โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.256 – กองทัพเมืองไห่
แม้ในทุกๆครั้งที่ฉินเฟิงออกไป เขาจะกลับมาพร้อมทรัพยากรล้ำค่า แต่สำหรับซูซิงฝู … เมื่อฉินเฟิงไม่อยู่ นั่นเท่ากับไม่มีใครคอยปกป้องสถานชุมชนเฟิงหลี เรื่องนี้ทำให้เขากังวลเป็นอย่างมาก
เพราะธุรกิจเองก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เป็นธรรมดาที่จะต้องรับความเสี่ยงมากขึ้น
“ใช่แล้วล่ะ พอดีว่าเมืองไห่เชิญผมเข้าร่วมปราบปรามกองทัพสัตว์ร้ายจากทะเลน่ะ” ฉินเฟิงตอบ
ซูซิงฝูอ้าปากอุทานออกมาทันที พยายามโน้วน้าวฉินเฟิง
“เมืองไห่เพิ่งเปลี่ยนเทศมนตรีคนใหม่ ปัจจุบันเป็นหนึ่งในผู้นำสายตรงของกลุ่มเล่ยถัง ท่านผู้ว่าการ จำไม่ได้หรือว่าทรัพยากรมหาศาลที่ได้มาในคราวก่อน คุณยังไม่จ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่พวกเขาเลย นั่นเท่ากับเป็นการละเมิดกฏของพวกเขาชัดๆ ฉะนั้นฉันมั่นใจว่าพวกเขาจะต้องไม่พอใจคุณ”
ซูซิงฝูสามารถมองได้ทะลุปรุโปร่งจริงๆ ในจุดนี้ หลิวเฮ็งเทียบกับเขาไม่ได้เลย
“อืม ผมเข้าใจดี แต่เรื่องนั้นพวกเขาไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองสักหน่อย อีกทั้งยังหมกตัวอยู่แต่ในเมือง ทำตัวเหมือนลูกสะใภ้ถูกขังไม่ให้ออกจากบ้าน … ผมเลยว่าจะแวะไปเยี่ยมเยือนซักหน่อย”
“ผู้ว่าการ คุณก็รู้ดีว่าที่นั่นมันถ้ำเสือ แล้วทำไมถึงเลือกก้าวเข้าไปอีก!”
ฉินเฟิงโต้กลับ “แล้วคุณจะขโมยลูกเสือได้อย่างไรหากไม่เข้าไป? ทรัพยากรมหาศาลกำลังรอพวกให้พวกเราไขว่คว้าอยู่นะ”
“ถ้าเฉพาะเรื่องนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเข้าถ้ำเสือก็ได้ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่คุณต้องสู้อีก —ผู้ว่าการไม่อยากจะพักผ่อนบ้างเลยหรือ?”
ฉินเฟิงส่ายหัว “คุณเคยเห็นว่าผมหยุดพักรึไง ถ้าผมพัก ผลลัพธ์มันคงไม่เป็นอย่างทุกวันนี้”
ซูซิงฝูพอได้ยินคำฉินเฟิง ภาพความทรงจำในอดีตก็ไหลย้อนกลับมาในวิสัยทัศน์ของเขา
เจ้าตัวได้พบกับฉินเฟิงครั้งแรกก็ราวๆครึ่งปีก่อน เวลานั้นอีกฝ่ายเพิ่งได้รับการฉีดยาปลุกพลัง แม้ตกอยู่ท่ามกลางเหตุรอยแยกมิติ กลับยังคงสงบ และเจรจราราวกับผู้ใหญ่
การพบกันครั้งที่สอง ฉินเฟิงเพิ่งกลับจากการออกไปต่อสู้ในทุ่งล่า และได้รับวัตถุดิบนายพลสัตว์ร้ายกลับมา
ปัจจุบัน ฉินเฟิงกลายเป็นผู้ว่าการของสถานชุมชนไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น สถานชุมชนที่ว่า ไม่เพียงกลายเป็นที่รู้จัก แต่ยังเจริญเฟื่องฟูขึ้นในทุกๆวัน กระแสของผู้คนหลั่งไหลเข้ามา เป็นสัญญาณที่ดี บ่งบอกว่าสถานชุมชนแห่งนี้มีแนวโน้มว่าจะรุ่งเรืองในอนาคต
และความสำเร็จถึงขนาดนี้ของฉินเฟิง ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล มีหลากหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น พรสวรรค์ โชค ฯลฯ ที่อยู่รวมกันในตัวเขา แต่สิ่งหนึ่งที่เด้นชัดมากๆเลยก็คือ
—เขาไม่เคยหยุดนิ่ง!
“นั่นก็จริง … ” ซูซิงฝูโดนคำพูดของฉินเฟิงสวนกลับจนเถียงไม่ออก แต่ท่าทีที่แสดง ชัดเจนว่ายังกังวลอยู่
“บางที อาจเป็นคุณที่ต้องปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเอง เพราะตราบใดที่คุณทะยานขึ้นมาถึงเลเวล E ต่อให้จะไม่มีประสบการณ์ต่อสู้มากนักก็ตาม แต่คุณก็ยังพอที่จะข่มผู้คนได้ อุตส่าห์ทำเงินได้มากถึงขนาดนี้ อย่าเก็บมันไว้ให้เสียเปล่าเลย!” กลับกลายเป็นซูซิงฝูที่ถูกฉินเฟิงโน้มน้าวซะเอง
จริงๆแล้วในชีวิตก่อนหน้า ระดับของซูซิงฝูก็ไม่เลวเช่นกัน แต่สิ่งที่มีชื่อเสียงมากกว่า ก็คือความสามารถในด้านธุรกิจของเขา
ส่วนในแง่ของความสามารถในการต่อสู้ ฉินเฟิงไม่เคยเห็นอีกฝ่ายลงมือมาก่อน
อย่างไรก็ตาม มีคนจำนวนมากคาดเดากันว่าเขาคือพวกแกร่งแต่ภายนอก เปราะภายใน
ซึ่งฉินเฟิงเองก็คิดเช่นนั้น โดยเฉพาะพอยิ่งได้รู้จักกับซูซิงฝู เขาก็ยิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะขยันฝึกฝนเอาซะเลยจริงๆ
“เรื่องนั้นคุณก็พูดถูก เอ่อ … ไม่ใช่ว่าฉันจะอิดออดหรอกนะ แต่ฉันคงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนหรอก เพราะตอนนี้เฟิงหลีเต็มไปด้วยคนหนุ่มสาว ส่วนฉันน่ะอาวุโสแล้ว ดังนั้นคอยสนับสนุนอยู่ห่างๆก็พอ” ซูซิงฝูกล่าวกระด้างกระเดื่องเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงเน้นย้ำอีกครั้ง “ผมเข้าใจว่าจุดแข็งของคุณไม่ใช่เรื่องฝึกฝนวรยุทธ คุณไม่จำเป็นต้องก้าวให้ทันกับพวกคนอื่นๆหรอก ขอแค่ไม่หละหลวมจนเกินไปก็พอแล้ว เอาไว้ผมจะช่วยเหลือคุณเอง”
“ตกลง ตกลง!” ซูซิงฝูพยักหน้าหงึกๆ จนไขมันกระเพื่อม
ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเฟิง คำกล่าวนี้ จึงมีความน่าเชื่อถือพอสมควร
วันถัดมา รถไฟล่องเวหาก็มาถึง รับผู้คนจากเขตเมืองเฉิงหยาง พาไปยังเมืองไห่
แต่เหตุการณ์คราวนี้แตกต่างจากเมืองหาน ตรงที่ว่าไม่จำเป็นต้องมีการโฆษณาเชิญชวน เพราะในทุกๆปี จะมีผู้คนที่เฝ้ามองหาโอกาส เดินทางเข้าร่วมปราบปรามภัยพิบัติของเมืองไห่อยู่แล้ว
เริ่มแรก คลื่นกองทัพขนาดใหญ่จะซัดสาดเข้าใส่ชายฝั่งของเมืองไห่ และหลังจากการปิดล้อมจบลง ทุกสิ่งอย่างที่ถูกซัดตามมาก็จะติดอยู่บนฝั่ง
ไม่ว่าจะเป็นหอยมุกเงิน กระทั่งหอยมุกทองก็อาจปรากฏขึ้นได้ ซึ่งหากผู้ใช้พลังเลเวล G ได้รับมัน ทรัพยากรดังกล่าวก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยส่งเสริมให้ก้าวขึ้นไปยังเลเวล F
ยังไงก็ตาม ในปีนี้ดูเหมือนจะไม่เหมือนเดิม เนื่องจากเหตุตัวเชื่อมมิติของกลุ่มหวันซ่ง ทำให้สามเฉิงสูญเสียตัวตนระดับสูงไปมากมาย ถือเป็นความเสียหายที่ร้ายแรง
ด้วยเหตุนี้ สถานชุมชนหลายแห่งจึงเกิดความไม่พอใจต่อเมืองไห่ และปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการปราบปรามกองทัพจากท้องทะเลในครั้งนี้
แม้เรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อจำนวนของผู้ใช้พลังระดับต่ำ แต่เมื่อไม่มีผู้ใช้พลังระดับสูง หากปรากฏสัตว์ร้ายระดับนายพลขึ้นมา กองทัพปราบปรามอาจถึงขั้นแตกพ่ายโดยสมบูรณ์
และนี่เองคือเหตุผล ที่แม้ฉินเฟิงจะยื่นเงื่อนไขโหดร้าย แต่อีกฝ่ายก็ยังตอบรับคำขอของเขา
แต่สิ่งที่ฉินเฟิงยังไม่ล่วงรู้ก็คือ ในเวลานี้ กลางเมืองไห่กำลังประชุมหารือกันอยู่
“คนจากองค์กรมืดครั้งก่อนที่เรียกตัวมา ยังไม่สามารถทำให้ฉินเฟิงตกตายลงได้ก็จริง แต่คราวนี้ล่ะ เขาจะต้องตายชนิดไม่มีดินกลบฝัง!”
“ท่านรองเทศมนตรีโปรดวางใจ พวกเราได้เตรียมการเอาไว้แล้ว ตราบใดที่ฉินเฟิงกล้ามา พวกเราขอรับประกันว่าเขาจะไม่ได้กลับไป!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งยืนยันหนักแน่น และบอกเล่าแผนการออกไป
ชายที่นั่งฟังอยู่พยักหน้าด้วยความพอใจ แต่ก็ยังหลงเหลือร่องรอยของความขุ่นเคืองในแววตา
ชายคนนี้ถูกเรียกว่าหวังจื่อเฉา อายุประมาณ 35 ปี ครอบครองความแข็งแกร่งในเลเวล E8 ซึ่งไม่อ่อนแอเลย ในอนาคตมีโอกาสทะยานขึ้นไปถึงเลเวล D เขาเป็นอันดับหนึ่งรองจากเล่ยเฉิน ปัจจุบันจึงดำรงตำแหน่งเป็นรองเทศมนตรีไปโดยปริยาย
ครั้งก่อนหวังจื่อเฉาทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อจ้างปรมาจารย์หยินและคนอื่นๆ โดยยื่นเงื่อนไขว่าให้ก่อความวุ่นวายและสังหารฉินเฟิง
แต่ไม่คาดหวังเลย ว่าทั้งสามคนจะไร้ประโยชน์ถึงขนาดนี้ ไม่เพียงมิอาจสังหารฉินเฟิงลงได้ ยังมอบอุปกรณ์ทุกอย่างที่พกติดตัวไปตกอยู่ในมือของฉินเฟิงอีก ส่งผลให้ธุรกิจตลาดมืดของสถานชุมชนเฟิงหลีมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าเดิม
เดิมทีสิ่งของพวกนั้นที่หวังจื่อเฉามอบให้ไป เขากะว่าหลังจากทั้งสามจัดการฉินเฟิงลงได้แล้ว เจ้าตัวจะสังหารพวกมันและนำกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ตอนนี้ ทุกอย่างมันผิดแผนไปหมด!
“ฉินเฟิง … หวังว่าในครั้งนี้แกจะเอาของดีพกติดตัวมาบ้างนะ ไม่อย่างงั้น ฉันคงขาดทุนแย่!”
แน่นอน อันที่จริงฉินเฟิงจะพกอะไรมาก็ไม่สำคัญ เพราะหากสังหารฉินเฟิงลงได้ หุ้นในส่วนของสถานชุมชนเฟิงหลี ก็จะตกเป็นของหวังจื่อเฉา เฉพาะเรื่องนี้มันก็คุ้มค่าพอที่จะชดเชยที่เสียไปได้แล้ว!
ครั้งนี้ทุกอย่างถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี ทว่าคนอย่างฉินเฟิง จะถูกสังหารได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ?
…
ช่วงเวลาเดียวกัน
บนรถไฟล่องเวหา ฉินเฟิงได้พบกันตันหยูอีกครั้ง
เนื่องจากตันหยูรับผิดชอบเส้นทางสายนี้ ดังนั้นการพบกันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ยังไงก็ตาม บรรยากาศระหว่างทั้งสองกลับไม่กลมกลืนเหมือนครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด
อย่างแรกเลย ชื่อเสียงของฉินเฟิงโด่งดังขึ้นไปอีกขั้น
ในขณะที่ตันหยูยังคงเป็นแค่ผู้คุมขบวนรถไฟดังเดิม ดังนั้นเมื่อเจอฉินเฟิง จำเป็นต้องให้เกียรติและสุภาพ
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในผิงหยุนอีก ทั้งๆที่ฉินเฟิงช่วยเหลือชุมชนของอีกฝ่าย แต่ตันหยูกับคนอื่นๆดันหวาดกลัวว่าฉินเฟิงจะถูกครอบงำโดยปีศาจเสพวิญญาณ ปฏิเสธที่จะเข้าใกล้ฉินเฟิง
เมื่อถูกตันหยูสรุปให้เป็นแบบนั้น ฉินเฟิงก็รู้สึกไม่พอใจ และไม่คิดอธิบายใดๆ
เพราะท้ายที่สุดแล้ว เขาคือผู้ใช้พลังในเลเวล E ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้กับคนๆหนึ่งที่อยู่แค่เลเวล F
“เอาล่ะ คุณไม่ต้องมาคอยดูแลที่นี่หรอก ไปทำงานอย่างอื่นเถอะ” ฉินเฟิงกล่าว ตัดโอกาสให้ตันหยูพูดแก้ตัว
ตันหยูทำได้เพียงเก็บประโยคมากมายไว้ในหัว สุดท้ายลดศีรษะลงและกล่าว “ตกลง” และออกจากห้องส่วนตัวสุดหรูของฉินเฟิงไป
ไป๋หลีมองตามตันหยู ก่อนสลับมามองฉินเฟิงด้วยความฉงน
“คุณยังไม่หายโกรธเขาอีกหรือ?” ไป๋หลีเอ่ยถาม
ฉินเฟิงได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้กับไป๋หลีแล้ว ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึง เจ้าตัวเพียงอธิบายเพิ่มเติมถึงความคิดของตัวเอง “ฉันไม่เก็บเรื่องในอดีตมาใส่ใจหรอก แต่มันติดปัญหาตรงที่พวกเขาเห็นว่าอบิลิตี้มืดไม่สามารถทำอะไรฉันได้เนี่ยสิ อย่าลืมนะว่าเรื่องฉันครอบครองอบิลิตี้มืดไม่อาจเปิดเผยได้ ตอนนี้กลุ่มซ่งเฉินคงกำลังสงสัยฉัน และส่งตันหยูมาคอยจับตาดูอย่างลับๆเป็นแน่ และฉันไม่อยากให้มีเรื่องแบบนั้นมากวนใจ”
ดังนั้น ฉินเฟิงเลยไม่สามารถสนิทสนมกับตันหยูได้มากกว่านี้
เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาด ดังนั้นพูดให้น้อยลงก็ยิ่งดี บางทีเกรงว่าจากนี้ไป ฉินเฟิงอาจจะไม่ได้สนทนากับตันหยูอีกแล้ว
แต่เดิม ฉินเฟิงต้องการผู้มีพรสวรรค์มากมายมาเข้าร่วมกับเฟิงหลี โดยไม่สนว่านั่นจะเป็นการขโมยตัวคนมีความสามารถมาจากเมืองอื่นหรือไม่ และตันหยูเองก็หนึ่งในตัวเลือกที่ดี
แต่ตอนนี้ คงทำได้เพียงยอมแพ้
กรณีดังกล่าว แน่นอนว่ามิใช่ฉินเฟิงที่ขาดทุน หากแต่เป็นตันหยูต่างหากที่พลาดโอกาสดีๆไป