นายหญิงแห่งสกุลป๋อวางโทรศัพท์ลง ถูฝ่ามือไปมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หันไปมองไหลหรงที่ยืนอยู่ข้างกาย
“ไป ไปโทรหาคุณชายแล้วบอกว่าให้กลับมาท่านอาหารเย็นกับฉัน”
“ค่ะ นายหญิง”
ไหลหรงตอบรับด้วยรอยยิ้ม หมุนตัวเดินยิ้มแป้นออกไป
เพราะต้องไปพบผู้ใหญ่ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการไม่เสียมารยาท เฉินฝานซิงเลยจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ตัวเอง
ถึงแม้จะว่าชุดที่ชิงจือเตรียมให้จะเป็นชุดใหม่ แต่กระนั้นตลอดหลายวันที่อยู่โรงพยาบาลมานี้ เธอยังไม่เคยได้อาบน้ำอย่างจริงจังสักครั้ง
เมื่อนึกได้ดังนั้น เธอก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆ
ขณะที่กำลังชั่งใจอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้น
“คุณเฉิน นายหญิงให้ผมมารับครับ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ!” เฉินฝานซิงรีบจัดการตัวเอง
–
เดินตามอวี๋ซงผ่านสถานที่ที่พบกับหญิงชราครั้งก่อน
ที่รั้วมีประตูที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยสังเกตมาก่อน
อวี๋ซงเปิดประตู ให้เธอเดินนำเข้าไป
เฉินฝานซิงมองไปยังอีกโลกหนึ่งที่ห่างกันกับสวนสาธารณะของโรงพยาบาลแค่เพียงรั้วกั้นอย่างตื่นตะลึง
ลานกว้างที่รายล้อมไปด้วยไม้ใหญ่ พืชพันธุ์ถูกตัดแต่งอย่าสวยงาม ดอกไม้ใบหญ้านานาชนิดถูกปลูกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยเข้าใจศิลปะการจัดแต่งสวนนัก แต่ก็มองว่าการจัดวางอย่างเรียบง่ายไม่สลับซับซ้อนนี่คงต้องเป็นฝีมือจากนักจัดสวนชั้นสูง
นับได้ว่าเป็นที่พักอาศัยที่เรียบง่ายแต่กลับงดงามและพิถีพิถันแห่งหนึ่ง
“ท่านอยู่ในนี้เหรอคะ”
“ครับคุณเฉิน”
เฉินฝานซิงอดที่เหลียวหลังกลับไปมองด้านหลังไม่ได้ จริงๆ แล้วที่นี่ไม่ได้ไกลจากอาคารใหญ่ของโรงพยาบาลมากนัก แต่ตอนนี้สามารถมองเห็นอาคารดังกล่าวผ่านบรรดาไม้สูงได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
“นี่เป็นทางลัดครับ นายหญิงท่านไม่ชอบอยู่คนเดียวเลยสั่งให้คนเปิดประตูนี้ไว้ บางครั้งก็จะออกมาพูดคุยกับคนในสวนสาธารณะของโรงพยาบาล”
ทะลุมายังทางเดินเล็กๆ ใจกลางความเขียวชอุ่ม อวี๋ซงอธิบายพลางเดินนำเธอเข้าในยังบ้านพัก
“คุณผู้หญิงครับ คุณเฉินมาถึงแล้ว”
“เข้ามาเลยๆ!”
น้ำเสียงเร่งรีบและดูอัธยาศัยดีของหญิงชราดังออกมา เฉินฝานซิงจึงเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน
แค่หญิงชราเห็นได้เห็นหน้าเธอก็รีบดึงมือเธอเข้ามา
มือของหญิงชราที่เหลือเพียงความหยาบกร้าน ทว่าความอบอุ่นจากฝ่ามือนั้นกลับทำให้เธอค่อยๆ เดินตามเข้าห้องรับแขกไปด้วยหัวใจที่สั่นไหว…
เมื่อได้เห็นว่าในบ้านเดี่ยวหลังโตมีเพียงคนรับใช้ไม่กี่คนกำลังทำงานกันเงียบๆ อย่างเป็นระเบียบ ยิ่งทำให้ความรู้ผิดของเธอเพิ่มมากขึ้นไปอีก
“ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ ช้าไปตั้งหลายวัน…”
“ไม่เป็นไรหรอก ชินซะแล้วล่ะ แค่หนูคิดว่าจะมาหาย่า ย่าก็ดีใจมากแล้ว”
ยามเมื่อมองไปในดวงตาสุกใสที่ถูกย้อมไปด้วยความรู้สึกผิด ทำให้นายหญิงแห่งสกุลป๋อยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยแสนดีคนนี้เข้าไปใหญ่
เฉินฝานซิงถูกลากไปนั่งตรงโซฟา หญิงชราเดินตามมานั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมทั้งดึงมือเธอเขาไปจับไว้อย่างเดิมไม่ยอมปล่อย
ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจและเอ็นดูจนเฉินฝานซิงรู้สึกว่าตัวเองได้รับความโปรดปรานอย่างน่าประหลาดใจ
หลายปีมาแล้วที่เธอไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อเธออบอุ่นขนาดนี้
กลับกันคนที่เธอเจอส่วนใหญ่มักเป็นพวกที่รังเกียจและดูถูกเหยียดหยามเธอหลังจากที่รู้ว่าเธอเป็นคุณหนูใหญ่ของบ้านสกุลเฉิน…
“ไหนบอกย่าสิว่าหนูเข้าโรงพยาบาลได้ยังไง”
ท่าทางดูตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย
“…ไม่มีอะไรค่ะ แค่ไม่ระวัง…”
นายหญิงแห่งสกุลป๋อกระชับฝ่ามือที่จับมือของเธออยู่ให้แน่นขึ้น
“ทำไมไม่พูดความจริงล่ะ เด็กน้อย?”
แพขนตายาวสั่นระริก ราวกับส่วนอ่อนแอที่สุดของหัวใจได้พังทลายลงเกิดเป็นความเจ็บที่ยากจะอธิบาย
เธอเบี่ยงใบหน้าเย็นชาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง น้ำเสียงเจือความขื่นขมและอ้างว้าง
“พูดไป…ก็ไม่มีใครเชื่อ”
ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นยังไง แล้วจะต้องหวังอะไรได้อีก
“เด็กโง่เอ๋ย ความคิดนี้ไร้เหตุผลสิ้นดี หนูเอาแต่ขังตัวเองให้อยู่ในกรอบเดิมๆ มีเพียงไม่กี่คนที่นั่นที่จะได้สัมผัสหนู หนูต้องก้าวออกมาอย่างจริงจังสักที ที่ที่เต็มไปด้วยของโสโครกแบบนั้น ยังต้องอาลัยอาวรณ์อะไรอีก”