นรกในปัจจุบันคือดินแดนที่แม้แต่ปีศาจส่วนใหญ่ก็ยังมิอาจดำรงชีวิต? ได้ยินคำตอบจากมิสเตอร์ฟูล แคทลียาและคนที่เหลืออดไม่ได้ที่จะเกิดความตะลึง
ในเชิงศาสตร์เร้นลับ นรกคือสถานที่ซึ่งถูกขนานนามให้เป็นแหล่งของความเลวทรามและโกลาหล เป็นที่อยู่อาศัยของปีศาจ แต่กลับกลายเป็นว่า ในปัจจุบัน แม้แต่ ‘คนท้องถิ่น’ ก็ยังมิอาจดำรงชีวิตอยู่ที่นั่นได้!
เป็นเพราะสภาพแวดล้อมของนรกเลวร้ายลง ปีศาจจึงอาศัยอยู่ไม่ได้ หรือเป็นเพราะความเลวทรามและโกลาหลถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นจนไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของปีศาจ? แฮงแมน อัลเจอร์ ตั้งสมมติฐานขึ้นมาสองข้อ แต่ไม่มั่นใจว่าข้อไหนถูก
เฮอร์มิท แคทลียา มีความคิดคล้ายคลึงกัน ถึงเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไมราชินีถึงเลือกคำถามนี้ แต่พิจารณาจากคำตอบ มิสเตอร์ฟูลกำลังสื่อเป็นนัยว่ามีความไม่ปรกติเกิดขึ้นที่นั่น บางทีอาจช่วยขจัดข้อสงสัยที่ราชินีอยากทราบ
สำหรับจัสติส ออเดรย์ เธอฉุกคิดถึง ‘นักพยากรณ์’ ครึ่งเทพแห่งโบสถ์ปัญญาความรู้ที่เกือบคลุ้มคลั่ง อีกฝ่ายเคยกล่าวไว้ว่า วันสิ้นโลกจะมาถึงในปี หนึ่งพันสามร้อยหกสิบแปด แห่งยุคสมัยที่ห้า นี่คือข้อเท็จจริงที่ผู้วิเศษส่วนใหญ่เคยได้ยิน และแม้แต่ทวยเทพก็ยืนยันเช่นนั้น
ปัจจุบันคือปีหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบ เหลือเพียงสิบแปดปีจากวันสิ้นโลก… ส่งผลให้นรกเผยสัญญาณความเลวทรามและโกลาหลยิ่งกว่าเดิม ไม่ได้เป็นแค่สถานที่เชิงสัญลักษณ์เหมือนในอดีต? ออเดรย์พอจะคาดเดาได้ ภายในใจเริ่มกระสับกระส่าย
เดิมที เนื่องจากไม่เคยมีเค้าลางของวันสิ้นโลกปรากฏให้เห็น หญิงสาวจึงไม่ใส่ใจมากนัก ความสนใจส่วนใหญ่มุ่งไปยังสงครามตรงหน้า รวมถึงผู้คนที่กำลังล้มตาย ได้รับบาดเจ็บ และทุกข์ทรมาน แต่เมื่อได้ยินคำตอบ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในนรกทำให้หญิงสาวเกิดความกลัวจากก้นบึ้งซึ่งยากจะอธิบาย อยากเร่งมือย่อยโอสถเพื่อครอบครองตะกอนพลังที่เฮอร์วิน·แรมบิสเหลือทิ้งไว้และกลายเป็นครึ่งเทพ
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น เธอจึงจะแทรกแซงและต่อกรกับสถานการณ์ที่ตัวเองไม่ปรารถนาจะให้เกิด
มิสเตอร์เวิร์ล ได้โปรดมอบหมายงานให้ฉันอีก…จัสติส ออเดรย์ สวดวิงวอนภายในใจพร้อมกับใช้พลังปลอบโยนเพื่อสงบสติ
สมาชิกคนอื่นอย่างเดอะสตาร์ เลียวนาร์ด เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส และจัดจ์เมนต์ ซิล เคยนึกสงสัยว่า นรกมีจริงหรือไม่ เพราะหลังจากยุคสมัยที่สอง นรกก็ไม่ปรากฏสู่สายตาสาธารณชนอีกเลย ปีศาจในชีวิตจริงส่วนมากมักมาจากนิกายบูชาโลหิต แม้แต่ปีศาจระดับสูงและตัวตนลึกลับที่พิธีกรรมส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปหา ก็ล้วนเป็นเบื้องบนของนิกายบูชาโลหิตทั้งสิ้น
จริงอยู่ เทพมารอย่าง ‘ด้านมืดเอกภพ’ มักถูกเรียกว่าร่างจุติของนรก แต่ก็แทบไม่มีความเคลื่อนไหว หากไม่ใช่เพราะด้านมืดเอกภาพคอยตอบสนองต่อพิธีกรรมเป็นครั้งคราว และแสดงอำนาจในขอบเขตปีศาจ คนส่วนใหญ่คงคิดว่าด้านมืดของเอกภพเป็นแค่ตำนานเล่าขาน เหมือนกับราชาคนยักษ์เออเมียร์
อย่างไรก็ดี ข้อมูลลับของโบสถ์รัตติกาลที่เลียวนาร์ดมีสิทธิ์เข้าถึง ระบุว่ามีโอกาสที่ด้านมืดของเอกภพจะเป็นการสวมรอยจากเทพมารหรือตัวตนลึกลับบางตน
เดอะซัน เดอร์ริค ไม่ประหลาดใจมากนัก เพราะในดินแดนที่ห่างออกไปจากเมืองเงินพิสุทธิ์ ลึกเข้าไปในความมืดมิดอันไร้ขอบเขต มีปีศาจจำนวนไม่น้อยที่อาละวาดอย่างบ้าคลั่ง ไม่เว้นกระทั่งปีศาจระดับครึ่งเทพ ไม่ต่างอะไรกับนิยามของคำว่านรกที่ทุกคนเข้าใจ
หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ของวังราชาคนยักษ์ซึ่งเป็นสถานที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ ชาวเมืองเงินพิสุทธิ์อาจตั้งข้อสงสัยว่า บางทีพวกตนคงถูกทอดทิ้งและโยนลงมาในนรก
ท่ามกลางกระแสความคิดมากมายของสมาชิกชุมนุมทาโรต์ เฮอร์มิท แคทลียาระงับความสงสัยและถามคำถามถัดไป
“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ คำถามที่สองก็คือ พฤติกรรมในช่วงบั้นปลายของจักรพรรดิโรซายล์ ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยภายนอกที่ไม่จำเป็นใช่หรือไม่”
คำถามดังกล่าวทำให้ไคลน์หวนนึกถึงเนื้อหาที่น่าขนลุกและขัดแย้งกันเองในไดอารีช่วงบั้นปลายของโรซายล์ ถึงกับต้องถอนหายใจยาว
เดอะฟูลส่ายศีรษะ
ไม่ใช่? พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นเจตจำนงของตัวจักรพรรดิเอง…ขณะเฮอร์มิท แคทลียากำลังผิดหวังและอึดอัด เธอได้ยินเสียงเดอะฟูลถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่อิทธิพลจากภายนอก แต่เป็นการกัดกร่อน…แม้แต่เราก็ตรวจพบได้ไม่ง่าย”
การกัดกร่อน…จักรพรรดิโรซายล์ถูกกัดกร่อนในช่วงบั้นปลาย? แต่ตอนนั้นท่านเป็นถึงเทวทูตเดินดิน ยังถูกกัดกร่อนได้อีกหรือ? เป็นฝีมือของเทพแท้จริง หรือการกัดกร่อนจากใต้ดินที่แม้แต่เทพบรรพกาลยังขยาด? จัสติส ออเดรย์ออกอาการตกตะลึง เมื่อผนวกกับความรู้ในหัว เธอพอจะคาดเดาบางสิ่ง
แฮงแมน อัลเจอร์และสมาชิกคนอื่นของชุมนุมทาโรต์ต่างก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับโรซายล์ในช่วงบั้นปลาย บางคนตั้งคำถามกับจุดประสงค์ที่จักรพรรดิโรซายล์สร้างไพ่เย้ยเทพขึ้นมา
ขณะเดียวกัน พวกมันเริ่มตระหนักว่า จุดประสงค์ในการรวบรวมไพ่เย้ยเทพของมิสเตอร์ฟูล อาจยิ่งใหญ่กว่าที่พวกตนเคยเข้าใจ
ในเกมที่เกี่ยวพันกับชะตากรรมของโลกทั้งใบ มีเพียงตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างมิสเตอร์ฟูลเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติเป็น ‘ผู้เล่น’ ส่วนเราเป็นได้แค่ไพ่หรือชิปสักแผ่น…ราชาเทวทูตกับเทวทูตลำดับหนึ่ง เองก็น่าจะได้สิทธิ์เข้าร่วม…แฮงแมน อัลเจอร์ ถอนหายใจเงียบ อันที่จริง มันเองก็ปรารถนาจะเป็น ‘ผู้เล่น’ คนหนึ่งเหมือนกัน
เรื่องราวในบั้นปลายชีวิตของจักรพรรดิโรซายล์ พลิกผันจากทรราชกลายเป็นเทพมาร? หนังสือที่เนื้อหาในช่วงแรกเริ่มด้วยความโรแมนติก สร้างแรงบันดาลใจ เปี่ยมไปด้วยความรัก การผจญภัย การทุ่มเท และความเน่าเฟะทางการเมืองและชนชั้นสูงของอินทิส สุดท้ายกลับลงเอยด้วยเรื่องสยองขวัญ? แม้แต่เราก็ไม่กล้าแต่งนิยายแบบนี้! ถ้าเป็นเรา คงเขียนให้ตอบจบลงเอยด้วยความเศร้าอันเนื่องมาจากถูกคนรักหักหลัง หรือไม่ก็เป็นการผิดคำมั่นสัญญา…เมจิกเชี่ยน ฟอร์ส อดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความคิดล่องลอย ในใจนึกอยากจับปากกาขึ้นมาเขียนชีวประวัติของจักรพรรดิโรซายล์มหาราช
แต่แน่นอน ในท้องตลาดมีชีวประวัติของจักรพรรดิโรซายล์อยู่ไม่น้อย และบางเล่มมีเนื้อหาต้องห้าม
ถูกกัดกร่อน…เพราะถูกกัดกร่อนนี่เอง…เฮอร์มิท แคทลียา เกิดความเศร้าโศกสักพัก
เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะอย่างน้อยจักรพรรดิก็มิได้เปลี่ยนจากวีรบุรุษเป็นมังกรชั่วตามที่ตำนานเขียนไว้ ท่านยังคงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การยกย่อง สิ่งเดียวที่น่าเศร้าก็คือ ความจริงเบื้องหลังยังไม่ถูกเปิดเผยจวบจนปัจจุบัน
เมื่อสงบสติลง แคทลียานึกทบทวนถึงการถูกกัดกร่อน และยิ่งครุ่นคิดมากเท่าไร เธอก็ยิ่งตื่นตระหนกมากเท่านั้น
เธอเชื่อว่าตนรู้จักจักรพรรดิโรซายล์ดีกว่าใครในบรรดาสมาชิกชุมนุมทาโรต์ และทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ลำดับใดในช่างบั้นปลาย – แน่นอนว่ามิสเตอร์ฟูลมีศักดิ์เป็นประธานและสักขีพยาน ไม่ใช่สมาชิก
แม้แต่เทวทูตลำดับหนึ่ง อย่างท่านก็ยังถูกกัดกร่อนอย่างเงียบเชียบ ทั้งตัวท่านและคนใกล้ชิด ไม่มีใครเอะใจกับเรื่องนี้เลย!
นี่มันยิ่งกว่าสยองขวัญ…เฮอร์มิท แคทลียา สูดลมหายใจเข้าออกเชื่องช้าเพื่อปรับอารมณ์
จากนั้น เธอก้มศีรษะไปทางตำแหน่งประธานโต๊ะทองแดงยาว
“ขอบคุณสำหรับคำตอบ มิสเตอร์ฟูลที่เคารพ”
…ฉันเองก็ต้องขอบใจที่เธอไม่ถามอะไรนอกเหนือความรู้…เดอะฟูล ไคลน์ จิกกัดตัวเอง เอนหลังพิงเก้าอี้พลางพยักหน้ารับแผ่วเบา
“เชิญ”
เฉกเช่นคราวก่อน สมาชิกชุมนุมทาโรต์ส่วนใหญ่เพิ่งเลื่อนลำดับ หรือไม่ก็กำลังย่อยโอสถ ไม่มีใครต้องการค้าขายไปสักระยะ หลังจากมองหน้ากันอยู่นาน ทุกคนตัดสินใจเข้าสู่ช่วงแลกเปลี่ยนข้อมูลอิสระทันที
แต่อันที่จริง เดอะมูน เอ็มลิน เป็นข้อยกเว้น มันต้องการจ้างใครสักคนมาช่วยประกันตัว หรือไม่ก็ช่วยแหกคุกออกจากชั้นใต้ดินของวิหารนักบุญแซมมวล ถูกต้อง มันยังคงถูก ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ หลังประตูยานิสมาจนถึงทุกวันนี้ ห้องติดกันคือบิชอปยูทรอฟสกี้ และตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่มีเหยี่ยวราตรีเข้ามาสอบปากคำแม้แต่คนเดียว
หากไม่ใช่เพราะเวรยามที่คอยเฝ้าประตูยานิสคอยส่งน้ำส่งอาหารทุกวัน เอ็มลินคงคิดว่าตนและหลวงพ่อยูทรอฟสกี้ถูกขังลืมไปแล้ว
บรรยากาศที่โดดเดี่ยวและมืดมิดไม่ใช่ปัญหา ปัญหาอยู่ที่อากาศซึ่งค่อนข้างหนาว แถมยังไม่มีตุ๊กตา ไม่มีหนังสือพิมพ์ ไม่มีหนังสือ ไม่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์ เป็นชีวิตที่ไม่มีความหมายเลยสักนิด…ไม่เพียงเท่านั้น เหยี่ยวราตรียังให้ดื่มแต่เลือดวัว รสชาติห่วยบรม แถมยังไม่ดีต่อร่างกาย เรากำลังอ่อนแอลงเรื่อย ๆ …เอ็มลินพะงาบปาก แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก เพราะเรื่องราวฟังดูน่าอับอายเกินไป ตัวมันเป็นคนชักชวนให้มีการ ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ บิชอปยูทรอฟสกี้เอง แต่กลับลงเอยด้วยการติดร่างแห
หวังว่าหมอนั่นจะไม่ลืมเราและหาโอกาสช่วยออกไป…เอ็มลินชำเลืองไปทางเดอะสตาร์ เลียวนาร์ด แต่มิได้กล่าวคำใด
เลียวนาร์ดยังคงรักษาอาการ ไม่ตอบสนองต่อสายตาของเดอะมูน
มันเองก็จนปัญญาจะช่วยเหลือ เพราะในตอนแรก เลียวนาร์ดคือตัวตั้งตัวตีที่เสนอแผน ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ แก่อาร์ชบิชอป ไม่เพียงเท่านั้น เอ็มลิน·ไวท์ยังเป็นถึงแวมไพร์ไวเคาต์ เทียบเท่ากับผู้วิเศษลำดับห้า เป็นขีปนาวุธเดินได้ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ แถมยังศรัทธาพระแม่ธรณี ไม่มีเหตุผลให้ต้องปล่อยตัวในเร็ววัน
คงต้องรอให้เครือญาติผีดูดเลือดเริ่มทักท้วงผ่านช่องทางอื่นเสียก่อน เราจึงจะมีโอกาสลงมือ…เดอะสตาร์ เลียวนาร์ด ตัดสินใจเตรียมขอ ‘สนทนาส่วนตัว’ กับเอ็มลิน หวังช่วยกันคิดหาวิธีทำให้เบื้องบนของผีดูดเลือดเคลื่อนไหวและติดต่อกับโบสถ์รัตติกาล
พฤติกรรมดังกล่าวถูกพบเห็นโดยจัสติส ออเดรย์ เธอนึกถึงคำถามของเดอะมูนในการชุมนุมล่าสุดและสงสัยว่า อาจมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับแผนการ ‘คุมขังเชิงคุ้มครอง’ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก
เราเคยได้ยินว่า นักบวชจากวิหารฤดูเก็บเกี่ยวช่วยเหลือผู้คนไว้มากมายในโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันแห่งเบ็คลันด์ ขอให้ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเขา…ออเดรย์พยักหน้าแผ่วเบาพลางหันไปจ้องเดอะซันน้อย
สมาชิกคนอื่นของชุมนุมทาโรต์ต่างก็หันมาสนใจเดอะซัน เดอร์ริค เช่นกัน
ทุกคนทราบว่า เมืองเงินพิสุทธิ์มีแผนจะสำรวจวังราชาคนยักษ์เมื่อสัปดาห์ก่อน ตอนนี้ผลลัพธ์จึงน่าจะออกมาแล้ว
เดอะซัน เดอร์ริค เหยียดหลังตั้งตรง ชำเลืองแฮงแมนเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างใจเย็น
“ภารกิจสำรวจวังราชาคนยักษ์รอบแรกจบลงแล้ว…เสียชีวิตสาม สูญหายหนึ่ง รอดชีวิตกลับมาห้าคน…ในตอนแรก พวกเราตรงไปยังทางเข้าด้านหน้าของวังราชาคนยักษ์และได้พบกับ ‘อัศวินสีเงิน’ สองตนกำลังทำหน้าที่คุ้มกันโดยไม่ทราบเจตนา… อัศวินสีเงินคือชื่อโอสถลำดับสาม ของเส้นทางคนยักษ์…”
…………………………