บทที่ 286 ทีละขั้นตอน
บทที่ 286 ทีละขั้นตอน
ไห่เซอต้องการสืบเรื่องลั่วอู๋
ปัญหาก็คือผู้คนของสำนักเฉียนหลงต่างก็ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขา แม้แต่เอ๋าหยู่ที่มีความสัมพันธ์ในระดับที่เรียกว่าแย่ที่สุดกับลั่วอู๋ ก็ไม่สนใจที่จะร่วมมือกับนักเรียนที่มาจากสำนักหม่าเฉิน
เขาจึงไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับลั่วอู๋ได้เลย
ไห่เซอรู้แค่ว่าลั่วอู๋เป็นผู้ปรับแต่งพลังวิญญาณที่มีระดับในการปรับแต่งสูงมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่มีทางได้ขึ้นไปแตะสิบอันดับแรกของรายชื่อเฉียนหลงแน่
ซึ่งที่ทำให้เขาไปถึงตรงนั้นได้ก็เป็นเพราะเขามีคะแนนการประเมินในด้านการปรับแต่งพลังวิญญาณที่สูงมาก
เนื่องจากในทุกวันนี้เขาเอาแต่แอบซุ่มเล่นงานคนจากสำนักหม่าเฉิน ลั่วอู๋จึงไม่มีเวลาไปเข้ารับการทดสอบอื่น ๆ นับประสาอะไรกับการหาคะแนนสูง ๆ
ดังนั้น คะแนนการประเมินของคนอื่น ๆ จึงค่อยๆเพิ่มขึ้น มีเพียงเขาที่เพิ่มขึ้นทีล่ะ 100 คะแนนทุกวัน
อันดับของลั่วอู๋ตกลงมาจากอันดับที่ 9 ไปเป็นอันดับที่ 17
กลับกันแล้วฉูจงฉวนนั้นได้เลื่อนอันดับขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขาพุ่งขึ้นไปถึงอันดับที่แปดของรายชื่ออันดับเฉียนหลง
แต่ลั่วอู๋ก็ไม่ได้สนใจ เพราะเขารู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขากำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะไม่มีการพัฒนาในด้านของมิติวิญญาณ แต่ทักษะในการต่อสู้ของลั่วอู๋นั้นได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก
หากเขาเข้าร่วมการทดสอบศิลปะการต่อสู้เจ็ดรูปแบบอีกครั้ง เขาคงจะสามารถทำคะแนนได้อย่างยอดเยี่ยม
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโค่นผู้คนจากสำนักหม่าเฉิน
ทักษะการต่อสู้ของแต่ละคนนั้นค่อนข้างจะบริสุทธิ์ พวกเขามีความเข้าใจและมีรูปแบบที่เชี่ยวชาญเป็นของตัวเอง
ตอนที่ลั่วอู๋ไปถึงในระดับที่สามารถปราบอีกฝ่ายได้แล้ว เขาก็จะฝึกฝนตัวเองอยู่เคียงข้างอีกฝ่าย จนได้รับผลประโยชน์มากมายจากพวกเขาเหล่านั้น ตอนนี้ลั่วอู๋จึงแข็งแกร่งขึ้นมามากหากเทียบกับตัวเองเมื่อสิบวันก่อน
“ฮ่าฮ่า ตามที่คิดไว้เลยจริง ๆ วิธีที่ดีที่สุดในการฝึกฝนวิชาการต่อสู้ คือการได้สู้ประมือกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง”
โชคดีที่ในแง่ของพลังวิญญาณและทักษะลั่วอู๋นั้นสามารถปราบพวกระดับสูงของภูเขาแห้งแล้งที่อ่อนแอกว่าเขาบางคนไหว ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคู่ซ้อมฝึกฝนได้
ลั่วอู๋เข้าสู่สนามการทดสอบกับเหล่าผู้ที่มาจากภูเขาแห้งแล้งอีกครั้ง
ตามแผนที่เขาใช้มาตลอดก่อนหน้านี้ ลั่วอู๋ได้ปล่อยฝูงแมลงกินวิญญาณ และผียามหลายร้อยตัวออกไป แล้วจึงปล่อยพวกของนกโง่ออกมาเป็นกลุ่มสุดท้าย
เมื่อเหล่านกบินกระจัดกระจายกันออกไป ก็มีเส้นบาง ๆ จำนวนนับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าเกี่ยวพวกมันเอาไว้ ทำให้นกหลายร้อยตัวก็ถูกแขวนคอตายลงในทันที
ปัง
ห่าฝนเลือดตกลงมาจากท้องฟ้า
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“เอาล่ะ ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าถึงสามารถหาคนจากสำนักหม่าเฉินของพวกเราได้อย่างแม่นยำ” จู่ ๆ ไห่เซอก็ปรากฏตัวข้าง ๆ ลั่วอู๋
เขามีร่างกายสีดำตามชื่อของเขา ผิวของเขามีสีเข้มและร่างกายของเขาก็มีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ เขามีตุ้มหูวิญญาณมากกว่าสิบอันแขวนอยู่ที่ติ่งหู และดูเหมือนว่ามือของเขามีเส้นด้ายโปร่งใสคล้ายใยไหมพันอยู่นับไม่ถ้วน
ลั่วอู๋ขมวดคิ้วหันไปทางไห่เซอที่กำลังหัวเราะ “ข้าโดนสะกดรอยตามมาสินะ ดูเหมือนว่าการประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องร่วมสิบวันจะทำให้ข้าประมาทลงไปเยอะ”
ใบหน้าของไห่เซอดำคล้ำยิ่งกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังใช้วิธีนี้เพื่อเยาะเย้ยผู้คนของอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งอย่างชัดเจน
“หึ มันไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจหรอก การเอาชนะพวกลิ่วล้อสองสามคนไม่ได้ช่วยอะไร เจ้าอยากจะเอาชนะพวกเราทุกคนไม่ใช่เหรอ ? ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วนี่ไง เข้ามาสู้กับข้าสิ” ไห่เซอ กระซิบ
“ไม่ต้องกังวลไป ในไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวก็ถึงตาเจ้าแล้ว”
หลังจากนั้นลั่วอู๋ไม่แม้แต่จะคิดพยายามโจมตีอีกฝ่าย เขาหันหลังวิ่งหนีไปในทันที
ไม่ต้องกังวลไป ค่อย ๆ ลุยไปทีละคนทีละคน
ทักษะการต่อสู้ของลั่วอู๋นั้นยังคงต้องได้รับการขัดเกลามากกว่านี้ เขาไม่ต้องการต่อสู้กับคนที่มีอันดับสูงเกินไปในรายชื่อเฉียนหลง
“อย่าหนีสิ!” ไห่เซอสูดลมปราณเข้าไปเฮือกใหญ่ แล้วเข้าสู่สภาวะการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณ
เขาอยู่ในอันดับที่หกของรายชื่อเฉียนหลง
ในแง่ของความแข็งแกร่งรอบด้าน อย่างน้อยเขาก็เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกของสำนักหม่าเฉิน
เขาออกแรงไล่ตามอย่างเต็มที่ ระเบิดลมปราณก่อตัวเป็นพายุขนาดใหญ่ ทำให้พื้นที่โดยรอบมีเศษซากจำนวนนับไม่ถ้วนกระเด็นไปมาอย่างไร้ระเบียบ
มีเงาเสมือนสามเงาปรากฏขึ้นข้างหลังเขา
ก็อบลินสีทอง ภูตดาบ และแมงมุมมรณา
มือของไห่เซอสั่นสะท้านจากนั้นใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกสร้างขึ้นมาพุ่งไล่สับลั่วอู๋
ดวงตาของลั่วอู๋จับจ้องกลับไปที่ไห่เซอ
เขามีลมปราณที่คมชัดยิ่งนัก
วินาทีต่อมาลั่วอู๋ก็ปลดปล่อยพลังของเขา ปีกลึกลับคู่หนึ่งปรากฏขึ้นมาจากหลัง มันมีรูปร่างเหมือนปีกผีเสื้อในรูปทรงที่แตกต่างกัน ข้างหนึ่งเป็นสัญลักษณ์ของไฟ ส่วนอีกข้างเป็นความมืดมิด
มันคือปีกของผีเสื้อมายาเพลิงอมตะ
[ลมปราณแห่งเพลิงและวายุ]
เปลวไฟนกอมตะลุกโชติช่วงพวยพุ่งออกมากวาดไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ใบมีดกระจัดกระจายออกไปในทันที
เปลวไฟลุกลามไปทั่วทั้งพื้นที่ แต่ทว่าจู่ ๆ ไห่เซอก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือศีรษะของลั่วอู๋ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
เส้นไหมบนมือของเขา ปิดผนึกทางหนีราวกับลั่วอู๋ถูกขังอยู่ในกรงที่มีซี่กรงดักอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“ตัดมันซะ!” ไห่เซอคำราม
เส้นไหมนี้เปรียบได้กับใบมีดที่คมที่สุด มันจะตัดขาดทุกอย่างที่มันสัมผัส
ดวงตาของลั่วอู๋เปลี่ยนเป็นสีม่วง จากนั้นพลังของภาพลวงตาอันน่ากลัวก็เข้าปกคลุมร่างกายของไห่เซอ ทำให้ไห่เซอต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่อย่างช่วยไม่ได้
[มิติเวทมนตร์]
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยที่เขาเป็นนักสู้ที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากมาย แม้ว่าจะมีภาพลวงตาอันน่ากลัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็สามารถรู้สึกถึงการต่อสู้ในใจและเขาก็แยกตัวออกจากภาพลวงตานั้นมาได้ในที่สุด
“น่าเสียดายที่ความเชี่ยวชาญในทักษะนี้ของข้ายังต่ำเกินไป” ลั่วอู๋กระซิบในใจ
แม้ว่ามิติเวทมนตร์จะเป็นทักษะที่ทรงพลัง แต่ระดับความเชี่ยวชาญของเขานั้นยังต่ำเกินไป มันน้อยกว่า 10% ด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงใช้มันเพียงแค่ให้ไห่เซอเสียสมาธิไปชั่วขณะ และไม่สามารถตามมาฆ่าเขาได้ทัน
“ลืมไปเลย ว่าข้ายังไม่อยากเล่นกับเจ้าในตอนนี้ ลาก่อน”
ร่างของลั่วอู๋หายไปจากตรงหน้าของเขาในพริบตา
ไห่เซอได้แต่ตกตะลึง เขาออกตามหาตัวลั่วอู๋อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าพยายามเท่าไหร่เขาก็ไม่รู้สึกถึงลมปราณของลั่วอู๋ ราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นระเหยไปพร้อมกับภาพลวงตา
“แปลกชะมัด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย”
ลั่วอู๋ไม่ได้ปลดปล่อยสัตว์วิญญาณของเขา แต่ใช้ทักษะจากการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณโดยตรง
มันจึงเป็นเรื่องยากที่ไห่เซอจะตัดสินประเภทของสัตว์วิญญาณที่อีกฝ่ายมีผ่านเงา
ไห่เซอพยายามคิดเรื่องนี้ เงาด้านหลังของลั่วอู๋คือสุนัขและผีเสื้อ ส่วนตัวสุดท้ายดูเหมือนว่ากระต่ายรึเปล่านะ?
……
……
ลั่วอู๋นั้นได้หนีไปจากการรับรู้ของไห่เซอ
“ดูเหมือนว่ามันจะอันตรายเกินไปที่จะใช้นกวิญญาณเหล่านี้หาข้อมูลอีกในอนาคต หลังจากนี้ข้าจะต้องตามหาพวกมันทั้งหมดด้วยแมลงกินวิญญาณ” ลั่วอู๋คิด
เนื่องจากไห่เซอรู้ความลับของเขาในการค้นหาผู้คนจากสำนักหม่าเฉิน เขาจึงน่าจะคิดหาวิธีป้องกันได้แล้ว
เขาเริ่มกลัวว่าหากพวกนกไปบินอยู่รอบ ๆ พวกมันจะถูกยิงกันจนหมด
มันจึงไม่มีความหมายที่เขาจะต้องใช้วิธีนี้อีก
ทว่าในไม่ช้าลั่วอู๋ก็พบเป้าหมายของเขาสำหรับวันนี้
อีกฝ่ายเป็นอันดับที่ 47 ในอันดับรายชื่อเฉียนหลง
เขาคือ อะถัง สมาชิกของเผ่าไม้เขียว ผู้มีความสามารถในการควบคุมและรักษาที่ดี เขาเป็นคนที่รับมือได้ยากมาก ลั่วอู๋ต่อสู้กับเขาเป็นเวลาเกือบสี่ชั่วโมง
สู้กันจนพลังวิญญาณของพวกเขาอ่อนล้า ถึงขนาดลากยาวไปจนอาทิตย์ตกดิน
สุดท้ายลั่วอู๋ก็อดทนไม่ไหวแล้วใช้ทักษะ [รวมพลเทวดา] เพื่อเรียกภูตสงครามออกมาอีกตัว
พลังของภูตสงครามและตวนซีปะทุขึ้นในทันที เพียงชั่วพริบตาพวกมันก็ทำลายพลังในการควบคุมของอีกฝ่ายทั้งหมด ทำให้เขาเอาชนะอะถังได้ แล้วชิงเอาคะแนนการประเมินของอีกฝ่ายมา 100 คะแนน
แม้จะเหนื่อย แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็ได้ให้ประโยชน์แก่ลั่วอู๋เป็นอย่างมาก ตามที่เขาคาดไว้ เขาต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามทุกรูปแบบเพื่อฝึกฝนตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในวันที่สิบสอง ลั่วอู๋ได้เข้ารับการทดสอบทักษะการต่อสู้ 7 รูปแบบอีกครั้ง
ทุกคนต่างสับสน
เขาไม่เหนื่อยเลยอย่างนั้นเหรอ?
โดยเฉพาะอย่างฝ่ายอาณาจักรภูเขาแห้งแล้งที่มาจากสำนักหม่าเฉิน พวกเขาต่างรู้สึกงงงวยอย่างยิ่ง หลังจากที่ลั่วอู๋ต่อสู้กับ อะถัง เป็นเวลาสี่ชั่วโมง เขายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังในวันรุ่งขึ้นได้อย่างไรกัน
ชายคนนี้มีแข็งแกร่งขึ้น
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าลั่วอู๋ได้เข้าไปพักในมิติไหมาเป็นเวลาสองวันแล้ว
วันที่สิบสาม
วันที่สิบสี่
ในที่สุดพฤติกรรมของลั่วอู๋ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ทุกวัน ๆ จะมีคนระดับหัวกะทิจากสำนักหม่าเฉินพ่ายแพ้และถูกชิงคะแนนไป 100 คะแนน
แม้ว่าผลกระทบของเรื่องนี้ที่มีต่อการจัดอันดับจะไม่ใหญ่ แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าผลกระทบของเรื่องนี้จริง ๆ แล้วมันใหญ่มาก
เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของลั่วอู๋
มันแสดงให้เห็นว่าลั่วอู๋นั้นกำลังปฏิบัติตามคำพูดอันโหดร้ายของเขาทีละขั้นตอนอย่างช้า ๆ และมั่นคง