด เหลือไว้แค่เพียงละอองแสงสีแดงระยิบระยับเจือจาง โดยปล่อยให้สัตว์ร้ายใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังต่อไปท่ามกลางผืนแห่งพงไพรแห่งนี้

               แม้ว่าสลาติก้าจะยังห่วงหาอาทรและอยากดูแลมันอย่างใกล้ชิดก็ตาม

 

               ********************

 

               เวลา 16 นาฬิกา 4 นาที ภายในยอดหอคอยของปราสาทสีขาว ณ หมู่บ้านฮาเวอร์ชาคาน

               โมนิก้าได้เดินทางมาถึงพื้นที่ดังกล่าวด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ เนื่องจากต้องก้าวเท้าไต่ขึ้นบันไดหลายสิบชั้น เมื่อหยุดอยู่ตรงบริเวณทางเข้าออกซึ่งเป็นห้องทำงานของยาโรสลาฟ เธอจึงยกกำปั้นเคาะประตู แล้วกล่าวรายงานตัวไปตามมารยาท

               “โมนิก้า ซิบูลโควาค่ะ ขออนุญาตเข้าไปข้างในนะคะ”

               “เข้ามาสิ”

               สิ้นถ้อยคำอนุญาตจากผู้อาวุโส เสียงกลอนภายในก็พลันดังขึ้นก่อนที่บานประตูจะถูกผละออกโดยอัตโนมัติ โมนิก้าจึงก้าวเท้าเดินเข้าไป แล้วพบว่าภายในห้องค่อนข้างมืดสลัว ท่ามกลางแสงไฟจากเชิงตะเกียงบนโต๊ะทำงาน

               บานประตูถูกปิดโดยที่แม่มดสาวร่างเล็กไม่ทันได้สัมผัส เธอคอยกวาดสายตาจับจ้องมองดูสิ่งของต่าง ๆ ภายในห้องอย่างสนใจ ผนังแต่ละด้านมีชั้นหนังสือวางตั้งเรียงราย ชั้นวางสมุนไพร ยา หรือสารเคมีหลากหลายชนิด พร้อมกระถางต้นไม้นานาพรรณแลดูเป็นธรรมชาติ ส่วนตรงกลางห้องมีโต๊ะทำงานวางตั้งซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์

               โมนิก้าเดินเข้าใกล้โต๊ะทำงานหลักซึ่งตั้งอยู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของมุมห้อง มองเห็นยาโรสลาฟกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตามปกติ ไม่รอช้าเด็กสาวจึงรีบเกริ่นทักทายต่ออีกฝ่ายอย่างตะกุกตะกัก

               “ส-สายัณห์สวัสดิ์ค่ะศาสตราจารย์”

Options

not work with dark mode
Reset