เบื้องหน้าหลี่ว์ซู่คือเส้นทางแคบๆ ตัดผ่านทิวทัศน์ชนบท กำแพงดินเหนียวและรั้วไม้เรียบง่ายเรียงรายอยู่ตามสองข้างทาง ที่ด้านนอกมีม้าตัวสูงหลายตัวและเหล่าทาสในชุดเกราะที่ในมือถือดาบไว้คนละเล่ม พวกเขาผมยุ่งเหยิง สวมเสื้อคลุม และใส่รองเท้าบูตด
หลี่ว์ซู่รู้สึกเหมือนได้เดินทางย้อนเวลากลับไปในยุคโบราณ พูดตามตรงคือเขารู้สึกเหมือนได้เดินทางข้ามเวลามากกว่าอวกาศ
จริงๆ แล้วหลี่ว์ซู่คงจะปฏิเสธของขวัญจากตระกูลอวี่ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนคืนนั้น เพราะหากจะพูดตามความเป็นจริง เขาต้องการความคุ้มครองจากคนพวกนี้
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก และเขาก็ไม่เต็มใจไปเป็นทาสเช่นกัน เพราะขนาดในตอนแรกที่เนี่ยถิงเสนอตำแหน่งราชันฟ้าคนที่เก้าให้ เขายังปฏิเสธไป แล้วนับประสาอะไรกับการไปเป็นทาส
แต่ตอนนี้เรื่องต่างออกไปแล้ว หลี่ว์ซู่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถไปถึงระดับที่สี่ที่เทียบเท่ากับผู้มีพลังระดับ D ที่โลกมนุษย์ได้ในหนึ่งเดือน ยิ่งเขาใช้เวลาที่นั่นมากเท่าไร เขาก็ยิ่งจะแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
จากคำบอกเล่าของจางเว่ยอวี่ เจ้านายที่มีอำนาจมากที่สุดในเมืองยังไปถึงได้แค่ระดับที่สี่เท่านั้น เพราะระดับที่สามและสูงกว่านั้น ผู้ที่จะสามารถบรรลุได้มีเพียงขุนนางชั้นสูง เพราะวิธีการที่จำเป็นสำหรับการฝึกบำเพ็ญในขั้นสูง ถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หลี่ว์ซู่มีทักษะการฝึกบำเพ็ญครบชุด ในขณะที่พวกชนชั้นสูงอย่างมากก็สามารถบรรลุได้เพียงระดับที่สอง แต่หลี่ว์ซู่สามารถบรรลุได้สูงกว่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่ใช่มือใหม่อีกต่อไป ด้วยประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนของเขา เขาสามารถตัดสินใจได้ดีกว่าพวกเจ้านายและขุนนางชั้นสูงในเมืองนี้เสียอีก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจละทิ้งความคุ้มครองเพื่ออาหาร…
เหล่าทาสที่มาที่นี่เพื่อมอบของขวัญมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ พวกเขาไม่คาดหวังว่าหลี่ว์ซู่จะยอมรับข้อเสนอเพราะเจ้านายพวกเขาเคยอธิบายถึงลักษณะของคนคนนี้ไว้ว่าเป็นชายผู้ซื่อตรง…
แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้โต้ตอบ หลี่ว์ซู่ก็เริ่มออกคำสั่ง “มาเลย เอาของทุกอย่างไปวางในห้อง แล้วอย่าทำอาหารสกปรกล่ะ”
เหล่าทาสทำตามที่เขาสั่ง จางเว่ยอวี่เตือนเขาเบาๆ ว่า “นายจะสูญเสียความคุ้มครองจากตระกูลอวี่นะถ้านายยังทำแบบนี้ ในความเป็นจริงคือใบหน้าอันหล่อเหลาไม่ได้รับประกันความปลอดภัยของนายในโลกใบนี้ ฉันจะบอกอะไรให้ มีเจ้านายหลักๆ อยู่สามคนในเมืองนี้ และตระกูลอวี่ไม่ใช่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด หากไม่มีความคุ้มครองจากตระกูลอวี่แล้ว อีกสองตระกูลก็จะสามารถจับตัวนายไปได้ตามที่พวกเขาต้องการ พวกเขาค่อนข้างน่ารังเกียจ ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกขุนนางชั้นสูงที่เป็นเจ้านายตัวจริงของที่นี่ พวกเขาไม่สนใจจะเจรจากับนายหรอกนะ และทุกคนต้องเชื่อฟังเขา!
หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับรู้อย่างเงียบๆ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากองกำลังหลักในเมืองเถียนเกิ่งก็คือพวกชนชั้นสูง และเจ้านายที่มีอิทธิพลอีกสามคน นอกจากนี้เมืองทั้งเมืองยังเป็นศักดินาของพวกชนชั้นสูง ทำให้เขาเป็นผู้ดูแลที่แท้จริงของที่นี่
นอกจากนี้คือหลี่ว์ซู่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า ‘ใบหน้าอันหล่อเหลา’ ถึงแม้ว่าครั้งหนึ่งคอรัลจะเคยบอกว่าเขาดูดี แต่เธอก็ยังเสริมว่าเขาไม่ใช่ ‘คนที่ดูดีที่สุด’ ที่เธอเคยเจอ…
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ หลี่ว์ซู่ก็เข้าใจได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คนจักรวาลหลี่ว์มีสีผิวที่ค่อนข้างเข้ม ในขณะที่เขา…เป็นหนึ่งไม่กี่คนที่มีผิวขาว
หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้คนคิดว่าคนผิวขาวดูดี หลี่ว์ซู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้…จู่ๆ เขาก็รู้สึกดีต่อโลกใบนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว…
แต่จางเว่ยอวี่อวี่สังเกตได้ว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้จริงจังกับคำพูดเขานัก
หลังจากเหล่าทาสขนของทั้งหมดเข้าไปในห้อง พวกเขาก็ดูไม่ค่อยพอใจกับสภาพซอมซ่อของบ้านของจางเว่ยอวี่ ผู้นำกลุ่มเดินออกมาและพูดว่า “พวกเราคนของเสร็จแล้ว ตอนนี้จะกลับไปรายงานผล”
ในตอนที่เขาเพิ่งจะพูดจบ เขาก็เห็นหลี่ว์ซู่แกะกล่องของขวัญในห้องเรียบร้อยแล้ว กล่องถูกห่อด้วยกระดาษสีแดงที่ให้ความรู้สึกรื่นเริง…
เหล่าทาสพูดไม่ออก จากนั้นพวกเขาจึงตะโกนเสียงดังขึ้นอีกครั้ง “พวกเรากำลังจะกลับแล้ว!”
“ได้เลย ไสหัวไปเล้ย!” หลี่ว์ซู่โบกมือไล่พวกเขา เขาแกะกระดาษห่อออกและพบกับขนมหวานเต็มกล่อง ช่างเป็นการเซอร์ไพรส์ที่น่าประทับใจมาก!
เมื่อพวกทาสจากไป จางเว่ยอวี่ยืนกลืนน้ำลายในขณะที่มองหลี่ว์ซู่เคี้ยวขนม
หลี่ว์ซู่ดันกล่องขนมที่ยังไม่แกะไปทางจางเว่ยอวี่ “เอาไปสิ นี่ของคุณ”
จางเว่ยอวี่ปฏิเสธด้วยการส่ายหัว “เก็บไว้กินเองเถอะ นายต้องการอาหารดีๆ เพื่อการฝึกฝน นอกจากนี้คือการกินของเหล่านี้ก็ไม่ได้มีประโยชน์กับฉัน” ในขณะที่เขาพูดประโยคเหล่านี้ จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “แต่ฉันแนะนำว่านายอย่าเพิ่งกินทั้งหมดนี่ด้วยความรีบร้อน เด็กสาวตระกูลอวี่คนนี้ไม่ใช่จะเป็นคนแบบที่นายคิด ฉันสงสัยว่าเธอคงจะไม่ใจดีแบบนี้กับนายอีก”
หลี่ว์ซู่ยิ้มแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดกิน เขารู้ว่าจางเว่ยอวี่เป็นคนฉลาด และมีจิตใจที่อบอุ่น แต่เมื่อเขาพูด เขามักจะพูดตรงๆ เสมอ
แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ใส่ใจเขา ความคิดเดียวของเขาตอนนี้ก็คือการฝึกวิชากระบี่ต่อไป
นอกจากนี่เขายังหวังว่าโซ่ตรวนที่เชื่อมระหว่างแผนภูมิดาราและจุดชี่ไห่จะปลดปล่อยออกมาช้ากว่านี้หน่อยเพื่อให้เขามีเวลาในการฝึกฝนความแข็งแรงของร่างกายกับคลื่นพลังจิตวิญญาณที่หายากนี้
หากแผนภูมิดาราเป็นอิสระเร็วเกินไป คลื่นพลังจิตวิญญาณในร่างกายของเขาอาจจะถูกควบคุมโดยแผนภูมิดารา และยุติการฝึกฝนร่างกายของเขาก่อนเวลาอันควร
ในความเป็นจริงแล้วหลี่ว์ซู่รู้สึกอ้างว้างอยู่หน่อยๆ แต่เขาต้องปลอบใจตัวเองแบบนี้ เพราะโซ่ตรวนคงเอาออกไม่ได้ในเร็วๆ นี้หรอก…
หลังจากนั้นสักพัก จางเว่ยอวี่ก็ทนมองหลี่ว์ซู่เคี้ยวอาหารดีๆ ไม่ได้อีกต่อไป เขาเหวี่ยงจอบขึ้นพาดบ่าแล้วตะโกนว่า “เอาล่ะ นายกินพอแล้ว ไปทำไร่กันเถอะ!”
“ไม่เอาน่า” หลี่ว์ซู่ปฏิเสธเขา “รอจนกว่าผมจะกินขนมเสร็จก่อนสิ”
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ จางเว่ยอวี่ก็หัวเราะเย็นชาอย่างดูถูก “นายคิดว่านายจะมีชีวิตดีๆ อยู่แบบนี้ได้ต่อไปเหรอ พวกเขาจะไม่ส่งอะไรมาให้นายอีกหลังจากที่วันนี้ พวกเขาได้รู้แล้วว่านายเป็นคนยังไง แล้วถ้าเป็นแบบนั้น นายจะเอาอะไรกินล่ะถ้าไม่ออกไปทำไร่”
หลี่ว์ซู่ส่ายหัวและยืนยันคำเดิม “ผมจะไปหลังจากกินเสร็จ”
เขาไม่ได้ขี้เกียจ แต่เขากำลังยุ่งอยู่กับการเติมพลังและเขาไม่อยากเสียเวลาในการกินของที่ล้ำค่าที่สุดในโลกที่แสนอันตรายนี้ไปกับสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็น
ก่อนหน้านี้ในตอนเช้า หลี่ว์ซู่ลองคำนวณเวลาและได้ข้อสรุปว่าเขาน่าจะไปถึงระดับที่หกได้ภายในสองวัน เนื่องจากเขาสามารถฝึกฝนได้แค่ตอนกลางคืน แต่ถ้าเขาสามารถใช้เวลาในตอนกลางวันได้ เขาก็จะสามารถไปถึงระดับที่หกได้ภายในเช้าวันถัดไป!
ในเมืองเถียนเกิ่ง ทาสส่วนมากอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าระดับที่หก
จางเว่ยอวี่มองไปที่หลี่ว์ซู่อย่างดูถูก ตอนนี้ความประทับใจของเขาที่มีต่อหลี่ว์ซู่เปลี่ยนไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็เป็นแค่คนขี้เกียจที่ไม่มีอะไรดี เขาพูดว่า “เลิกเพ้อฝันได้แล้ว พวกเรามีแค่ชีวิตเดียว นายจะฝึกฝนการบำเพ็ญด้วยทัศนคติแบบนี้ได้ยังไง เหลวไหลจริงๆ”
หลังจากที่เขาเดินจากไป หลี่ว์ซู่ก็เริ่มฝึกฝนวิชากระบี่ในลานบ้านด้วยความตั้งใจ
ในขณะที่คลื่นพลังจิตวิญญาณที่อยู่รอบๆ ไหลเวียนไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นในกล้ามเนื้อและกระดูกของเขา การทำงานของอวัยวะในร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเช่นกัน
ถึงแม้จะมองไม่เห็นและไม่ได้ยิน แต่เลือดในร่างกายของเขากำลังสูบฉีดไปตามเส้นเลือดอย่างแรงเหมือนกับกลองที่กลิ้งไปมา
ในตอนที่จางเว่ยอวี่กลับมาจากการทำไร่ไถนา เขาเห็นรอยเท้าหลายรอยอยู่บนพื้นดินแห้งๆ ในสวนหลังบ้าน โดยรอยเท้าบางรอยมีความลึกมากกว่าครึ่งนิ้ว