โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】 – ตอนที่ 529

เจ้าสิ่งนี้ อย่างน้อยต้องอยู่ในเลเวล S กระทั่งอาวุธเทวะอย่างเกราะหวังหมิงที่ฉินเฟิงสวมใส่ ยังเทียบไม่ได้

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกวาดสายตามองแต้มสงครามที่จำเป็นต้องใช้แลก และพบว่ามันมากถึง 500,000 แต้ม

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม แต้มจำนวนนี้ สำหรับฉินเฟิง ไม่ถือว่ามากมายอะไร

 

 

 

 

 

“ตกลง ผมจะรับหน้าที่นี้ต่อเอง ส่วนองครักษ์ของคุณ ไม่จำเป็นต้องทิ้งไว้กับผม” สายตาของฉินเฟิง เบนไปยังเหล่าเลเวล B

 

 

 

 

 

ซางฮันชะงักไปชั่วขณะ สักพักแสดงท่าทีไม่เห็นด้วย “ความแข็งแกร่งของผู้ใช้พลังเลเวล B อาจเทียบไม่ได้กับคุณก็จริง แต่ถ้าบังเอิญปรากฏการดำรงอยู่ระดับจักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล B อีกครั้งล่ะ? ฉันคิดว่ายังไงคุณก็ต้องการตัวช่วย”

 

 

 

 

 

ฉิยเฟิงกล่าว “ไม่จำเป็น ตรงกันข้าม ผมกลัวว่าคนพวกนี้จะกลายเป็นตัวหารแต้มสงครามกับผม”

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงกล่าวตรงๆ เหล่าเลเวล B ที่แต่เดิมเลือกเก็บความคับแค้นไว้ในจิตใจ ทั้งหมดสีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลาย ถลึงมองฉินเฟิง ความโกรธลุกโชน

 

 

 

 

 

“ฉินเฟิง! คุณแข็งแกร่งก็จริง แต่ถ้าต้องเผชิญกับศัตรูนับหมื่น จะรับมือได้หรอ!”

 

 

 

 

 

“ใช่ อย่าอวดดีให้มันมากนัก คุณคิดว่าตัวเองเป็นเลเวล A หรือไร”

 

 

 

 

 

“ต่อให้มีเรือเหาะช่วยยิง แต่จักรพรรดิเลเวล B ก็ยังสามารถฉีกคุณเป็นชิ้นๆได้อยู่ดี ถึงเวลานั้น กว่าจะคิดแก้สถานการณ์ มันก็สายเกินไปแล้ว”

 

 

 

 

 

“หยุดพูดเถอะ ในเมื่อเขาไม่อยากให้เราช่วย เราก็ไม่ต้องโยนตัวเองลงโคลนไปอยู่กับคนแบบนี้ ถ้าเจ้าเด็กนี่ตายไป พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดอะไร”

 

 

 

 

 

เหล่าเลเวล B ก่นด่าจนจมูกบิดเบี้ยว

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงเฝ้ามองเหล่าเลเวล B ชักมีดกษัตริย์ครามขึ้นมาโดยตรง

 

 

 

 

 

ฝูงชนผงะตกใจ พวกเขารู้อยู่หรอกว่าฉินเฟิงเป็นคนใจร้อน แต่ไม่คิดว่าจะดีเดือดถึงขนาดคิดทำร้ายกันเองแบบนี้

 

 

 

 

 

และเมื่อลองย้อนนึกไปถึงเรื่องที่ฉินเฟิงสังหารกวงเว่ย ในหัวใจของเหล่าเลเวล B ก็เริ่มเกิดความหวาดกลัว

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความรู้สึกหวาดกลัว มันยังบังเกิดความรู้สึกโกรธเกรี้ยว

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงในเวลานี้ ชักทำตัวเลวร้ายเกินไปแล้วในสายตาของพวกเขา!

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นเอง ฉินเฟิงเหวี่ยงสะบัดข้อมือ ส่งมีดลอยตัดอากาศไปยังอีกทิศทางหนึ่ง แสงไสวสีแดงม่วงเจิดจรัส แทงทะลุเข้าหัวสัตว์ร้ายเลเวล C อย่างกะทันหัน

 

 

 

 

 

สัตว์ร้ายเลเวล C ผู้แสนโชคร้าย มันคืบคลานออกจากรอยแยกมิติหลังจักรพรรดิมังกรตาย และเนื่องจากสภาพแวดล้อมโดยรอบได้กลายเป็นที่ราบ ดังนั้นไม่มีตำแหน่งใดให้หลบซ่อนตัว มันจึงตัดสินใจอาศัยกลิ่นอายแห่งความตายของมังกร กลบกลิ่นอายตน และค่อยๆย่องหาโอกาสหลบหนีไป

 

 

 

 

 

ซางฮันและคนอื่นๆกำลังจัดแยกศพ เป็นธรรมดาที่จะไม่ทันสังเกตเห็นถึงมัน

 

 

 

 

 

ดังนั้นไม่คาดคิดเลย ว่าที่จู่ๆอีกฝ่ายชักมีดออกมา แท้จริงแล้วจะเป็นการช่วยสังหารสัตว์ร้ายเลเวล C ตัวนั้นลง

 

 

 

 

 

ช่วยให้ทุกคนไม่ถูกมันลอบโจมตี ขณะเดียวกัน ก็เป็นการสังหารในกระบวนท่าเดียว!

 

 

 

 

 

ต่อมา แสงสีดำพลันห่อหุ้มลงบนศพสัตว์ร้ายตัวนั้น เรียกให้มันผุดลุกขึ้นและมายืนข้างกายฉินเฟิง

 

 

 

 

 

“ท่านจ้าวพรมแดน ดูเหมือนว่าคุณจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”

 

 

 

 

 

สัตว์ร้ายเลเวล C ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายออกมา ความแข็งแกร่งของมันมิได้ลดทอนลงมากนัก ดวงตาสีดำขลับกวาดมองไปยังผู้คน

 

 

 

 

 

ในหัวใจของผู้คนที่ถูกมองกระตุกไหว

 

 

 

 

 

ซางฮันอุทานออกมา “จริงสิ ฉันลืมไปซะสนิทเลย ว่าคุณมีเทคนิคควบคุมศพ ยังไงก็ตาม นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก ฉันจะทิ้งองครักษ์ผู้ใช้อบิลิตี้ไว้กับคุณสัก 5 คน ไว้คอยช่วยเหลือในแนวหลัง แต่ถ้าคุณไม่สั่งให้พวกเขาลงมือ พวกเขาก็จะไม่ลงมือ คนละครึ่งทาง แบบนี้เป็นอย่างไร?”

 

 

 

 

 

“ถ้าท่านจ้าวพรมแดนยืนกรานถึงขนาดนั้น ก็ตามใจเถอะ!”

 

 

 

 

 

ซางฮันดึงดันที่จะทิ้งห้าคนไว้เบื้องหลัง เพราะสถานการณ์ของป่าหยวนสำคัญที่สุดในตอนนี้ ซางฮันจำเป็นต้องระมัดระวังให้มาก

 

 

 

 

 

แม้ทั้งห้าที่ถูกทิ้งไว้ จะรู้สึกตกใจกับเทคนิคอบิลิตี้ของฉินเฟิง แต่พวกเขาก็ยังแสดงท่าทีไม่พอใจ ลอบสาปแช่งหวังให้สัตว์ร้ายปรากฏตัว มอบความทุกข์ทรมานให้กับฉินเฟิง!

 

 

 

 

 

ทางฝั่งซางฮัน เธอนำเลเวล B ที่เหลือมุ่งหน้าไปยังชายแดนของป่าหยวน นั่งฮอลศึกศึกษาพื้นที่ของป่าหยวนที่จะทำการปิดผนึก และตัดสินใจลงมือทำทันที

 

 

 

 

 

อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ซางฮันลงมือด้วยตัวเอง เพื่อจัดการรอบๆรอยแยกมิติอันน่าสะพรึง

 

 

 

 

 

เธอลงมาสั่งการในแนวหน้าเป็นการส่วนตัว ทำกระทั่งออกล่าสัตว์ร้ายด้วยตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่าการก่อสร้างเป็นไปอย่างปลอดภัย

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ภายในป่าหยวน ตำแหน่งที่ฉินเฟิงคอยปกป้อง ก็ปลอดภัยไร้กังวลเช่นกัน

 

 

 

 

 

แม้ที่นี่จะมีสัตว์ร้ายเลเวล C ปรากฏตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากถูกฉินเฟิงสังหาร และใช้อบิลิตี้มืดเข้าควบคุม พวกมันก็กลายเป็นหุ่นเชิดของเขา เข้าเข่นฆ่าสังหารสัตว์ร้ายที่รุกรานเข้ามาใหม่ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกองทัพแห่งความตายของเขา เริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้น

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ บนพื้นดินในเขตที่กลายเป็นสีดำเนื่องจากลาวาแข็งตัว คราคร่ำไปด้วยกองทัพแห่งความตาย

 

 

 

 

 

เมื่อวันแรกจบลง ฉินเฟิงมีกองทัพราวๆ 1,000 ตัว

 

 

 

 

 

แต่ในวันต่อๆมา มันก็เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้น จาก 2,000 เป็น 3,000 และเป็น 5,000 !

 

 

 

 

 

หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ กองทัพแห่งความใต้ที่ถูกควบคุมโดยฉินเฟิง ก็มีมากถึง 10,000 ตัว!

 

 

 

 

 

ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงก็ค้นพบว่า พลังสมาธิของเขา ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว

 

 

 

 

 

ช่วงเวลานี้ ห้าผู้ใช้อบิลิตี้ที่ซางฮันทิ้งไว้ สุดท้ายตัดสินใจเอ่ยปากขอลาฉินเฟิง

 

 

 

 

 

เพราะถึงอยู่ที่นี่ต่อไป พวกเขาจะมีประโยชน์อะไร? ยืนโง่ๆคอยเฝ้าดูฉินเฟิงระดมกองทัพของตัวเองหรือไร? ต้องปล่อยให้หัวใจตนรู้สึกเสียดายต่อไปแบบนี้เรื่อยๆหรอ?

 

 

 

 

 

ต้องรู้นะว่า การที่ฉินเฟิงเข้าควบคุมศพเหล่านั้น ส่งผลให้วัตถุดิบจากศพ ไม่สามารถเก็บกู้ได้ ถึงวัตถุดิบเลเวล C จะไม่ได้มีมูลค่ามากอะไรสำหรับพวกเขา แต่หากมันรวมๆกันถึง 10,000 ตัว คงต้องยอมรับว่า กระทั่งพวกเขาเอง ก็ยังอดใจสั่นไม่ได้เหมือนกัน

 

 

 

 

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับฉินเฟิง ตอนนี้เจ้าตัวทำเงินได้มากแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาเงินจากการขายวัตถุดิบจากสัตว์ร้ายอีกต่อไป แค่ธุรกิจในกลุ่มของเขาก็ครบวงจร

 

 

 

 

 

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่า พอครอบครองเงินมากในระดับหนึ่งแล้ว มันก็เป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น

 

 

 

 

 

ในทางกลับกัน มีสิ่งอื่นที่ฉินเฟิงจำเป็นต้องให้ความสนใจมากกว่า

 

 

 

 

 

“แม้พลังสมาธิของฉันจะทรงพลัง แต่มันก็ยังมีขีดจำกัด เรื่องนี้คงต้องขอบคุณเทคนิคหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ ไม่อย่างนั้น อาศัยเพียงพลังสมาธิของฉัน คงไม่สามารถควบคุมกองทัพศพอย่างแม่นยำแบบนี้ได้”

 

 

 

 

 

ฉินเฟิงยังคงลงมือทำต่อไป สำหรับหุ่นเชิดที่ความแข็งแกร่งต่ำ หรือได้รับความเสียหาย เขาสั่งกำจัดพวกมันทั้งหมด แล้วหันไปควบคุมศพใหม่แทน

 

 

 

 

 

นำศพใหม่มาแทนที่ศพเก่า จนกระทั่งกองทัพศพของฉินเฟิง มีความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยอยู่ถึงเลเวล C8 และยังมีสัตว์ร้ายเลเวล B รวมอยู่ด้วยมากถึง 1,000 ตัว!

 

 

 

 

 

ด้วยกำลังรบดังกล่าว เกรงว่าหากคิดจะกวาดล้างเมือง คงมิใช่เรื่องยากเย็นอะไร

 

 

 

 

 

การรุกรานของสัตว์ร้ายจากป่าหยวน กินระยะเวลาประมาณครึ่งเดือน ถึงแม้ว่าในครั้งนี้มันจะบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน แต่นอกเหนือไปจากความเสียหายที่เกิดขึ้นช่วงแรกแล้ว ต่อมาหลังจากนั้น ชายแดนป่าหยวน ปลอดภัยและมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง แทบไม่มีสัตว์ร้ายต่างมิติบุกเข้าไปก่อกวนพวกเขาเลย

 

 

 

 

 

นั่นก็เพราะสัตว์ร้ายที่บุกเข้ามา ทั้งหมดถูกสกัดกั้นโดยฉินเฟิง ผู้คอยประจำการอยู่เบื้องหน้ารอยแยกมิติ

 

 

 

 

 

โดรนสังเกตการณ์ก็มาตรวจสอบที่นี่เช่นกัน และส่งภาพถ่ายทอดออกไป หลังจากได้เห็นกองทัพแห่งความตายอันน่าสะพรึง ผู้ใช้พลังต่างก็เกิดความรู้สึกว่าตนช่างเล็กจ้อยอ่อนแอ

 

 

 

 

 

“ก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงฆ่ากวงเว่ย แต่หลังจากนั้น จ้าวพรมแดนซางกลับเอ่ยชื่นชม และยกย่องเขา ตอนแรกฉันคิดว่านี่คือการเอาคืนกวงเว่ยที่ละทิ้งภารกิจ แล้วดันปล่อยให้ราชาอัคคีชุ่ยเหลียนตกอยู่ในอันตรายจนถึงแก่ชีวิต แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า … ”

 

 

 

 

 

“ดูเหมือนว่าวิสัยทัศน์ของจ้าวพรมแดนซางจะเฉียบขาดจริงๆ เธอให้ท้ายฉินเฟิงตั้งแต่ต้นๆ แบบนี้ หากภายหลังฉินเฟิงย้ายมาอยู่เมืองเป่ยหัว ตัวจ้าวพรมแดนคงไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก!”

 

 

 

 

 

“เกรงว่าบางที อีกหนึ่งอิทธิพลกำลังจะถือกำเนิดขึ้น!”

 

 

 

 

 

แน่นอน แม้คนเหล่านี้จะพูดเช่นนั้น แต่บรรดาผู้ใช้พลังเลเวล B ซึ่งมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะกดดันฉินเฟิงไม่ให้ผงาดขึ้นมาได้ กลับไม่มีใครเจตนาจะขัดขวางเขา

 

 

 

 

 

นั่นเพราะตั้งแต่แรกที่เจอกัน ฉินเฟิงแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงอยู่ก่อนแล้ว ประเด็นที่สองก็คือ กลุ่มเฟิงหลี เหมือนจะไม่มีแผนย้ายรกรากมายังเมืองเป่ยหัว

 

 

 

 

 

บรรดาตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณประจำเมืองเป่ยหัว กำลังหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

 

 

 

 

 

“ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของฉินเฟิง แม้เขาจะแข็งแกร่ง แต่สุดท้ายก็เป็นผู้ใช้อบิลิตี้เลเวล C หากคิดทำการใหญ่ ยังถือว่ามีระดับไม่มากพอ”

 

 

 

 

 

“ถูกต้อง การที่เขาแข็งแกร่งเพียงคนเดียว มันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากมาย อย่าได้ใส่ใจ”

 

 

 

 

 

“ทว่ายามเขาก้าวขึ้นมาถึงเลเวล B เมื่อไหร่ เกรงว่ากระทั่งจ้าวพรมแดน ก็ยังไม่อาจต่อกร”

 

 

 

 

 

“โอ้สวรรค์ เขานี่มันลูกรักของพระเจ้าขนาดแท้ สถานที่ของเขา คงมีแค่เมืองหลวงมังกรที่เหมาะสม!”

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】
Status: Ongoing
อ่านนิยายโคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ【之全能大師 】ภายในตัวอาคารที่ถูกเสริมแกร่งด้วยเหล็กกล้า พื้นโถงทางเดินราวกับกระจกใส ทั้งแพทย์และพยาบาลต่างเดินกันให้วุ่นไปตลอดเส้นทาง   ที่นี่คือสถาบันวิจัยเขตชานเมืองใหม่ของเมืองเฉิงหยาง   ณ หนึ่งในพื้นที่บริเวณของสถาบัน กลุ่มวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ทั้งตื่นเต้นระคนวิตกกังวล กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ   “กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง! หมายเลข 2318 ฉินเฟิง กรุณาไปเข้ารับการฉีดยากระตุ้นในแอเรียที่ 3 ด้วย!”   “ถึงตาของฉันแล้- โครม!”   วัยรุ่นชายผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จนเจ้าตัวเสียหลัก สะดุดขาตัวเองล้มคะมำลงกับพื้น   เพียงได้ยินเสียงกระแทก ทุกคนก็พอจะรับรู้ได้ว่าการล้มหน้าฟาดของอีกฝ่ายรุนแรงขนาดไหน   “อ๊า! ฉินเฟิง!” เห็นถึงฉากนี้ โจวฮ่าวก็กลายเป็นตื่นตระหนก เขาเร่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือสหายของตนอย่างร้อนรน   แล้วก็พบกับผลลัพธ์คาดไม่ถึง -ฉินเฟิงที่ล้มลงดันสลบไปซะอย่างงั้น!   “ชิบหายแล้ว ฉินเฟิง! นายคงไม่ได้หมดสติจริงๆหรอกใช่ไหม เล่นตลกอะไรในเวลาสำคัญแบบนี้เนี่ย? รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า! ถึงเวลาฉีดยา ‘กระตุ้นพลัง’ ของนายแล้วนะ!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset