“คนอย่างฉันเฉินฝานซิง ถ้าอยากทำอะไรแล้วไม่ว่าเรื่องนั้นจะดีหรือร้าย ฉันก็จะทำมันอย่างเปิดเผย! ฉันยอมเป็นคนเลวที่ซื่อตรง แต่ไม่ขอเป็นคนต่ำๆ ที่ดีแต่ตีสองหน้า ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ คอยยุแยงให้คนเขาแตกกัน!”
ใบหน้าของซูเหิงเต็มไปด้วยคำถาม เขาก้มลงมองร่างกายที่บอบช้ำของคนที่กำลังสะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาที่ฉาบไปด้วยความลังเล
เนื่องจากความเข้าใจของเข้าที่มีต่อเฉินฝานซิง…
“พี่เหิงฉันเสียโฉมไปแล้วยัง…ต่อไปฉันจะยังแสดงละครได้อีกไหม…ฉันไม่รู้…ว่าถ้าฉันไม่แสดงละครแล้วฉันยังจะทำอะไรได้อีก… ฮือๆ ฮือ…”
แววตาของซูเหิงย้อมไปด้วยความสงสารจับใจ เขาจับผมที่เปียกปอนของเธออย่างเบามือนำเอามันไปวางไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง
น้ำเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นเอ่ยขึ้น
“ยังไม่มีตรงไหนเสียโฉม เธอยังแสดงละครได้อยู่ เธอจะต้องเป็นราชินีแห่งวงการอย่างที่เธอใฝ่ฝันได้แน่ๆ ”
เหอะ…
เธอหัวเราะหยัน หมุนตัวเดินไปหย่อนก้นลงบนเตียงคนไข้
“ในเมื่ออำลาเสร็จแล้ว ก็ช่วยออกไปรักกันให้ไกลๆ ด้วย”
ซูเหิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับสายตามองเธอราวกับเป็นคนแปลกหน้า
สุดท้ายเขาก็โน้มตัวลงอุ้มคนที่ร้องไห้จนตัวโยนขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วสาวเท้าออกไปจากห้อง
เฉินฝานซิงลุกขึ้นเดินไปปิดประตูที่เปิดค้างไว้
ตัดขาดจากโลกภายนอกไปโดยสิ้นเชิง ทั้งห้องเหลือเธอแค่เพียงคนเดียว เธอพิงร่างเข้ากับประตูค่อยๆ ข่มดวงตาอันดื้อรั้นและเย็นชานั้นลง
เหลือเพียงแค่ความอ่อนระโหยโรยแรง
เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมคนบางคนถึงได้มีเป้าหมายในการใช้ชีวิตมากมายขนาดนั้น!
อาหารที่วางอยู่บนชั้นนั่นเธอก็ไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว เธอนั่งพิงหัวเตียงเหม่อมองสีสันอันสวยงามของท้องฟ้าจากนอกหน้าต่างผ่านสายตาอันเรียบเฉย
ก่อนหน้าไม่ทันสังเกต เพิ่งจะมารับรู้เอาวันนี้ว่ารสชาติชีวิตของคนคนหนึ่งมันช่างอ้างว้างจนเหน็บหนาวไปทั้งกาย
ซูเหิง…
นายทนทิ้งฉันไว้เอาคนเดียวได้ยังไง…
หลังจากที่ใครๆ ก็พากันจากฉันไปหมด แม้แต่คนที่ฉันเหลืออยู่เพียงคนเดียวอย่างนายก็ยังทิ้งฉันไป
นายนี่มันใจร้ายใจดำเกินไปแล้ว ในยามที่ฉันคิดว่าฉันยังมีนาย มีแค่นายเท่านั้น แต่นายก็ทิ้งฉันไปจนได้…
เฉินฝานซิงไม่สามารถหยุดยั้งความเศร้าโศกที่กัดกินในใจได้
เธอก็เป็นคนนะ เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง หัวใจของเธอก็ทำขึ้นจากก้อนเนื้อ
เห็นแก่ตัวได้ ท้อได้ มีความต้องการเหมือนคนทั่วๆ ไป สุขก็ได้เศร้าก็เป็นให้เธอเข้มแข็งกว่านี้ แล้วต้องเข้มแข็งไปถึงเมื่อไหร่กันล่ะ
ลมหนาวพัดเข้ามาผ่านหน้าต่าง ความหนาวปลุกเธอขึ้นจากภวังค์ในทันที ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยในขณะเดียวกันนั้นโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงก็ได้ดังขึ้น
เสื้อคลุมที่เธอใส่บนดาดฟ้าเรือวันนั้น รวมทั้งกระเป๋าถือและโทรศัพท์ทั้งหมดอยู่ในห้องผู้ป่วย
ถ้าถามว่าใครที่เป็นคนละเอียดอ่อนขนาดนี้ เธอก็รู้ได้โดยไม่ต้องคิดให้เหนื่อย นี่เป็นฝีมือของเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่เกิดมาอย่างซวี่ชิงจือนั่นเอง
เธอดูรายชื่อโทรเข้าอีกครั้ง ในเวลานี้คนที่โทรหาเธอก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเพื่อนของเธอคนนี้
เธอลอบถอนหายใจก่อนจะกดรับสาย
“ชิงจือ”
“อื้ม ขอโทษทีนะฝานซิง สองวันนี้ที่บริษัทยุ่งจนตัวเป็นเกลียวเลยล่ะ ไม่ได้ไปเยี่ยมเธอเลย…”
“ฉันเข้าใจ เธอไม่ต้องเป็นห่วงตอนนี้ฉันโอเคแล้ว ฉันไม่เป็นไรตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งสบายมาก”
เฉินฝานซิงพูดอย่างเข้าใจ
ซวี่ชิงจือมือบริษัทเครื่องสำอางเป็นของตัวเอง ก่อนหน้านี้ก็หาโรงงานเพื่อผลิตให้แต่ทว่าสถานการณ์แบบนี้ ระหว่างทางมักจะเผชิญกับปัญหาต่างๆ นานา ทั้งเรื่องส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ราคา การแอบตัดลดวัสดุและคุณภาพของสินค้าเป็นต้น แต่ละครั้งปัญหาที่เข้ามาไม่เคยซ้ำกัน ซวี่ชิงจือโมโหจนต้องตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นแล้วตัดสินใจจัดตั้งโรงงานเป็นของตัวเอง
นี่ก็เป็นช่วงที่กำลังยุ่งอยู่พอดี เธอเข้าใจดี
ซวี่ชิงจือเงียบไปสักพัก “…ฉันได้ข่าวว่าซูเหิงเขา…”