บทที่ 125 การร่วมมือ
เบื้องหน้าของพวกเขาคือผืนทะเลทรายอันร้อนระอุอีกแห่ง
หยู่เฮาไล่ตามร่องรอยที่ภูตทะเลทรายทิ้งไว้และเดินทางต่อไป จากนั้นเขาก็พบพวกลั่วอู๋ที่ติดตามตัวเขามา เขาอยากรู้ว่าพวกลั่วอู๋ตามเขามาทำไม “พวกเจ้าต้องการอะไรจากข้า”
ฉูจงฉวนที่เต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทกล่าวว่า “พวกข้าตามมาเพื่อปล้นภูตทะเลทราย”
“เจ้าเด็กลามก เจ้าต้องการจะหาเรื่องข้ารึไง” หยู่เฮาสีหน้าเริ่มไม่ดีขึ้นมา
ฉูจงฉวนได้ยินเขาก็พูดดูหมิ่น “เจ้าเองก็ป่าเถื่อนหยาบคลาย ไม่ต่างจากข้า”
เช่นเดียวกับศัตรูทางธรรมชาติ พวกเขาทะเลาะกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ลั่วอู๋ต้องเดินออกไปข้างหน้าเพื่อหยุดอีกครั้ง คราวนี้เขาพูดว่า “พวกเจ้าหาภูตทะเลทรายให้เจอก่อนแล้วค่อยสู้กันดีกว่า ก่อนหน้านั้นช่วยร่วมมือกันก่อน ไม่งั้นภูตทะเลทรายมีหวังได้หลุดมือไปแน่ ”
ทั้งสองคนจ้องมองกันและกัน
เพื่อให้ได้ภูตทะเลทรายมาครอบครอง แม้จะไม่ชอบใจนักฉูจงฉวนก็ยอมที่จะให้ความร่วมมือแต่โดยดี
แต่หยู่เฮากลับไม่พอใจแล้วพูดว่า “ให้ข้าจับภูตทะเลทรายคนเดียวก็ยังได้ ทำไมข้าต้องร่วมมือกับเจ้าด้วย”
“หลังจากที่เจ้าตามภูตทะเลทรายทันแล้ว เจ้าเคยเอาชนะมันได้ไหมล่ะ?” ลั่วอู๋ถาม
หยู่เฮาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดอย่างองอาจ “ข้ายังไม่ทันได้ต่อสู้จริง ๆ จัง ๆ เลย เจ้าจะมารู้ได้อย่างไรว่าข้าสู้ไม่ได้”
ลั่วอู๋หัวเราะเบา ๆ “ภูตทะเลทรายมีทักษะ สู่ธาตุ ที่ทำให้การโจมตีทางกายภาพแทบจะไร้ผล การโจมตีที่เจ้าทำมันไม่ถูกต้อง วิธีการโจมตีของเจ้าอยู่ในขอบเขตของการโจมตีทางกายภาพเพียงอย่างเดียว”
ผู้ใช้พลังวิญญาณระดับเงิน นั้นสามารถปลดปล่อยคลื่นพลังวิญญาณได้
อย่างไรก็ตามเนื่องจากช่องว่างทางวัฒนธรรมระหว่างสองอาณาจักร การโจมตีด้วยพลังวิญญาณในระดับเงินของหยู่เฮาจึงไม่สามารถจัดการกับภูตทะเลทรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หยู่เฮาสามารถสู้กับสัตว์วิญญาณ ระดับทองได้อย่างง่ายดายด้วยพละกำลังอันทรงของเขา อย่างไรก็ตามการมีอยู่ของทักษะ “สู่ธาตุ” เป็นวิธีที่เขาแพ้ทางมากที่สุด
“ ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้มันใช้พลังวิญญาณจนหมด เพื่อไม่ให้มันใช้ทักษะสู่ธาตุได้” หยู่เฮาพูดอย่างไม่มั่นใจ แต่น้ำเสียงของเขาขาดความมั่นใจ
ภูตทะเลทรายถือกำเนิดในทะเลทรายและที่นี่คือบ้านของมัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่มันจะใช้พลังวิญญาณจนหมด นับประสาอะไรกับช่องว่างระหว่างมิติพลังวิญญาณของพวกเขา หากไม่ใช่เพราะลั่วอู๋มากับพรรคพวกจำนวนมาก ภูตทะเลทรายคงไม่เลือกที่จะหลบหนีหลังจากการปะทะกัน
ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แทนที่จะต้องเจอกับเรื่องยุ่งยากแบบนั้น ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าสามารถโจมตีมันได้อย่างสบาย ๆ”
“ทำยังไงรึ!” หยู่เฮาตาสว่างเป็นประกาย
“เอาขวานของเจ้ามาให้ข้าสิ” ลั่วอู๋พูด
หยู่เฮาไม่ลังเลที่จะส่งขวานให้อีกฝ่ายไป
“ ง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอ” ลั่วอู๋แปลกใจเล็กน้อย
หยู่เฮาไม่สนใจ “ยังไงเจ้าก็เอามันไปได้ไม่ไกลอยู่ดี”
ลั่วอู๋จับด้ามขวาน จากนั้นขวานก็ร่วงลงสู่พื้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อนั้นลั่วอู๋ก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดหมายความว่ายังไง
มันหนักมากจริง ๆ
ลั่วอู๋คว้าด้ามขวานด้วยมือทั้งสองข้างแล้วพยายามยกมันขึ้น แต่ขวานก็ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
“อย่าพยายามเลยน่า นอกจากข้าแล้ว ไม่มีใครยกมันได้ต่อให้มาทั้งเผ่าก็ตาม” หยู่เฮา ยิ้ม
ลั่วอู๋ยอมแพ้ในที่สุด
ถ้ายกไม่ได้ก็ไม่ต้องยกก็ได้
ลั่วอู๋ใช้ไหปีศาจและในทันใดนั้นขวานก็ถูกใส่ลงไปในมิติไห
ดวงตาของหยู่เฮาเบิกกว้าง เขาไม่เห็นอุปกรณ์การเก็บรักษาใด ๆ ที่จะสามารถเอาขวานของเขาไปได้ ใบหน้าของเขาดูว่างเปล่า “ข..ขวานของข้า”
“ไม่ต้องตกใจข้าจะคืนให้ทันทีที่เสร็จ”
พูดจบลั่วอู๋ก็เข้าสู่มิติไหในทันที โชคดีที่เขาสามารถเลือกสถานที่วางสิ่งของต่าง ๆ ลงในมิติไหได้
สถานที่เลือกคือข้าง ๆ แท่นลงตรา
“หากต้องการจะจัดการกับภูตทะเลทราย ตราธาตุที่ควรลงไว้คือตราธาตุน้ำสินะ” ลั่วอู๋คิด
เพื่อที่จะได้ทดสอบตราธาตุวิญญาณและผลของมัน เขาได้รวบรวมสัตว์วิญญาณจำนวนมากจากที่มีคุณสมบัติต่างๆ เตรียมเอาไว้แล้ว แม้ว่าแก่นวิญญาณของพวกมันจะไม่แข็งแกร่งมาก แต่มันก็เพียงพอแล้ว
“ลงตรา”
แสงสีฟ้าของธาตุน้ำพวกพุ่งออกมาจากขวาน แต่มันก็ไม่ได้สว่างมาก เพราะมันถูกยับยั้งด้วยพลังธาตุของตัวขวานเอง
การลงตราธาตุสิ้นสุดลงโดยทิ้งรอยสีน้ำเงินเล็ก ๆ ไว้บนขวาน
เห็นได้ชัดว่าศักยภาพของขวานนี้ สามารถต้านทานการลงตราได้ ทำให้มันยังห่างไกลจากขีดจำกัดไปไกล มันช่างเป็นอาวุธที่วิเศษจริงๆ
ลั่วอู๋ได้ประเมินคร่าว ๆ ไว้ว่าขวานนี้สามารถลงตราธาตุระดับทองได้อย่างน้อยสามธาตุหรืออาจจะมากกว่านั้น
ลั่วอู๋ออกมาจากมิติไห
พร้อมกับนำขวานออกมาปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
หยู่เฮาจ้องไปที่เครื่องหมายสีน้ำเงินบนขวาน “นี่มันคืออะไร?”
“เจ้าจะลองใช้ดูก็ได้นะ” ลั่วอู๋กล่าว
หยู่เฮาหยิบขวานขึ้นมาแล้วสับลงบนทรายสีเหลือง แสงสีน้ำเงินบนขวานกะพริบออกไปและทรายสีเหลืองก็ถูกตัดเป็นร่องน้ำในทันที
ตามหลักการแล้วผืนทรายสีเหลืองทั้งสองด้านจะต้องยุบลงอย่างรวดเร็วและเติมเต็มร่องน้ำนั้น แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ความเร็วในการหายไปของร่องน้ำนั้นช้ามาก
หยู่เฮาเข้าไปดูใกล้ ๆ และก็พบว่ามีคราบน้ำจาง ๆ อยู่ที่ร่องน้ำ
“เจ้าทำได้ยังไงกัน! นี่มันของดีมากเลยนี่นา” หยู่เฮาพูด อาจจะมีประโยชน์ในการต่อสู้ครั้งหน้า มันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ที่จะได้ใช้พลังใหม่นี้
หลังจากนั้นสักพักเขาก็เหวี่ยงสับเล่นอีก 7-8 ครั้ง
ลั่วอู๋มองไปที่ตราธาตุ “มันมีข้อจำกัด ความถี่ในการใช้งานด้วยนะ ด้วยสภาพตอนนี้ เจ้าน่าจะฟันด้วยพลังตราธาตุได้อีกแค่สองถึงสามครั้ง”
หยู่เฮาหยุดมือของเขาอย่างรวดเร็วแล้วมองไปที่ลั่วอู๋ อย่างประจบประแจง “ถ้าพลังนี้หายไปแล้ว ข้าจะต้องทำอย่างไรต่อล่ะ ทำยังไงถึงจะได้มันมาใช้อีก”
“นี่เรียกว่าการลงตราวิญญาณ ถ้าพลังของตราหายไป ข้าสามารถลงตราใหม่ให้กับอาวุธได้อีกครั้ง” ลั่วอู๋กล่าว
หยู่เฮากะพริบตาและใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความชอบธรรม “ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้มีเหตุผลมาก พวกเราควรร่วมมือกัน”
ฉูจงฉวนโค้งงอปากของเขาและดูหมิ่นอีกฝ่ายอยู่ในใจ
ลั่วอู๋พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ผลก็คือหยู่เฮาได้เข้าร่วมทีมในที่สุด
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วหยู่เฮากับทุกคนในคณะเดินทางก็ออกตามรอยหาภูตทะเลทราย
อากาศน่าจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
อากาศที่แผดเผานั้นทำให้รู้สึกแน่นหน้าอก
ลั่วอู๋หยิบน้ำออกมาและส่งให้คนอื่น ๆ ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้น
ทันใดนั้นหยู่เฮาซึ่งเป็นผู้นำทางอยู่ข้างหน้าเขาหยุดและพูดอย่างระมัดระวัง “ข้าผ่านที่นี่มาแล้ว ข้างหน้ามีงูตัวใหญ่นอนอยู่ไกล ๆ เราไม่ควรไปรบกวนมัน โชคดีที่ภูตทะเลทรายเองก็ไปได้มุ่งไปทางที่งูใหญ่นั่นนอนอยู่ ไม่งั้นพวกเราคงจะลำบากไม่เบา”
ทุกคนพยักหน้า
พวกเขาเดินเลี่ยงไปทางอื่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หยู่เฮาร้องออกมาด้วยความดีใจบนใบหน้าของเขา “ร่องรอยหายไปแล้ว”
“ทำไมเจ้าดูมีความสุขล่ะนั่น ในเมื่อร่องรอยของมันหายไปแล้ว” ลั่วอู๋สาดน้ำใส่หน้า ให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่มีทางเลือก
อากาศมันร้อนเกินไป
พื้นที่ทั้งหมดตอนนี้เหมือนเตาอบขนาดใหญ่ โชคดีที่มิติไหมีน้ำเพียงพอไม่งั้นพวกเขาคงอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน
“การหายไปของร่องรอยหมายความว่าภูตทะเลทรายไม่ได้หนีไปไหนอีกแล้ว แต่มันซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งแถว ๆ นี้” หยู่เฮาอธิบาย
ฉูจงฉวนสะบัดพัดในมือของตนแล้วบ่นว่า “ที่นี่มันนรกชัด ๆ เราควรรีบตามหามันให้พบ และใช้เวลาให้เร็ว เพราะข้าเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว”
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงค้นหามันอย่างรวดเร็ว
แต่หลังจากค้นหาอยู่นานก็ไม่พบวี่แววใด ๆ ของภูตทะเลทราย
“เจ้าคนเถื่อน นี่แกล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย” ฉูจงฉวนรู้สึกหงุดหงิด
หยู่เฮาสวนกลับไป “ถ้าเจ้าไม่เชื่อที่จะข้าบอก ก็ไปก่อนเลยสิ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาร่วมมือกับข้า”
“เจ้าเจ้าเจ้า!”
ฉูจงฉวนโกรธและต้องการตีเขาสักที
ลั่วอู๋ถอนหายใจยาว เหตุใดพวกเขาทั้งสองถึงทะเลาะอีกแล้ว เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเด็กจริงๆ
ลั่วอู๋กำลังจะพูดหยุดทั้งสองคนอีกครั้ง แต่จู่ ๆ พื้นโลกก็สั่นสะเทือน ลิงยักษ์ที่มีเปลวไฟสีดำไหม้ไปทั่วตัวได้มุ่งมายังสถานที่แห่งนี้
“ไม่จริงน่า! นั่นมันเจ้าลิงยักษ์นี่” ลั่วอู๋ตกใจมาก
จังหวะนั้นพวกเขาก็รีบไปซ่อนตัวในเนินทรายขนาดเล็กหลบซ่อนตัวอยู่ในทรายสีเหลืองและสงบตัวเพื่อปกปิดลมหายใจของพวกเขา
เนื่องจากระยะทางนั้นยังถือว่าห่างไกลพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะ “ทะลวงมิติ” เพื่อหลบหนีในขณะนี้
โชคดีที่ลิงยักษ์ได้เคลื่อนที่ไปอีกทางและการสั่นสะเทือนของพื้นดินลดลงไปเรื่อยๆ
ทุกคนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
โชคดีจริง ๆ
ทว่าทันใดนั้นเอง พื้นทรายก็พังทลายลงพร้อมกับการแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ทุกคนต้องล้มลงโดยไม่มีเวลาตอบโต้แม้แต่น้อย