ในที่สุด สิ่งที่ฉันปรารถนาก็ถึงเวลาที่จะกลายเป็นความจริงเสียที
ขอบคุณค่ะ แมรี่ เลกาเลีย อายุ 9 ขวบค่า
และ วันหนึ่งในตอนบ่าย ท่านพ่อกับท่านแม่ก็เรียกให้ฉันเข้าไปพบ
「เอ๋! ท่านพ่อ ตอนนี้เลยหรือคะ?」
「อืม เจ้าเองก็โตขึ้นมาก ปีหน้า ก็ได้อายุที่จะเข้าเรียนแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นโรงเรียนที่คู่ควรกับบุตรีตระกูลดยุค หรือถ้าเจ้ามีความต้องการอะไรก็ลองว่ามาสิ」
「ท่านพ่อ! โรงเรียนเนี่ย มันคือ สถานที่ที่ทุกคนมาเรียนด้วยกัน ออกกำลังด้วยกันจนเหงื่อไหลไคลย้อย สนุกไปกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตวัยเยาว์สินะคะ?」
「อะ อาา น่าจะ เป็นอะไรแบบนั้นล่ะนะ」
ฉันหายใจแรงพร้อมใส่อารมณ์ไปกับคำพูดซึ่งไม่ได้มีการกลั่นกรอง ทำให้ท่านพ่อรู้สึกเหมือนถูกกดดันเล็กน้อย
「ถ้าได้ไปโรงเรียนล่ะก็ อืม จะที่ไหนก็ได้ค่ะ! เย้ หนู อยากไปโรงเรียนแล้วค่ะ!」
ในตอนที่พูดด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเต็มที่ ท่านพ่อมีสีหน้าหมองลงไปนิดหน่อย ส่วนท่านแม่ยังคงมีรอยยิ้มเล็กๆอยู่บนใบหน้าเช่นเคย
(โรงเรียน… สถานที่ที่ฉันอยากไปแต่ไม่อาจไปได้ในชาติก่อน! ในที่สุดฉันก็จะได้สัมผัสรสชาติหวานอมเปรี้ยวของชีวิตในโรงเรียนแล้วสินะ! อดใจรอไม่ไหวแล้ว!)
เรื่องแบบนี้ ทำให้หัวใจของฉันพองโต แต่ไม่นานนัก ปัญหาก็ตามมา
『 โรงเรียนหลวงอัลเทอเรีย』
โรงเรียนชั้นแนวหน้าสำหรับฝึกฝนอบรมผู้มีพรสวรรค์ในด้านการต่อสู้ เวทย์มนต์ รวมถึงศาสตร์อื่นๆทุกแขนง
ใช่ รวมรวมบุคคลที่มีความสามารถเป็นเลิศ ใช่ รวมรวมบุคคลที่มีความสามารถเป็นเลิศ (เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญมากๆจึงต้องพูดสองครั้ง)
แล้วอะไรเหรอ พูดขึ้นมาทำไม ก็เพราะว่าฉันกำลังจะได้เข้าโรงเรียนนั้นยังไงล่ะ
(แน่นอนว่า ที่พูดมามันก็ดีอยู่หรอก… แต่มาตรฐานมันค่อนข้างสูงรึเปล่าเนี่ยสิ? อย่างฉันจะเข้าไหวไหม…)
ในด้านพลังกายกับพลังเวทย์นั้นคิดว่าคงไม่มีปัญหา แต่เรื่องคอขาดบาดตายคงจะเป็นด้านความรู้ ไม่ได้อยากจะอวดหรอกนะ ในชาติก่อนฉันไม่ได้ไปโรงเรียนต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในโรงพยาบาล ถึงจะได้รับการศึกษาภาคบังคับจากการเรียนตัวต่อตัวภายในห้องผู้ป่วยแต่ก็แค่ระดับเด็กประถม ด้วยเหตุนี้ ระดับความรู้ความสามารถสำหรับเข้าโรงเรียนชั้นสูงจึงน่าจะเป็นเรื่องลำบากสำหรับฉัน
(รู้อย่างงี้ ฉันน่าจะขอให้มีพลังความรู้ระดับสุดยอดไปด้วย… อื๋อ รู้สึกเหมือนจะเคยคิดอะไรแบบนี้มาก่อน…)
ทำไมล่ะ ในขณะที่ฉันกำลังกลุ้มใจกับระดับความรู้ของตัวเองอยู่นั้น ก็พบว่าไม่จำเป็นต้องสอบเข้า ไม่สิ ถ้าลองคิดดูดีๆแล้ว ในกรณีของฉัน ก็น่าจะรับเข้าเรียนโดยไม่ต้องมีการสอบอยู่แล้วนี่นะ
(คิดว่านี่คงประเป็นอิทธิพลของตระกูลเรกาเลียด้วยล่ะนะ…)
ถึงยังไง ฉันก็รู้สึกไม่ดีกับการเข้าทางประตูหลัง (TL: วิธีการไม่ซื่อ) แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับตระกูลขุนนางในอาณาจักรอารุเดียก็ตาม โรงเรียนเองก็ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้ เพราะการที่มีคนจากตระกูลดังจบออกไปก็จะทำให้มีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินสนับสนุนที่ได้รับ ก็ประมาณว่าเป็นการโฆษณานั่นแหละ
ดังนั้น พอได้ไปเข้าเรียนแล้ว ฉันจะต้องเพิ่มระดับความสามารถให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ชื่อของบุตรีดยุคและตระกูลเลกาเลียต้องเสื่อมเสีย ไม่มีทางทำอะไรที่เหมือนกับการสาดโคลนใส่ท่านพ่อท่านแม่โดยเด็ดขาด
(ฉันตั้งตารอวันที่จะได้ไปโรงเรียนเลยล่ะ! แต่ว่า ถ้าตามคนอื่นไม่ทันจะทำยังไง…)
ด้วยความกังวลเล็กๆที่ก่อตัวขึ้น ฉันเฝ้ารอให้วันเวลานั้นมาถึง
――――――――――――
「เห ~ ท่านแมรี่ก็เข้าอารุเดียสินะคะ」
ในวันธรรมดาวันหนึ่ง ช่วงงานเลี้ยงน้ำชายามบ่าย ฉันลองเลียบๆเคียงๆถามมากิลูก้า เธอที่ถือถ้วยชาอยู่ตอบกลับมาโดยไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจมากนัก
「อืม… หมายความว่ามากิลูก้าก็เรียนที่โรงเรียนนั้นด้วยสินะ?」
「ค่ะ แน่นอนอยู่แล้ว」
มากิลูก้าวางถ้วยชา ปัดผมม้วนเป็นลอนในแนวนอน เชิดอกหัวเราะ*ฮุฮุ* ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าฉันจนรู้สึกเหมือนกับพุดดิ้งที่กำลังสั่น ทำให้ความภาคภูมิใจของฉันลั่น*เปรี๊ยะ*
ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน… ตอนนี้ ฉันรู้สึกแย่แย่ยิ่งกว่าเดิม เพราะเธอนั้นเป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเด็กสาวผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ มีฉลาดเฉลียว จนเกินกว่าอายุ
(มีคนอย่างเธออยู่ที่โรงเรียนนั้นด้วย นี่ฉันจะตามทันรึเปล่านะ…)
ในขณะที่ฉันรู้สึกหดหู่มากขึ้นเรื่อยๆ อยู่ๆก็มีอะไรบางอย่างมาทำให้มันหายไป
「โอ้ ผมด้วยผมด้วย! ผมเองก็เข้าเรียนที่อารุเดียเหมือนกัน」
คำพูดสบายๆของซาฮะ ทำให้ความหดหู่ของฉันหายไปในทันทีโดยไม่มีเหตุผล
(ขอโทษนะซาฮะ… ที่ฉัน คิดว่านาย เป็นแค่ไอ้บ้าตัวนึงน่ะ…)
พอรู้ว่าเขาเป็นเหตุผลที่ทำให้รู้สึกโล่ง ฉันจึงกล่าวคำขอโทษอยู่ในใจ
「ถ้าอย่างนั้น… หมายความว่า ทุกคนเข้าโรงเรียนเดียวกันหมดสินะคะ」
ทั้งรู้สึกสบายใจ และก็รู้สึกหนักใจกับสมาชิกชุดนี้ ฉันยกชาขึ้นมาดื่มเพื่อซ่อนความรู้สึกเอาไว้
「ใช่ใช่ องค์ชายเองก็อยู่ด้วยนะ ♪」
「…เหรอ…」
*ฮิฮิ*ซาฮะพูดออกมาพร้อมกับทำหน้ายิ้มเยาะ ฉันหลบสายตาของเขา หันไปมองท้องฟ้า พลางดื่มชาโดยไม่โต้ตอบอะไร
บ่อยครั้งที่เขามักจะแหย่ฉันเรื่ององค์ชาย
ตอนแรกฉันออกอาการแบบสาวน้อยผู้ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่หรอก ส่วนตอนนี้ชินแล้ว ก็เลยตอบกลับ「ค่ะ อย่างนั้นหรือคะ」แบบคุณหนู รับมือกับการแหย่เล็กๆน้อยๆ… ไปแบบนั้น
หลังจากที่โดนหย่อนระเบิดไปตอนนั้น องค์ชายก็「ไม่เกี่ยวกับเรื่องของตำแหน่งหน้าที่ แค่เป็นเพื่อนที่คอยเตือนเวลาผิด แนะนำทางที่ถูกก็พอครับ」อธิบายความหมายของสิ่งที่พูดออกมา
(ถึงองค์ชายจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ฉันก็ไม่รู้จะตอบกลับไปว่ายังไง… จริงด้วย ฉันยังไม่ได้ตอบกลับเลยนี่ อ้าาา ทะ ทำยังไงดี… ล่ะทีนี้)
ในตอนที่เกิดเรื่อง ฉันได้ปฏิเสธตัวตนขององค์ชายไป ตอนนี้ก็ด้วย ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในฐานะจะพูดอะไรแบบนั้น แถม ทั้งที่พูดจาไม่ดี จนอาจทำให้ตระกูลดยุคต้องเสื่อมเสีย ฉันกลับหลบหน้าองค์ชายตั้งแต่นั้นมา
(เอาเถอะ แค่อยู่โรงเรียนเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เจอกับองค์ชายบ่อยๆซักหน่อย กับสองคนนี้ก็ด้วย ไม่ใช่ว่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอด… เฮ้อ~ หวังว่าจะสร้างเพื่อนใหม่ได้เยอะๆน้า~)
ต้องขอบคุณซาฮะ(?)ที่ทำให้ความกังวลของฉันหมดไป หัวใจของฉันเต้นรัวด้วยความคาดหวังกับชีวิตในโรงเรียนที่กำลังจะมาถึง
「อย่างนั้นหรือคะ ในที่สุด คุณหนูก็จะได้ไปโรงเรียน…」
ฉันพยักหน้าขึ้นลงให้ทุตเต้ที่อยู่ข้างๆ เธอก็เสิร์ฟชาพร้อมเค้กมาให้ใหม่
「จะว่าไป ทุตเต้ต้องไปเข้าโรงเรียนที่ไหนด้วยรึเปล่า」
「ไม่ค่ะ ก่อนที่นายท่านจะรับเข้ามาทำงาน ดิฉันได้รับการอบรมขั้นพื้นฐานมาเรียบร้อยแล้วจึงไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนค่ะ และแต่แรกเลย เรื่องการศึกษาก็ไม่จำเป็นสำหรับดิฉันด้วยค่ะ」
ทุตเต้ยังคงยิ้มเหมือนเคย แต่รู้สึกเหมือนกับมีความอ้างว้างจากความแตกต่างด้านสถานะเกิดขึ้น ฉันคิดว่าไว้เอาความรู้ที่ไปเรียนกลับมาสอนเธอซักหน่อยน่าจะดี
「แต่ คุณหนูคะ พอไปโรงเรียนแล้ว จะต้องทำเกือบทุกอย่างด้วยตัวเอง เพราะว่าดิฉันไม่สามารถเข้าไปในโรงเรียนด้วย… จะไม่เป็นไรหรือคะ?」
「ฟุฟุ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ทุตเต้ ยังไงท่านแมรี่ก็โตแล้ว ทำอะไรด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว… เนอะ?」
「!!!」
「เอ๋ ไม่จริงใช่ไหม!」
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของมากิลูก้า พอเห็นฉันตกใจจนหน้าซีด ก็ร้อง「อะไรคะเนี่ย!」
「ไม่เอานะ… ฉัน… ถ้าไม่มีทุตเต้แล้วจะแต่งตัวยังไง (เดี๋ยวชุดขาด)… เวลาต้องถือของมากๆจะทำยังไง (เดี๋ยวแตกคามือ)… ฉัน จะทำยังไงดี ควรทำยังไงดี」
สถานการณ์ฉุกเฉินตรงหน้าทำให้ฉันหน้าซีดตัวสั่น ทุตเต้นำถ้วยชาออกไปจากมืออย่างเงียบๆก่อนที่ฉันจะทำมันแตกคามือ
「จะว่าไป ท่านแมรี่ จนถึงตอนนี้เวลาจะเปิดปิดประตูยังต้องให้ทุตเต้ทำให้เลยนี่นะ… ปัญหาใหญ่แล้วล่ะค่ะ จำเป็นต้องรีบแก้ไขโดยด่วนเลย」
(ฮือออ… เรื่องการออมแรงเป็นปัญหาของฉันมาตั้งแต่แรก ปัญหาน่ารำคาญที่ถ้าแก้ได้ทุกอย่างก็จบไปนานแล้ววว…)
การควบคุมพลังเป็นปัญหาที่ฉันกังวลมานาน ถึงจะขอบคุณทุตเต้ที่คอยดูแลเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวันให้ฉันก็ตาม แต่ฉันก็พยายามฝึกออมแรงตัวเองเพราะเข้าใจดีว่าไม่อาจพึ่งพาเธอตลอดไปได้
(มะ ไม่แน่ว่า ตัวฉันในตอนนี้อาจจะทำสำเร็จก็ได้… ยังไงฉัน ไม่ควรจะบ่ายเบี่ยงหลีกหนีปัญหาไปเรื่อยๆนี่นะ…)
ในขณะที่ตระหนักว่าคนที่มีตำแหน่งใหญ่โตของประเทศไม่ควรพูดอะไรแบบนั้น ฉันก็สาบานในใจว่า นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะเลิกพึ่งทุตเต้และพึ่งตนเองให้มากขึ้น
(แต่ ถ้าใช้อำนาจของตระกูลเลกาเลียล่ะก็ การจะพาทุตเต้เข้ามาในบริเวณโรงเรียนพร้อมกับฉันคงไม่ยากนักหรอก…)
ฉันเผลอปล่อยให้ด้านมืดในตัวเข้าครอบงำ บอกให้ทำอย่างงั้นอย่างงี้ ก่อนที่จะรีบปัดความคิดนั้นทิ้ง
(บ้าจริง เผลอไปได้ยังไง นี่ฉันเผลอคิดแบบนั้นออกมาได้ยังไงเนี่ย)
สุขเศร้าเคล้ากันไป ยังไม่ทันที่ชีวิตวัยเยาว์ในรั้วโรงเรียนจะเปิดม่านขึ้น จู่ๆฉันก็ต้องมารับรู้ถึงมันซะแล้ว