Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ – ราชันเร้นลับ 1130 : ข้อมูลถาโถม

มีครึ่งเทพลำดับสาม สองตนเป็นยามเฝ้าประตูหน้า…สมแล้วที่เป็นวังราชาคนยักษ์ อาณาจักรของเทพบรรพกาล… สมาชิกชุมนุมทาโรต์ต่างคิดในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ส่วนเดอะซัน เดอร์ริค ยังคงเล่าต่อไป

มันเองก็เคยตกตะลึงอย่างมากเมื่อทราบว่ายามประตูหน้าเป็นถึง ‘อัศวินสีเงิน’ สองตน แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นกลับทำให้เรื่องดังกล่าวฟังดูธรรมดา เมื่อนำมาเล่าในภายหลังจึงแทบไม่รู้สึกอะไร

“…อาศัยข้อมูลที่มิสเตอร์เวิร์ลแบ่งปัน พวกเราอ้อมไปทางด้านหลังวังด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างเป็นความลับ…สัตว์ประหลาดระหว่างทางส่วนใหญ่เป็นวิญญาณอาฆาตที่แพ้ทางไม้กางเขนเจิดจรัส…”

“หลังจากมาถึงป่าเสื่อมโทรม พวกเราทำการสำรวจจนกระทั่งพบวิญญาณมารตนหนึ่ง มันก่อตัวขึ้นจากเศษเสี้ยวเจตจำนงของราชาคนยักษ์และพลังในดินแดนทวยเทพ วิญญาณมารดังกล่าวพยายามปกป้องสุสานของพ่อและแม่ราชาคนยักษ์” เดอะซัน เดอร์ริค เล่าประสบการณ์การเดินทางอย่างชำนาญ ส่งผลให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างจัสติสและแฮงแมน รีบสลัดความคิดออกจากอัศวินสีเงินและกลับมาฟังอย่างตั้งใจ

พวกมันสนใจความลับภายในป่าเสื่อมโทรม เนื่องจากต้องการทราบว่า ราชาคนยักษ์ซุกซ่อนสิ่งใดจากสายตาราชินีและลูกหลาน

นึกทบทวนฉากที่เกิดขึ้น เดอร์ริคเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ

“หลังจากชำระล้างวิญญาณมารสำเร็จ พวกเรามาถึงสุสานของพ่อแม่ราชาคนยักษ์ ด้านบนมีป้ายหินบ่งบอกเจ้าของหลุมศพ ฝาหลุมและโลงถูกเปิดออกโดยใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว ด้านในเป็นศพของมนุษย์สองคน…”

ศพมนุษย์? มีศพมนุษย์ถูกฝังอยู่ในสุสานของพ่อแม่ราชาคนยักษ์? พ่อกับแม่ทูนหัว? ไม่สิ สมัยก่อนยังไม่มีประเพณีแบบนี้…ในฐานะครึ่งเทพที่เชี่ยวชาญข้อมูลในเชิงศาสตร์เร้นลับ ความคิดแรกของแคทลียาก็คือ ศพทั้งสองมีตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างอื่น

ทันทีหลังจากนั้น เธอฉุกคิดถึงบางสิ่งที่ราชินีเคยเล่าให้ฟัง เป็นคำถามที่จักรพรรดิโรซายล์ชอบพูดกับตัวเองขณะยังมีชีวิตอยู่

เหตุใดคนยักษ์ เอลฟ์ และแวมไพร์จึงถูกเรียกว่าครึ่งมนุษย์ หรือกึ่งมนุษย์ในเอกสารโบราณทางประวัติศาสตร์?

ทำไมถึงไม่เรียกมนุษย์ว่า ครึ่งยักษ์ ครึ่งเอลฟ์ ครึ่งแวมไพร์?

หรือว่าความจริงแล้ว พวกมันมีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ทั้งหมด? คนยักษ์ เอลฟ์ และแวมไพร์ คือการกลายพันธุ์ที่เกิดจากตะกอนพลัง และคุณสมบัติดังกล่าวได้ถูกส่งต่อมายังทายาท? เฮอร์มิท แคทลียา พยายามควบคุมอารมณ์ ไตร่ตรองถึงเหตุผลที่เป็นไปได้

ขณะเดียวกัน หญิงสาวสัมผัสได้ว่า โอสถของเธอจะถูกย่อยไปอีกหลายระดับหลังจากกลับสู่โลกแห่งความจริงในคราวนี้

นั่นเพราะว่าลำดับสี่ ของเส้นทางผู้ส่องความลับคือ ‘ปราชญ์พิศวง’ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความลับเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่แท้จริงของคนยักษ์และเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์อื่น ๆ ในอดีต คือข้อมูลที่มีมูลค่ามหาศาล แม้กระทั่งในหมู่ครึ่งเทพ ก็มีน้อยคนนักที่จะทราบ!

พ่อแม่ของราชาคนยักษ์คือมนุษย์? น่าจะของปลอม…แฮงแมน อัลเจอร์ สงสัยว่าอาจมีใครบางคนจงใจสร้างหลักฐานปลอม

แต่เมื่อลองคิดดูใหม่ การจะปลอมแปลงสถานที่เกิดเหตุ ไม่เพียงต้องเตรียมโครงกระดูกมนุษย์ แต่ยังต้องเตรียมโลงศพที่มีขนาดพอดีกับตัวมนุษย์ไว้ด้วย อัลเจอร์จึงเริ่มมองว่า ไม่น่าจะมีใครยอมเสียเวลาทำแบบนี้ เพราะการปลอมแปลงแทบไม่ส่งผลใดกับโลกความจริง

การจะเข้าไปในวังราชาคนยักษ์และสยบวิญญาณมารที่แข็งแกร่งได้ บุคคลดังกล่าวต้องมีระดับนักบุญเป็นอย่างน้อย และนั่นเลยวัยที่จะกลั่นแกล้งใครเพียงเพื่อความสนุก!

หรือจะเป็นเรื่องจริง…บรรพบุรุษของกึ่งมนุษย์ ล้วนเป็นมนุษย์ทั้งหมด? เอลฟ์ก็ด้วย? เนื่องจากเคยเห็นหลายสิ่งที่น่าตกตะลึงภายในชุมนุมทาโรต์มาไม่น้อย ผนวกกับความศรัทธาทางศาสนาถดถอยลงหลังจากเห็นภาพจิตรกรรมบนเกาะโบราณ แฮงแมน อัลเจอร์ มิได้ระเบิดอารมณ์ที่รุนแรงออกมา เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาจับเส้นผมสีน้ำเงินเข้มของตน

มิสเตอร์แฮงแมนนำตัวเองเข้าไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์? อา…กลับกลายเป็นว่า พ่อแม่ของราชาคนยักษ์คือมนุษย์… ตำนานพระผู้สร้างส่วนใหญ่ที่แพร่หลายในปัจจุบันล้วนเป็นเรื่องแต่งโดยฝีมือชนรุ่นหลัง แต่ก็สอดแทรกการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์ไว้บางส่วน…มิสเตอร์มูนมิอาจทำใจยอมรับกับเรื่องนี้…ดูเหมือนว่ามิสเตอร์เวิร์ลจะทราบมานานแล้ว…อาศัยพลังปลอบโยน ออเดรย์สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าใคร จึงมีเวลาสังเกตพฤติกรรมคนรอบข้าง

ขณะเดียวกัน คนที่กระสับกระส่ายมากที่สุดคือเดอะมูน ในหัวของมันเต็มไปด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ และ ‘ไม่มีทาง’

ถ้าบรรพบุรุษของคนยักษ์คือมนุษย์ แล้วผีดูดเลือดล่ะ? พวกเราเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่เกิดจากตะกอนพลัง? เป็นไปไม่ได้! มีหลักฐานชัดเจนว่าพวกเราถูกสร้างโดยท่านบรรพบุรุษ พระองค์ถือครองพลังในขอบเขต ‘ชีวิต’ และ ‘สร้าง’ แตกต่างจากเทพป่าเถื่อนที่รู้จักเพียงการต่อสู้อย่างราชาเอลฟ์กับคนยักษ์! ความคิดของเอ็มลินกำลังผันผวน ศักดิ์ศรีของมันกำลังถูกระคายเคือง

สัญชาตญาณ ความเป็นเหตุเป็นผล และสมองของมันกำลังบอกว่า เดอะซัน เดอร์ริคไม่มีแรงจูงใจให้ต้องโกหก และมีโอกาสต่ำมากที่จะเป็นฝีมือการจัดฉากของเทพตนอื่น เอ็มลินจึงเลือกที่จะดึงเผ่าพันธุ์เอลฟ์และคนยักษ์ให้ต่ำลง มองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสาขาหนึ่งของมนุษย์

เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และจัดจ์เมนต์ ซิล ต่างปรับสภาพจิตใจกับเรื่องที่เดอะซันเล่าให้ฟังอย่างรวดเร็ว สำหรับพวกมัน ไม่ว่าบรรพบุรุษของคนยักษ์จะเป็นยักษ์ เป็นมนุษย์ หรือเป็นลิงบาบูนขนหยิก นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตจะขึ้นอยู่กับตะกอนพลังในร่างกายอยู่แล้ว เรื่องนี้มิได้เปลี่ยนแปลงความจริงของโลกปัจจุบัน

เดอร์ริคสงบจิตใจลง กล่าวต่อไปท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้อึดอัด

“หลังออกจากป่าเสื่อมโทรม พวกเราเข้าไปในวังราชาคนยักษ์ผ่านอุโมงค์รกร้าง…”

“…ระหว่างทาง พวกเราเผชิญหน้ากับพลังในขอบเขต ‘ความเสื่อมทราม’ และ ‘การปกปิด’ จำเป็นต้องตอบสนองอย่างถูกต้องจึงจะผ่านไปได้…”

“…ในวังหลังหนึ่งมีภาพจิตรกรรมที่บรรจุพลัง ‘วัฏจักรแห่งชะตากรรม’ เอาไว้ พวกเราได้รับอิทธิพลจากมันและกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการชุมนุมลับ ต้องเผชิญเหตุการณ์วนซ้ำหลายรอบ…เหตุการณ์ดังกล่าวคือช่วงเวลาที่กุหลาบไถ่บาปถูกก่อตั้งขึ้น…”

เล่าถึงตรงนี้ เดอร์ริคมองไปรอบตัวและพบว่าสมาชิกทุกคนสลัดความคิดก่อนหน้าทิ้งไปจนหมด ปัจจุบันกำลังสนใจฟังข้อมูลขององค์กรลับที่มีนามว่ากุหลาบไถ่บาป

ทุกคนทราบว่านี่คือองค์กรลับและเก่าแก่ที่ศรัทธาในพระผู้สร้างแท้จริง เป็นต้นกำเนิดของชุมนุมแสงเหนือ สมาชิกที่สำคัญประกอบด้วยราชาเทวทูตโอโรเลอุส เมดีซี และซาสเรีย

เดอร์ริคถอนสายตากลับ หายใจแผ่วเบา

“สองบุคคลที่เป็นประธานของกุหลาบไถ่บาปคือเทวทูตมืด ซาสเรีย และเทพธิดารัตติกาล อมานีซิส…”

อะ…? จัสติส ออเดรย์ เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด จัดจ์เมนต์ ซิล ต่างพากันไม่เชื่อหู

พวกมันคือสาวกของรัตติกาล จึงคาดไม่ถึงว่าเทพธิดาจะเคยเป็นสมาชิกของกุหลาบไถ่บาป แถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงประธานการชุมนุม

คล้ายกับกำลังพูดว่า เทพธิดารัตติกาลคือสมาชิกชุมนุมทาโรต์!

หากไม่ใช่เพราะทุกคนทราบดีว่าเดอะซันน้อยเป็นคนแบบไหน และมั่นใจว่าไม่ได้โกหก คงเกิดคำถามกับความน่าเชื่อถือของข้อมูล แต่ปัจจุบัน พวกมันทำได้เพียงปิดปากเงียบ ไม่กล้าคิดลึกลงไป

แฮงแมน อัลเจอร์ หันร่างกายไปหาเดอะซันโดยไม่รู้ตัว จากนั้น มันได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย: เทวทูตสีขาว โอซาคุส เทวทูตวายุ เลโอเดโร…”

เปลือกตาอัลเจอร์กระตุกหนัก แต่มันไม่กล้าคิดลึกไปกว่าเดิม

“…เทพสงคราม บาร์ดไฮเออร์ พระแม่ธรณี โอมีเบล่า…”

เอ็มลินที่กำลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ถ้อยคำหนึ่งดังกังวานในใจ: เทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว ราชินีคนยักษ์ โอมีเบล่า

“เทพแห่งวิญญาณมรณะ ซาลินเจอร์ เทพแห่งสัตว์วิญญาณ ทอซน่า…”

เสียงของเดอะซัน เดอร์ริค ดังกึกก้องท่ามกลางวังโบราณที่งดงาม เฮอร์มิท แคทลียา เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และสมาชิกคนอื่นต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล่าวคำใด คล้ายกับว่าหากใครพยายามทำความเข้าใจลึกลงไป คนผู้นั้นจะถูกทัณฑ์แห่งเทพเล่นงาน

ทันทีที่เดอร์ริคเล่าจบ บรรยากาศเงียบเชียบเข้าปกคลุมการชุมนุม เป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัด

ในที่สุด เฮอร์มิท แคทลียา ถอนหายใจยาว

“กุหลาบไถ่บาปแข็งแกร่งจนน่าสะพรึง…ก่อนหน้านี้ ฉันจินตนาการไม่ออกว่าพวกท่านเหล่านั้นจะเคยเป็นสมาชิก…”

สิ้นเสียงแคทลียา เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“องค์กรดังกล่าวถูกจัดตั้งเฉพาะกิจเพื่อต่อกรกับเทพสุริยันบรรพกาล ในภายหลัง เหลือเพียงเทวทูตไม่กี่ตนเท่านั้นที่ยังเป็นสมาชิกอยู่”

ได้ยินคำพูดดังกล่าว ออเดรย์และสมาชิกคนอื่นต่างถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ สายตาจดจ้องไปยังตำแหน่งหัวโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณโดยไม่รู้ตัว เฝ้ามองร่างที่ถูกม่านหมอกสีเทาบดบัง คล้ายกับรอฟังการพิจารณาคดีจากศาล

เดอะฟูล ไคลน์ ที่เดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้ ไม่ตอบสนองกลับไปในทันที เพียงผงกศีรษะแผ่วเบาและถอนหายใจ

“นี่คือสาเหตุที่พระผู้สร้างเสื่อมทรามถือกำเนิด”

เป็นความจริง…ทั้งหมดเป็นความจริง…มิสเตอร์ฟูลเคยเตือนทุกคนแล้วว่า กุหลาบไถ่บาปไม่ใช่องค์กรธรรมดา… พระองค์คือตัวตนใดในอดีตกาล? อยู่ฝ่ายใดและตำแหน่งใด? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจสมาชิกชุมนุมทาโรต์

เดอะซัน เดอร์ริค มองหน้าทุกคนและยืนยันว่าไม่มีใครจะพูดต่อ จึงเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้น

“…ด้านนอกวังพำนักของราชาคนยักษ์ พวกเราได้พบกับหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน…เขากล่าวว่า เทวทูตมืด ซาสเรีย กำลังหลับใหลอยู่ภายในวังดังกล่าว…”

เมื่อเทียบกับความลับของกุหลาบไถ่บาป ข่าวคราวการหลับใหลของเทวทูตมืดแทบไม่สร้างความแตกตื่นให้กับสมาชิกชุมนุมทาโรต์ มีเพียงความอยากรู้อยากเห็นแค่เล็กน้อย

แต่แน่นอน ในฐานะปราชญ์พิศวง แคทลียาหวังว่าเดอะซันน้อยจะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมอีกสักนิด

“หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับ มิสเตอร์ฟูลมอบสูตรโอสถอัศวินสีเงินให้ทีมสำรวจของเรา” ในส่วนสุดท้าย เดอร์ริคเล่าสรุปอย่างจริงใจ

จัสติส ออเดรย์ และคนที่เหลือยังคงหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ตื่นตระหนกและไม่กล้าคิดลึกมากเกินไป ด้วยเกรงว่านั่นอาจเป็นการดูหมิ่นเทพ จึงไม่มีใครตอบสนองไปสักพัก จนกระทั่งแฮงแมน อัลเจอร์ ทำหน้าครุ่นคิดและกล่าว

“ถ้าในเมื่อพระผู้สร้างแท้จริงเกิดจากกุหลาบไถ่บาป ท่านก็น่าจะรู้จักวังราชาคนยักษ์เป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ…แล้วทำไมคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์คนนั้นถึงทำเหมือนกับไม่รู้เรื่องอะไรเลย?”

…………………………

Lord of the Mysteries

Lord of the Mysteries

ป็นเรื่องราวการข้ามโลกของหนุ่มชาวจีนนามว่า โจวหมิงรุ่ย โลกใบที่ชายคนนี้ต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกับยุควิกตอเรียของยุโรป ยุคสมัยแห่งจักรกลไอน้ำเฟื่องฟู สุภาพบุรุษขุนนางเดินขวักไขว่ด้วยสูทและเสื้อกั๊กมาดเท่ แน่นอน เป็นโลกที่มีพลังพิเศษ ผู้วิเศษ และ สัตว์วิเศษ แต่พลังของมนุษย์บนโลกจะไม่เหมือนกับนิยายเรื่องใด ไม่มีจอมยุทธ์ ไม่มีการบังเอิญพบคำภีลับและได้ครอบครองยอดเคล็ดวิชา ไม่ได้เกิดใหม่พร้อมกับพลังสุดโกง ไม่เลย ไม่น่าเบื่อและจืดชืดขนาดนั้น ในอดีตกาล เผ่าพันธุ์มนุษย์อันต่ำต้อยมิอาจต่อสู้กับเหล่าสัตว์วิเศษในตำนานไหว หนึ่งในหนทางครอบครอง ‘พลังพิเศษ’ ก็คือการดื่ม ‘โอสถ’ หลังจากมนุษย์ดื่มโอสถและกลายเป็น ‘ผู้วิเศษ’ พวกเขาจะข้ามขีดจำกัดเดิมตามแต่ชนิดโอสถที่ดื่ม ผู้วิเศษในโลกแบ่งออกเป็น 9 ลำดับ โดยลำดับ 9 จะอ่อนแอที่สุด หนทางอัพเกรดลำดับก็แสนพิลึก ไม่ใช่การพัฒนาพลังเหมือนนิยายเรื่องใด แต่เป็นการดื่ม ‘โอสถ’ ที่ ‘ถูกต้อง’ ตามสูตรของลำดับถัดไป พลังพิเศษไม่สามารถข้ามสายได้ โอสถแต่ละชนิดจะมีสูตรการปรุงที่แตกต่าง แถมการฝึกฝนพลังของผู้วิเศษก็ยังพิสดารเหนือคำบรรยาย เรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเมื่อตัวเอกเริ่มทราบว่า อดีตมหาจักรพรรดิของโลกเมื่อร้อยปีก่อนเป็น ‘ผู้เดินทางข้ามโลก’ เหมือนกับเขา แถมยัง… เหลือทิ้งไดอารี่สุดสำคัญไว้ให้ชนรุ่นหลัง แต่ไดอารีถูกเขียนด้วยภาษาจีนที่ไม่มีใครอ่านออกแม้แต่คนเดียว… ยกเว้นโจวหมิงรุ่ย With the rising tide of steam power and machinery, who can come close to being a Beyonder? Shrouded in the fog of history and darkness, who or what is the lurking evil that murmurs into our ears? Waking up to be faced with a string of mysteries, Zhou Mingrui finds himself reincarnated as Klein Moretti in an alternate Victorian era world where he sees a world filled with machinery, cannons, dreadnoughts, airships, difference machines, as well as Potions, Divination, Hexes, Tarot Cards, Sealed Artifacts… The Light continues to shine but mystery has never gone far. Follow Klein as he finds himself entangled with the Churches of the world—both orthodox and unorthodox—while he slowly develops newfound powers thanks to the Beyonder potions. Like the corresponding tarot card, The Fool, which is numbered 0—a number of unlimited potential—this is the legend of “The Fool”.

Comment

Options

not work with dark mode
Reset