เฮ่อโยวกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “รีบยกเขาเข้าไปเถิด หลีกเลี่ยงที่เขาจะมาตายกลางทางนี่ ทุกคนล้วนต้องได้รับโทษกันหมดนะ”
ด้วยเหตุนี้ชิงซิ่งเลยจำใจต้องหลีกไปอีกด้าน เฉินเสียนหลีกบนรถม้าให้เช่นกัน จากนั้นองครักษ์ไม่กี่คนได้ยกซูเจ๋อขึ้นมาบนรถม้าของเธอ งั้นก็ทำให้รถม้ากว้างมากพอ วางแนวราบเลยไม่ได้มีปัญหาอะไร
เดิมทีซูเจ๋อกับเฮ่อโยวก็มีกลุ่มทหารคุ้มกันเช่นกัน แต่ทว่าพอออกมาจากเมืองก็ถูกสลัดทิ้งไว้ทางด้านหลังไกลๆ ต้องการที่จะรอกลุ่มทหารคุ้มกันที่อยู่ด้านหลังนั้นไล่การเดินทางให้ทันเวลาหรือไม่ค่อยมาคุยกันอีกที
สิ่งที่ต้องเร่งรีบที่สุดคือต้องพยายามเร่งหาสถานที่พักที่ปลอดภัย ไม่เช่นนั้นอาการไข้แดดของซูเจ๋อที่อยู่ภายใต้พระอาทิตย์แผดเผานี้ไม่บรรเทาลงแน่ กลับจะยิ่งหนักขึ้น
ด้วยเหตุนี้เหล่าองครักษ์เลยไม่เสียเวลามากมาย เร่งเดินทางอย่างต่อเนื่องโดยทันที
เฉินเสียนนั่งอยู่ในรถม้า ได้ยินเฮ่อโยวที่อยู่ด้านนอกกล่าวว่า“เหตุใดที่นี่ยังมีนางกำนัลน้อยคนหนึ่งเล่า?”
ชิงซิ่งตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาว่า“บ่าวเป็นผู้ที่องค์จักรพรรดิส่งมาปรนนิบัติดูแลองค์หญิงเจ้าค่ะ”
เฮ่อโยวจึงกล่าวว่า“องค์หญิงเรียกเจ้า เจ้าถึงปรนนิบัติดูแล ตอนที่องค์หญิงไม่ได้เรียกเจ้า สายตาของเจ้านั้นมองไปบนรถม้าทำไมกัน หรือว่าเจ้านั้นชอบแอบมองรูเล็กๆนั่นเป็นพิเศษ?”
“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ”
เฮ่อโยวใช้แขนเสื้อโบกให้เกิดลม กล่าวด้วยความกลัดกลุ้มว่า“ผู้ที่ร่ำเรียนเป็นไข้แดดไปแล้ว ทุกคนล้วนเร่งเคร่งเครียดกับเขา แต่ทว่าขนาดน้ำกลืนเดียวยังมิได้หยิบให้ข้าดื่มเลย นางกำนัลน้อยน้ำล่ะ?”
ชิงซิ่งรีบปลดหยิบถุงเก็บน้ำออกจากอานม้าแล้วยื่นให้ กล่าวขึ้นว่า“เชิญใต้เท้าดื่มน้ำเจ้าค่ะ”
ระหว่างการเดินทางมีเฮ่อโยวสอดแทรกมุขตลก เอาชิงซิ่งมาผ่อนคลายฆ่าเวลา มีบางเวลาหยอกล้อชิงซิ่งจนหน้าแดงหูแดงก่ำ ระหว่างทางเลยไม่ได้น่าเบื่อ
เฮ่อโยวเป็นผู้ที่เอาอกเอาใจยากอีกทั้งยังรับมือยาก ชิงซิ่งเพียงรับมือเขาอย่างให้เกียรติก็พอแล้ว
เฮ่อโยวก็ไม่ได้เกรงใจ เห็นชิงซิ่งเหมือนกับเป็นบ่าวรับใช้ส่วนตัว เฉินเสียนก็ใจกว้างให้เขายืมใช้ ชิงซิ่งวุ่นจนหัวปั่น จะปลีกตัวมาคำนึงถึงเฉียนเสียนกับซูเจ๋อได้ที่ไหนกันเล่า
แต่ว่านี่ล้วนเป็นปัญหาที่ต้องคุยกันที่หลัง
รถม้าควบไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง คำพูดเหล่านั้นที่เฮ่อโยวกับชิงซิ่งพูดคุยกันเฉินเสียนไม่ได้สนใจ
เธอไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วซูเจ๋อรีบเร่งเดินทางมาในระยะไกลเท่าไหร่กัน ถึงได้เหนื่อยล้ากลายเป็นเช่นนี้ ล้มลงอยู่ตรงหน้าเธอ
เขาถ่วงสติอันน้อยนิดครั้งสุดท้ายนั้น ต้องได้เห็นเธอกับตา ถึงจะหลับตาลงได้อย่างสนิทใจใช่หรือไม่?
เฉินเสียนไม่สามารถคำนึกถึงสิ่งใดได้มาก หยิบถุงเก็บน้ำในรถม้าจึงเข้าไปใกล้ประชิดตัวซูเจ๋อ
เธอเปิดถุงเก็บน้ำแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำให้ชื้น เช็ดที่บริเวณหน้ากับลำคอของเขาอย่างพิถีพิถัน และยังมีกลางฝ่ามือ เธอพยายามลดอุณหภูมิความร้อนให้กับเขา
เฉินเสียนเห็นเขาหลับลึก ภายในใจของเธอครุ่นคิดแล้วรู้สึกเจ็บแปลบ
นิ้วมือชุ่มชื้นหยุดอยู่ที่ระหว่างคิ้วของเขา ลูบไล้บริเวณเนินคิ้วของเขาอย่างแผ่วเบา ตามด้วยสันจมูกโด่งมั่งคั่งราวกับเขาหลายลูกที่เชื่อมต่อกันจนกระทั่งถึงใต้ดวงตา
หยุดอยู่บริเวณร่มเงามืดของขนตา เบาบางสีดำเข้มอึมครึม
เขาไม่สามารถหลับได้อย่างสบาย
เฉินเสียนหยิบผ้าขนหนูอีกชิ้นมา นำผ้าชื้นนั้นวางไว้ข้างริมฝีปากของซูเจ๋อ ทำให้น้ำสะอาดเปียกชื้นริมฝีปากของเขา ตามด้วยซึมเข้าไปในซอกปากของเขาเล็กน้อยนั่น
การกระทำเธออ่อนโยนละมุนละไม ตั้งแต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยประณีตละเอียดอ่อนอดทนที่จะปฏิบัติกับชายอื่นใดเลย
แต่เธอรู้สึกว่ายังไม่พอ
ตอนที่ตั้งใจจริงอยากจะปฏิบัติดีกับคนคนหนึ่ง ก็แทบอยากจะเอาความรักละมุนทั้งหมดมอบมันให้กับเขาด้วย
เฉินเสียนไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ซูเจ๋อจะฟื้นตื่นขึ้นมา เธอหมุนตัวต้องการที่จะเทน้ำใส่ผ้าขนหนูอีกครั้ง ไม่ทันตั้งตัวก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นมาจากด้านล่าง จับที่แขนของเธอได้อย่างชำนาญ แล้วออกแรงดึงเธอลงมาอย่างรุนแรง
เธอจับถุงเก็บน้ำที่อยู่ในมือไว้อย่างไม่มั่นคง เอียงหกลงพื้น เสียงน้ำไหลออกมาด้านนอกเลยประสานเสียงคล้องจองกันกับเสียงรถม้าที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ในเวลานั้น
แต่ทว่าช่วงเวลานั้นเฉินเสียนรู้สึกว่า ในพื้นที่คับแคบนี้ทั้งรถเต็มไปด้วยความเงียบ
เธอนอนฟุบอยู่ในอ้อมกอดของซูเจ๋อ มือของซูเจ๋อวางพาดอยู่ที่เอวของเธอ มีพลังเป็นอย่างมาก
ลมหายใจของเขาพาดผ่านใบหูของเธอ ร้อนผ่าวและจับใจ
เฉินเสียนคว่ำหน้าลงที่บริเวณหัวไหล่ของเขา ลมหายใจทั้งหมดเป็นกลิ่นหอมของไม้กฤษณาจางๆที่อยู่บนตัวของเขา มีกลิ่นลมเย็นสบายลอยฟุ้งด้วย
บนชุดของเขายังหลงเหลือความร้อนของแสงอาทิตย์อยู่อย่างเบาบาง
ตอนที่กอดเธอไว้นั้นทำให้เฉินเสียนปัดป้องกันตัวในทันทีทันใด ดวงตาร้อนผ่าวเล็กน้อย
แปลกประหลาด
เมื่อก่อน แต่ไหนแต่ไรเธอไม่มีทางเป็นเพราะเรื่องเหล่านี้ เป็นเพราะบางคนนี้แล้วเกิดความซาบซึ้งประทับใจ
ความรู้สึกตื้นตันซาบซึ้งนี้สั่งสมในแต่ละวันๆ ช่วงเวลานี้ทั้งหมดพังทลายลงแล้ว โจมตีทั้งแขนขาของเธอ
ตอนที่เธอถูกเขากอดอย่างกะทันหันนั้น มีความรู้สึกอยากร้องไห้เล็กน้อย
ใช่หรือไม่ว่าคนคนหนึ่งหลังจากที่มีปมด้อยแล้ว จะยิ่งอ่อนแอจนเลอะเลือนได้
“ฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”เฉินเสียนหลบมุดอยู่ข้างลำคอของเขา แล้วกล่าวถาม
“ตื่นมาโดยตลอด ตัดใจไม่ลงที่จะหลับ”
เฉินเสียนถึงได้เข้าใจ ที่แท้เมื่อครู่เขาแกล้งเป็นลม เขาคาดการณ์อย่างมั่นใจว่าหลังจากเป็นลมแล้วนั้น เฉินเสียนก็จะสั่งคนหามยกเขาเข้ามาภายในรถม้า
เช่นนี้ถึงจะได้เข้าใกล้เธอ กอดเธอ และได้พูดคุยสองประโยค
เฉินเสียนไม่ได้โกรธกับวิธีการกระทำของเขาเลย กล่าวขึ้นว่า“เหตุใดท่านถึงต้องมา?”
“ข้าเป็นทูต ข้าไม่มาใครจะมาเล่า”ซูเจ๋อตอบเธอด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ข้าอยากฟังความจริง”
“ท่านอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่มาได้อย่างไรกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามไม่สามารถให้ท่านเผชิญหน้ากับอันตรายเพียงลำพังได้หรอก ”น้ำเสียงของซูเจ๋อแหบแห้งเล็กน้อย “ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะต้องมา”
“ท่านกอดข้าเช่นนี้ อีกสักครู่จะมีคนมาพบเห็นนะ”
“ก็แค่สักครู่หนึ่งเอง ข้าไม่มีทางละโมบโลภมากหรอก”แรงบนมือของเขาออกแรงกอดเธอแน่นขึ้น ปรารถนาอย่างแรงกล้าคลึงเธอเข้ามาในตัวของตน
เขากล่าวถามว่า“คิดถึงข้าหรือไม่?”
เฉินเสียนเอื้อมมือโอบแน่นที่ไหล่ของเขา ปรารถนาอย่างแรงกล้าและใช้แรงทั้งหมดที่มีเช่นกัน แต่ทว่าปากกล่าวอย่างหันเหความสนใจว่า“ไม่คิดถึง”
เธอได้ยินซูเจ๋อหัวเราะอยู่ข้างใบหูเธอ เสียงไพเราะเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า“แต่ข้าคิดถึงมาก”
เฉินเสียนหายใจถี่ลึกอยู่ที่แขนเสื้อของเขา หัวเราะอย่างไร้เสียง กล่าวขึ้นว่า“คิดถึงสิ่งใดมากเล่า?”
“คิดถึงท่านมาก”
เฉินเสียนกล่าวเตือนสติเขา“สักพักหนึ่งได้ผ่านไปแล้วนะ”
เตือนสติอยู่หลายครั้ง ก็ไม่เห็นซูเจ๋อผ่อนคลายมือออกเลย
เฉินเสียนทั้งอายทั้งโกรธ กล่าวขึ้นว่า“ท่านพอได้แล้ว เดี๋ยวจะถูกคนพบเจอจริงๆนะ”
ซูเจ๋อถึงได้ตัดใจคลายมือปล่อยเธอออก ตัวเองยืดตัวอิงอยู่ที่ผนังรถ ท่าทางอิดโรยอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเล็กน้อย ผมที่อยู่ด้านหลังกระจายออก ผมนุ่มลื่นนั้นกระจายอยู่บนบ่า
เขาหรี่รูม่านตาเล็กแคบ มองเห็นเฉินเสียนวุ่นวายจัดการกับชุดที่เขากอดจนยับเมื่อครู่นี้ แววตานั้นซ่อนเร้นแอบแฝง
ไม่มีเวลาไหนที่เขารู้สึกสงบเท่ากับเวลานี้แล้ว
เขาสามารถมองเธอได้ตามอำเภอใจ เพลิดเพลินกับการเคลื่อนไหวของเธอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหูที่มีเส้นผมที่ร่วงลงมา แดงก่ำจนถึงกกหู สวยน่ารักวิจิตรตระการตาเหลือเกิน
ตอนที่เฉินเสียนไปเก็บถุงเก็บน้ำ พบว่าน้ำที่อยู่ด้านในนั้นเหือดแห้งหมดแล้ว จิตใจหงุดหงิดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเล็กน้อย เมื่อครู่ควรที่จะรีบเก็บขึ้นมาให้ทันท่วงที ยังดีๆอยู่เลยก็สิ้นเปลืองน้ำเสียแล้ว
ต้องโทษเธอที่ถูกความหล่อเหลาทำให้สับสนชั่วขณะ สิ่งใดก็คิดไม่ออกเลย
ตอนที่เงยหน้าขึ้น เห็นสายตาของซูเจ๋อ รู้สึกว่าเขากำลังมองหูของตัวเอง เฉินเสียนก็ยิ่งรู้สึกจนหูแดงก่ำ
เฉินเสียนทำหน้าตาใส่ แล้วกล่าวขึ้นว่า“มองอะไร ไม่เคยเห็นหูหรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวว่า“เพียงแค่เข้ามาถึงได้พบว่า ที่แท้ตอนที่ท่านเขินอาย หูก็จะแดงก่ำ ครั้งนี้เทียบกับครั้งก่อนแล้วแดงกว่ามาก”
“ท่านนั่นแหละที่เขินอาย ทั้งครอบครัวของท่านล้วนเขินอาย ”
ทั้งสองตอบโต้กันไปมา เฉินเสียนเห็นหน้าของเขานั้นมองดูแล้วยังซีดเผือดอยู่ เธอยังกังวลเป็นห่วงสุขภาพของเขามาก เลยกล่าวถามขึ้นว่า“เป็นไข้แดดจริงๆนะหรือ?”
“อืม มีอาการไข้แดดอยู่บ้างจริงๆ”
“เช่นนั้นท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่?”