มีครึ่งเทพลำดับสาม สองตนเป็นยามเฝ้าประตูหน้า…สมแล้วที่เป็นวังราชาคนยักษ์ อาณาจักรของเทพบรรพกาล… สมาชิกชุมนุมทาโรต์ต่างคิดในสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ส่วนเดอะซัน เดอร์ริค ยังคงเล่าต่อไป
มันเองก็เคยตกตะลึงอย่างมากเมื่อทราบว่ายามประตูหน้าเป็นถึง ‘อัศวินสีเงิน’ สองตน แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นกลับทำให้เรื่องดังกล่าวฟังดูธรรมดา เมื่อนำมาเล่าในภายหลังจึงแทบไม่รู้สึกอะไร
“…อาศัยข้อมูลที่มิสเตอร์เวิร์ลแบ่งปัน พวกเราอ้อมไปทางด้านหลังวังด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างเป็นความลับ…สัตว์ประหลาดระหว่างทางส่วนใหญ่เป็นวิญญาณอาฆาตที่แพ้ทางไม้กางเขนเจิดจรัส…”
“หลังจากมาถึงป่าเสื่อมโทรม พวกเราทำการสำรวจจนกระทั่งพบวิญญาณมารตนหนึ่ง มันก่อตัวขึ้นจากเศษเสี้ยวเจตจำนงของราชาคนยักษ์และพลังในดินแดนทวยเทพ วิญญาณมารดังกล่าวพยายามปกป้องสุสานของพ่อและแม่ราชาคนยักษ์” เดอะซัน เดอร์ริค เล่าประสบการณ์การเดินทางอย่างชำนาญ ส่งผลให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์อย่างจัสติสและแฮงแมน รีบสลัดความคิดออกจากอัศวินสีเงินและกลับมาฟังอย่างตั้งใจ
พวกมันสนใจความลับภายในป่าเสื่อมโทรม เนื่องจากต้องการทราบว่า ราชาคนยักษ์ซุกซ่อนสิ่งใดจากสายตาราชินีและลูกหลาน
นึกทบทวนฉากที่เกิดขึ้น เดอร์ริคเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อ
“หลังจากชำระล้างวิญญาณมารสำเร็จ พวกเรามาถึงสุสานของพ่อแม่ราชาคนยักษ์ ด้านบนมีป้ายหินบ่งบอกเจ้าของหลุมศพ ฝาหลุมและโลงถูกเปิดออกโดยใครบางคนอยู่ก่อนแล้ว ด้านในเป็นศพของมนุษย์สองคน…”
ศพมนุษย์? มีศพมนุษย์ถูกฝังอยู่ในสุสานของพ่อแม่ราชาคนยักษ์? พ่อกับแม่ทูนหัว? ไม่สิ สมัยก่อนยังไม่มีประเพณีแบบนี้…ในฐานะครึ่งเทพที่เชี่ยวชาญข้อมูลในเชิงศาสตร์เร้นลับ ความคิดแรกของแคทลียาก็คือ ศพทั้งสองมีตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างอื่น
ทันทีหลังจากนั้น เธอฉุกคิดถึงบางสิ่งที่ราชินีเคยเล่าให้ฟัง เป็นคำถามที่จักรพรรดิโรซายล์ชอบพูดกับตัวเองขณะยังมีชีวิตอยู่
เหตุใดคนยักษ์ เอลฟ์ และแวมไพร์จึงถูกเรียกว่าครึ่งมนุษย์ หรือกึ่งมนุษย์ในเอกสารโบราณทางประวัติศาสตร์?
ทำไมถึงไม่เรียกมนุษย์ว่า ครึ่งยักษ์ ครึ่งเอลฟ์ ครึ่งแวมไพร์?
หรือว่าความจริงแล้ว พวกมันมีต้นกำเนิดมาจากมนุษย์ทั้งหมด? คนยักษ์ เอลฟ์ และแวมไพร์ คือการกลายพันธุ์ที่เกิดจากตะกอนพลัง และคุณสมบัติดังกล่าวได้ถูกส่งต่อมายังทายาท? เฮอร์มิท แคทลียา พยายามควบคุมอารมณ์ ไตร่ตรองถึงเหตุผลที่เป็นไปได้
ขณะเดียวกัน หญิงสาวสัมผัสได้ว่า โอสถของเธอจะถูกย่อยไปอีกหลายระดับหลังจากกลับสู่โลกแห่งความจริงในคราวนี้
นั่นเพราะว่าลำดับสี่ ของเส้นทางผู้ส่องความลับคือ ‘ปราชญ์พิศวง’ และไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความลับเกี่ยวกับต้นกำเนิดที่แท้จริงของคนยักษ์และเผ่าพันธุ์กึ่งมนุษย์อื่น ๆ ในอดีต คือข้อมูลที่มีมูลค่ามหาศาล แม้กระทั่งในหมู่ครึ่งเทพ ก็มีน้อยคนนักที่จะทราบ!
พ่อแม่ของราชาคนยักษ์คือมนุษย์? น่าจะของปลอม…แฮงแมน อัลเจอร์ สงสัยว่าอาจมีใครบางคนจงใจสร้างหลักฐานปลอม
แต่เมื่อลองคิดดูใหม่ การจะปลอมแปลงสถานที่เกิดเหตุ ไม่เพียงต้องเตรียมโครงกระดูกมนุษย์ แต่ยังต้องเตรียมโลงศพที่มีขนาดพอดีกับตัวมนุษย์ไว้ด้วย อัลเจอร์จึงเริ่มมองว่า ไม่น่าจะมีใครยอมเสียเวลาทำแบบนี้ เพราะการปลอมแปลงแทบไม่ส่งผลใดกับโลกความจริง
การจะเข้าไปในวังราชาคนยักษ์และสยบวิญญาณมารที่แข็งแกร่งได้ บุคคลดังกล่าวต้องมีระดับนักบุญเป็นอย่างน้อย และนั่นเลยวัยที่จะกลั่นแกล้งใครเพียงเพื่อความสนุก!
หรือจะเป็นเรื่องจริง…บรรพบุรุษของกึ่งมนุษย์ ล้วนเป็นมนุษย์ทั้งหมด? เอลฟ์ก็ด้วย? เนื่องจากเคยเห็นหลายสิ่งที่น่าตกตะลึงภายในชุมนุมทาโรต์มาไม่น้อย ผนวกกับความศรัทธาทางศาสนาถดถอยลงหลังจากเห็นภาพจิตรกรรมบนเกาะโบราณ แฮงแมน อัลเจอร์ มิได้ระเบิดอารมณ์ที่รุนแรงออกมา เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาจับเส้นผมสีน้ำเงินเข้มของตน
มิสเตอร์แฮงแมนนำตัวเองเข้าไปเชื่อมโยงกับเหตุการณ์? อา…กลับกลายเป็นว่า พ่อแม่ของราชาคนยักษ์คือมนุษย์… ตำนานพระผู้สร้างส่วนใหญ่ที่แพร่หลายในปัจจุบันล้วนเป็นเรื่องแต่งโดยฝีมือชนรุ่นหลัง แต่ก็สอดแทรกการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์ไว้บางส่วน…มิสเตอร์มูนมิอาจทำใจยอมรับกับเรื่องนี้…ดูเหมือนว่ามิสเตอร์เวิร์ลจะทราบมานานแล้ว…อาศัยพลังปลอบโยน ออเดรย์สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าใคร จึงมีเวลาสังเกตพฤติกรรมคนรอบข้าง
ขณะเดียวกัน คนที่กระสับกระส่ายมากที่สุดคือเดอะมูน ในหัวของมันเต็มไปด้วยคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ และ ‘ไม่มีทาง’
ถ้าบรรพบุรุษของคนยักษ์คือมนุษย์ แล้วผีดูดเลือดล่ะ? พวกเราเป็นเพียงสัตว์ประหลาดที่เกิดจากตะกอนพลัง? เป็นไปไม่ได้! มีหลักฐานชัดเจนว่าพวกเราถูกสร้างโดยท่านบรรพบุรุษ พระองค์ถือครองพลังในขอบเขต ‘ชีวิต’ และ ‘สร้าง’ แตกต่างจากเทพป่าเถื่อนที่รู้จักเพียงการต่อสู้อย่างราชาเอลฟ์กับคนยักษ์! ความคิดของเอ็มลินกำลังผันผวน ศักดิ์ศรีของมันกำลังถูกระคายเคือง
สัญชาตญาณ ความเป็นเหตุเป็นผล และสมองของมันกำลังบอกว่า เดอะซัน เดอร์ริคไม่มีแรงจูงใจให้ต้องโกหก และมีโอกาสต่ำมากที่จะเป็นฝีมือการจัดฉากของเทพตนอื่น เอ็มลินจึงเลือกที่จะดึงเผ่าพันธุ์เอลฟ์และคนยักษ์ให้ต่ำลง มองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงสาขาหนึ่งของมนุษย์
เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และจัดจ์เมนต์ ซิล ต่างปรับสภาพจิตใจกับเรื่องที่เดอะซันเล่าให้ฟังอย่างรวดเร็ว สำหรับพวกมัน ไม่ว่าบรรพบุรุษของคนยักษ์จะเป็นยักษ์ เป็นมนุษย์ หรือเป็นลิงบาบูนขนหยิก นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตจะขึ้นอยู่กับตะกอนพลังในร่างกายอยู่แล้ว เรื่องนี้มิได้เปลี่ยนแปลงความจริงของโลกปัจจุบัน
เดอร์ริคสงบจิตใจลง กล่าวต่อไปท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้อึดอัด
“หลังออกจากป่าเสื่อมโทรม พวกเราเข้าไปในวังราชาคนยักษ์ผ่านอุโมงค์รกร้าง…”
“…ระหว่างทาง พวกเราเผชิญหน้ากับพลังในขอบเขต ‘ความเสื่อมทราม’ และ ‘การปกปิด’ จำเป็นต้องตอบสนองอย่างถูกต้องจึงจะผ่านไปได้…”
“…ในวังหลังหนึ่งมีภาพจิตรกรรมที่บรรจุพลัง ‘วัฏจักรแห่งชะตากรรม’ เอาไว้ พวกเราได้รับอิทธิพลจากมันและกลายเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการชุมนุมลับ ต้องเผชิญเหตุการณ์วนซ้ำหลายรอบ…เหตุการณ์ดังกล่าวคือช่วงเวลาที่กุหลาบไถ่บาปถูกก่อตั้งขึ้น…”
เล่าถึงตรงนี้ เดอร์ริคมองไปรอบตัวและพบว่าสมาชิกทุกคนสลัดความคิดก่อนหน้าทิ้งไปจนหมด ปัจจุบันกำลังสนใจฟังข้อมูลขององค์กรลับที่มีนามว่ากุหลาบไถ่บาป
ทุกคนทราบว่านี่คือองค์กรลับและเก่าแก่ที่ศรัทธาในพระผู้สร้างแท้จริง เป็นต้นกำเนิดของชุมนุมแสงเหนือ สมาชิกที่สำคัญประกอบด้วยราชาเทวทูตโอโรเลอุส เมดีซี และซาสเรีย
เดอร์ริคถอนสายตากลับ หายใจแผ่วเบา
“สองบุคคลที่เป็นประธานของกุหลาบไถ่บาปคือเทวทูตมืด ซาสเรีย และเทพธิดารัตติกาล อมานีซิส…”
อะ…? จัสติส ออเดรย์ เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด จัดจ์เมนต์ ซิล ต่างพากันไม่เชื่อหู
พวกมันคือสาวกของรัตติกาล จึงคาดไม่ถึงว่าเทพธิดาจะเคยเป็นสมาชิกของกุหลาบไถ่บาป แถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงประธานการชุมนุม
คล้ายกับกำลังพูดว่า เทพธิดารัตติกาลคือสมาชิกชุมนุมทาโรต์!
หากไม่ใช่เพราะทุกคนทราบดีว่าเดอะซันน้อยเป็นคนแบบไหน และมั่นใจว่าไม่ได้โกหก คงเกิดคำถามกับความน่าเชื่อถือของข้อมูล แต่ปัจจุบัน พวกมันทำได้เพียงปิดปากเงียบ ไม่กล้าคิดลึกลงไป
แฮงแมน อัลเจอร์ หันร่างกายไปหาเดอะซันโดยไม่รู้ตัว จากนั้น มันได้ยินเด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผู้เข้าร่วมประกอบด้วย: เทวทูตสีขาว โอซาคุส เทวทูตวายุ เลโอเดโร…”
เปลือกตาอัลเจอร์กระตุกหนัก แต่มันไม่กล้าคิดลึกไปกว่าเดิม
“…เทพสงคราม บาร์ดไฮเออร์ พระแม่ธรณี โอมีเบล่า…”
เอ็มลินที่กำลังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เหยียดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ถ้อยคำหนึ่งดังกังวานในใจ: เทพธิดาแห่งการเก็บเกี่ยว ราชินีคนยักษ์ โอมีเบล่า
“เทพแห่งวิญญาณมรณะ ซาลินเจอร์ เทพแห่งสัตว์วิญญาณ ทอซน่า…”
เสียงของเดอะซัน เดอร์ริค ดังกึกก้องท่ามกลางวังโบราณที่งดงาม เฮอร์มิท แคทลียา เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และสมาชิกคนอื่นต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล่าวคำใด คล้ายกับว่าหากใครพยายามทำความเข้าใจลึกลงไป คนผู้นั้นจะถูกทัณฑ์แห่งเทพเล่นงาน
ทันทีที่เดอร์ริคเล่าจบ บรรยากาศเงียบเชียบเข้าปกคลุมการชุมนุม เป็นความเงียบที่ชวนให้อึดอัด
ในที่สุด เฮอร์มิท แคทลียา ถอนหายใจยาว
“กุหลาบไถ่บาปแข็งแกร่งจนน่าสะพรึง…ก่อนหน้านี้ ฉันจินตนาการไม่ออกว่าพวกท่านเหล่านั้นจะเคยเป็นสมาชิก…”
สิ้นเสียงแคทลียา เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์ กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“องค์กรดังกล่าวถูกจัดตั้งเฉพาะกิจเพื่อต่อกรกับเทพสุริยันบรรพกาล ในภายหลัง เหลือเพียงเทวทูตไม่กี่ตนเท่านั้นที่ยังเป็นสมาชิกอยู่”
ได้ยินคำพูดดังกล่าว ออเดรย์และสมาชิกคนอื่นต่างถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ สายตาจดจ้องไปยังตำแหน่งหัวโต๊ะทองแดงยาวลวดลายโบราณโดยไม่รู้ตัว เฝ้ามองร่างที่ถูกม่านหมอกสีเทาบดบัง คล้ายกับรอฟังการพิจารณาคดีจากศาล
เดอะฟูล ไคลน์ ที่เดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ในทำนองนี้ ไม่ตอบสนองกลับไปในทันที เพียงผงกศีรษะแผ่วเบาและถอนหายใจ
“นี่คือสาเหตุที่พระผู้สร้างเสื่อมทรามถือกำเนิด”
เป็นความจริง…ทั้งหมดเป็นความจริง…มิสเตอร์ฟูลเคยเตือนทุกคนแล้วว่า กุหลาบไถ่บาปไม่ใช่องค์กรธรรมดา… พระองค์คือตัวตนใดในอดีตกาล? อยู่ฝ่ายใดและตำแหน่งใด? คำถามมากมายผุดขึ้นในใจสมาชิกชุมนุมทาโรต์
เดอะซัน เดอร์ริค มองหน้าทุกคนและยืนยันว่าไม่มีใครจะพูดต่อ จึงเล่าเหตุการณ์หลังจากนั้น
“…ด้านนอกวังพำนักของราชาคนยักษ์ พวกเราได้พบกับหัวหน้าผู้ไล่ล่าแห่งวังราชา ผู้พิฆาตแสง เมิร์สกอร์กอน…เขากล่าวว่า เทวทูตมืด ซาสเรีย กำลังหลับใหลอยู่ภายในวังดังกล่าว…”
เมื่อเทียบกับความลับของกุหลาบไถ่บาป ข่าวคราวการหลับใหลของเทวทูตมืดแทบไม่สร้างความแตกตื่นให้กับสมาชิกชุมนุมทาโรต์ มีเพียงความอยากรู้อยากเห็นแค่เล็กน้อย
แต่แน่นอน ในฐานะปราชญ์พิศวง แคทลียาหวังว่าเดอะซันน้อยจะเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมอีกสักนิด
“หลังจากนั้นพวกเราก็เดินทางกลับ มิสเตอร์ฟูลมอบสูตรโอสถอัศวินสีเงินให้ทีมสำรวจของเรา” ในส่วนสุดท้าย เดอร์ริคเล่าสรุปอย่างจริงใจ
จัสติส ออเดรย์ และคนที่เหลือยังคงหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ตื่นตระหนกและไม่กล้าคิดลึกมากเกินไป ด้วยเกรงว่านั่นอาจเป็นการดูหมิ่นเทพ จึงไม่มีใครตอบสนองไปสักพัก จนกระทั่งแฮงแมน อัลเจอร์ ทำหน้าครุ่นคิดและกล่าว
“ถ้าในเมื่อพระผู้สร้างแท้จริงเกิดจากกุหลาบไถ่บาป ท่านก็น่าจะรู้จักวังราชาคนยักษ์เป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ…แล้วทำไมคนเลี้ยงแกะ อาวุโสโลเฟียร์คนนั้นถึงทำเหมือนกับไม่รู้เรื่องอะไรเลย?”
…………………………