หานเซิ่นอยากจะนั่งตามลำพัง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น เพราะไม่ว่าตรงไหนบนชั้นที่ 6 ก็มีผู้คนเต็มไปหมด
โชคดีที่อวี้จิงไม่ได้พูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับการออกไปล่าซีโน่เจเนอิค เขาแค่ถามขึ้นมา “ศิษย์น้องหาน เจ้าจะเข้าร่วมการสอบของปราสาทนภาด้วยใช่ไหม?”
“การสอบอะไร?” หานเซิ่นถาม นี่ไม่ใช่โรงเรียนมัธยม ดังนั้นมันจะมีการสอบอะไรได้
“การสอบจะถูกจัดขึ้นในทุกปี และมันก็ไม่ได้มีผลเสียอะไรถ้าเกิดสอบตก แต่ถ้าเจ้าทำได้ดี ผู้อาวุโสและผู้นำของปราสาทนภาก็อาจจะเกิดสนใจในตัวเจ้าขึ้นมา และถ้าเจ้าติด 1 ใน 3 อันดับแรก เจ้าก็จะได้รับรางวัลอีกด้วย ถ้าเจ้าทำคะแนนได้ดี ผู้อาวุโสก็อาจจะรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ถึงแม้เจ้าจะเป็นคนนอกก็ตาม แต่แน่นอนว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ของราชินีแห่งมีดอยู่แล้ว ถึงยังไงก็ตามรางวัลของคนที่ติดอันดับ 1 ใน 3 ก็เป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี”
“รางวัลอะไร?” หานเซิ่นถาม
“สมบัติจะถูกมอบให้กับคนที่ติด 3 อันดับแรก และถ้าเจ้าได้อันดับที่หนึ่ง เจ้าก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในตำหนักศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งที่นั่นเจ้าจะเลือกวิชาจีโนได้หนึ่งวิชา”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหานเซิ่นก็หมดความสนใจอย่างรวดเร็ว เขายังมีวิชาจีโนของตัวเองที่จำเป็นต้องฝึกอีกหลายวิชา ถึงแม้วิชาจีโนของปราสาทนภาจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะหาเวลามาฝึกพวกมันได้
เมื่ออวี้จิงเห็นว่าหานเซิ่นไม่สนใจ เขาก็มองไปรอบๆก่อนที่จะเข้าไปกระซิบข้างหูหานเซิ่น “ศิษย์น้องหาน ถ้าเจ้ามีเวลา ข้าอยากจะพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับการสอบตามลำพัง บางทีพวกเราอาจจะร่วมมือกันได้”
หานเซิ่นมองไปที่อวี้จิง แต่อวี้จิงก็ทำท่าบอกให้เขาเงียบๆ หานเซิ่นจึงเดาว่าอวี้จิงต้องขอให้เขาทำการขี้โกงอะไรบางอย่างแน่ อวี้จิงถึงไม่ต้องการให้ใครได้ยินเรื่องนั้น
หลังจากนั้นอวี้จิงก็พูดกับหานเซิ่นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องของการสอบอีก ในที่สุดสถานหยกขาวก็เปิดออกและปลดปล่อยลมปราณหยกออกมา เมื่อเห็นอย่างนั้นทุกคนก็ใช้สมาธิกับการดูดซับมันเข้าไป
หานเซิ่นใช้กายหยกเพื่อดูดซับลมปราณหยกเข้าไป พวกมันทั้งคู่มีคำว่าหยกเหมือนกัน ดังนั้นมันน่าจะเข้ากันได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อหานเซิ่นใช้กายหยก ลมปราณหยกก็ไหวเวียนในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว วิชากายหยกสามารถดูดซับพวกมันเข้าไปอย่างง่ายดายและรวดเร็วยิ่งกว่าเรื่องราวของยีน
‘ว้าว! พวกมันเข้ากันได้จริงๆด้วย’ หานเซิ่นรู้สึกดี
หานเซิ่นเปลี่ยนไปใช้ศาสตร์ตงเสวียนและวิชาโลหิตชีพจรต่อ หลังจากนั้นเขาก็สังเกตว่าพวกมันดูดซับลมปราณหยกเข้าไปได้ช้ากว่าเรื่องราวของยีนมาก
“ดูเหมือนว่าเราจำเป็นต้องฝึกวิชากายหยกก่อน” หานเซิ่นเลิกเสียเวลาและใช้สมาธิกับการฝึกวิชากายหยก
ลมปราณหยกนั้นอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่มันไม่หนาแน่นพอ ถึงหานเซิ่นจะสามารถดูดซับพวกมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่วิชากายหยกของเขาก็พัฒนาไปอย่างช้าๆ ไม่นานเขารู้ตัวว่าทรายดาราจักรนั้นเหนือกว่าลมปราณหยกมาก
ก่อนที่ลมปราณหยกครั้งที่ 2 จะปะทุขึ้นมา หานเซิ่นก็เดินขึ้นไปยังชั้นที่ 7 วิชากายหยกของเขาเข้ากันได้ดีกับลมปราณหยก ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าจะทนต่อลมปราณหยกของชั้นที่ 7 ได้
แต่เมื่อหานเซิ่นขึ้นไปยังชั้นที่ 7 เขาก็ไม่เห็นกระเรียนพันขนหรือยวิ๋นซู่ซาง แม้แต่เฟิร์สเดย์ก็ไม่อยู่ที่นั่น
แต่มันมีคนหนุ่มคนหนึ่งอยู่บนชั้นที่ 7 บนตักของเขามีดาบหยกวางอยู่
ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่หานเซิ่น เขายังคงนั่งหลับตาอยู่ที่เดิมอย่างไม่สนใจโลกภายนอก หานเซิ่นก็ไม่ได้ชื่นชอบการพูดคุยเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงหามุมๆหนึ่งและนั่งลงเพื่อรอคอยลมปราณหยกปะทุรอบที่ 2
ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 บริสุทธิ์มากกว่าลมปราณหยกของชั้นที่ 6 มันดีต่อวิชากายหยกของเขามากกว่า
ไม่มีคนอื่นขึ้นมาชั้นที่ 7 ดังนั้นสภาพแวดล้อมของชั้นที่ 7 จึงทำให้หานเซิ่นพอใจมากกว่า มันดีกว่าการนั่งอยู่บนชั้นที่ 6 ที่แออัดเป็นไหนๆ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘ถ้ารู้ว่าทนต่อมันได้ เราก็คงจะขึ้นมาที่นี่ตั้งแต่ลมปราณหยกปะทุรอบแรกแล้ว’
เมื่อลมปราณหยกรอบที่ 2 ปะทุขึ้นมา หานเซิ่นก็เริ่มใช้วิชากายหยกดูดซับมันเข้าไป
ลมปราณหยกของชั้นที่ 7 นั้นหนาแน่นกว่าอื่นๆ หานเซิ่นรู้สึกว่าลมปราณหยกไหลเวียนในร่างกายของเขา และมันช่วยให้วิชากายหยกของเขาพัฒนาขึ้น พวกมันดูดซับเข้าไปในกระดูกของเขา มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นเหมือนกับหยก
มันมีความรู้สึกที่มหัศจรรย์เข้าไปในโครงกระดูกของหานเซิ่น แทนที่จะทำให้เขารู้สึกหนาวเย็น ลมปราณหยกกลับทำให้เขารู้สึกร้อนขึ้นมาแทน
แต่หานเซิ่นรู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพมายา นั่นเป็นเพราะว่าลมปราณหยกไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวด แต่มันทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชาวขึ้นมา
หลังจากนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกว่าวิชากายหยกแปลกๆ มันบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ
นี่เป็นสิ่งที่หานเซิ่นหวังเอาไว้ เขาเริ่มใช้วิชากายหยกอย่างไม่ต้องหยุดคิด
แต่ทันใดนั้นก็มีภาพประหลาดปรากฏขึ้นบนกำแพงหยกของชั้นที่ 7 พระอาทิตย์และพระจันทร์ปรากฏขึ้นในภาพนั้น กระดูกสีขาวก็เช่นกัน ดาบสายลมตัดผ่านพวกมัน
มันเหมือนกับว่ามีเทพเจ้าปรากฏตัวขึ้นในท้องฟ้า
สิ่งก่อสร้างลอยขึ้นราวกับว่ากำลังจะขึ้นไปสู่ท้องฟ้า
ระหว่างก้อนเมฆคือเมืองลึกลับเมืองหนึ่ง มันถูกซ่อนอย่างมิดชิด
รูปภาพเหล่านั้นปรากฏบนกำแพงหยก และพวกมันก็ทำให้ลมปราณหยกนั้นบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาเปล่งปลั่งขณะที่มองออกไปยังกำแพงหยก เขาดูตกตะลึง
ภาพบนกำแพงหยดเริ่มจะเปลี่ยนไป และเมืองที่อยู่ในภาพก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มันมีราชาคนหนึ่งอยู่หน้าเมืองๆนั้น
เขาก้าวหนึ่งก้าวแล้วคุกเข่า จากนั้นเขาก็อีกก้าวสิบก้าวแล้วก้มลงกราบ มันเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ศรัทธาที่กำลังเดินเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เมื่อชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสเห็นว่าบนกำแพงหยกแสดงภาพของเมืองที่อยู่ภายใต้หมู่เมฆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“5 เมือง?” ดวงตาของชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสเป็นประกายขึ้นมา เขาจ้องไปยัง 5 เมืองที่อยู่บนกำแพง
ราชาหลายคนก้มลงต่อหน้าเมืองเหล่านั้น ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไป แต่หลังจากนั้นไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหล่าราชาที่อยู่ใกล้กับเมืองที่สุดกำลังสิ้นใจ และไม่นานพวกเขาก็หายไป
ประตูเมืองลึกลับทั้ง 5 ยังคงปิดสนิท ดูเหมือนว่าพวกมันปิดสนิทมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล