ศพ – ตอนที่ 216 สมบัติลับ

 

ตอนที่ 216 สมบัติลับ

 

คนข้างนอกดูที่ความสนุกสนาน แต่คนในสายงานเลือกดูที่แก่นของเรื่องราว

 

ท่านนักพรตตู้สายตาเฉียบคม เพียงแค่มองดู ก็รู้แล้วว่ากล่องใบนี้ไม่ธรรมดา

 

ก่อนหน้านี้ผมและอาจารย์เคยมองดูมันเช่นกัน แต่นอกจากอักขระคาถาที่ไม่รู้จักแล้ว พวกเราก็ไม่เห็นอะไรพิเศษ

 

อีก

 

แต่การใช้งานในวันนี้ ทําให้พวกเรารู้ว่ามันเป็นกล่องไม้วิเศษ และมันยังสามารถติดต่อกับนางพญาจิ้งจอกได้

 

แต่ รูปสลักบนกล่องใบนี้ กลับค่อนข้างพิเศษ

 

มันไม่ใช่การวิดิโอคอล แต่เป็นคาถาลับ ซึ่งทําขึ้นโดยลัทธิเต๋า

 

เมื่อลองคิดดูแล้วมันก็เหมือนกับ “ การติดต่อกับสวรรค์ ” เป็นวิธีที่น่าเหลือเชื่อมาก

 

เป็นความสามารถของนักปราชญ์ และเป็นสิ่งที่พบเห็นกันได้น้อยมาก

 

ตามยุคสมัยของลัทธิเรา การสร้างของแบบนี้ออกมาได้ ถือว่าเป็นของหายากจริงๆ

 

แต่ไม่รู้ว่ามู่หลงเหยียนเป็นคนทําสิ่งนี้ขึ้นมาเองหรือว่าได้ มันมาจากที่อื่น

 

แต่ตอนนี้ผมกลับมั่นใจ ว่ามู่หลงเหยียนและนางพญาจิ้งจอกในหุบเขานั้น อาจเป็นเพื่อนหรือมีความสัมพันธ์อื่นต่อกัน

 

ไม่อย่างนั้นหลังจากเปิดกล่อง ผมจะติดต่อกับนางพญาจิ้งจอกตัวนั้นได้ยังไง

 

นี่จะต้องเป็นเพราะก่อนหน้านี้ พวกเธอต้องคุยกันเรียบร้อยแล้ว รอเพียงแค่ให้ผมเปิดกล่องเท่านั้น

 

หลังจากท่านนักพรตที่พูดประโยคพวกนั้นออกมา เขาก็มองกล่องให้ละเอียดอีกพักหนึ่ง ท้ายที่สุดเขาก็คืนกล่องมา ให้ผมดังเดิม

 

เมื่อผมเก็บกล่องเรียบร้อยแล้ว ผมก็พูดกับท่านนักพรตต์ว่า “ ท่านลุงตู้ เข้าใจสัญลักษณ์ที่สลักไว้บนกล่องไหม ”

 

เมื่อท่านนักพรตต์ได้ยินผมพูด เขาก็พยักหน้าให้เล็กน้อย “ จะพูดว่าเข้าใจก็ไม่ได้ บอกได้แค่ว่าฉันรู้อะไรเท่านั้น !”

 

“ เหล่า นายพูดเลย สัญลักษณ์พวกนั้นหมายความว่าอะไร” อาจารย์ก็พูดด้วยความร้อนใจ

 

เพราะพวกเรามองไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษ และไม่เข้าใจว่าอักขระหรือสัญลักษณ์พวกนั้นคืออะไร หมายความว่าอะไร

 

แม้ท่านนักพรตต์จะไม่อยากถามถึงที่มาของกล่องใบนี้แต่เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของพวกเราเขาก็พูดว่า “ ฉันก็ไม่ ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ที่มั่นใจคือ พวกนี้เป็นสัญลักษณ์พิเศษที่จริงมันก็คือวงเวทย์รูปแบบหนึ่ง”

 

“ วงเวทย์อะไร ตู้อ่าว แกคงไม่รู้หรอกนะ ถึงได้พูดจาเหลวไหลแบบนั้น” เหล่าฉันไม่เชื่อที่เขาพูด

 

จากความรู้ที่พวกเรามี การสร้างวงเวทย์ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

 

อย่าว่าแต่สลักลงบนกล่องเล็กๆแบบนี้เลย แม้จะสลักลง ไปแล้วมันก็น่าจะมีความซับซ้อนมากกว่านี้

 

พวกธาตุทั้งห้า ปากั่ว ดาวทั้งเจ็ด แล้วยังพวกดาวเก้ายุคอะไรนั้นอีก

 

แต่สัญลักษณ์เหล่านี้ ยังซับซ้อนกว่าอักษรตัวเต็มเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็ไม่ใช่วงเวทย์

 

ถึงจะเอามาเทียบกับวงเวทย์ที่ง่ายที่สุดมันก็ยังเป็นไปไม่

 

ดังนั้น สัญลักษณ์พวกนี้จึงไม่ต่างอะไรกับอักขระในแผ่นยันต์มากนัก แล้วพวกมันจะกลายเป็นวงเวทย์ได้ยังไง 

 

แต่ท่านนักพรตต์กลับหัวเราะเบาๆ หลังจากเขาก็พูดต่อ “ เมื่อ 10 ปีก่อน ความคิดของฉันกับพวกนายไม่ต่างกันเลยสักนิด ล้วนคิดว่าการสร้างวงเวทย์ต้องซับซ้อน เกี่ยวกับท้อง ฟ้า พื้นดินธาตุทั้งห้าและอื่นๆอีกมากมาย ”

 

“ แต่ หลังจากที่ฉันได้ศึกษาเรื่องฉีเหมินตันเจี้ย (จัดเป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาลึกลับของจีนโบราณทั้ง 3) ฉันก็รู้ว่าเราสามารถเปลี่ยนอักษรตัวเต็มเป็นตัวย่อได้ ใช้สัญลักษณ์พิเศษเหล่านี้ในการสร้างวงเวทย์ จากนั้นก็เริ่มวางตําแหน่งจัดเรียง ลําดับ จนในที่สุดเราก็จะสามารถสร้างวงเวทย์พิเศษที่ไม่ซับซ้อนขึ้นมาได้ ”

 

“ และกล่องใบนี้ก็เป็นแบบนั้น ที่จริงสัญลักษณ์ที่อยู่ใต้กล่อง ก็คือรหัสของวงเวทย์อย่างหนึ่ง และทุกๆรหัสที่อยู่บนนั้นก็ได้พัฒนามาจากการจัดเรียงสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนของวงเวทย์ฯ

 

ท่านนักพรตต์พูดอย่างตรงไปตรงมา อธิบายความคิดของเขาที่มีต่อกล่อง และสิ่งที่รู้เกี่ยวกับสัญลักษณ์บนนั้น

 

แต่เมื่อพวกเราฟังแล้วกลับต้องอึ้ง ในศาสตร์ฉีเหมินตุ้นเจีย ยังมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ มันสามารถลดอักข ระบนวงเวทย์ได้ด้วย

 

ตามที่ท่านนักพรตต์พูด นี่มันก็ไม่ต่างอะไรกับสูตรคณิต นะซิ

 

สูตรคณิตทุกสูตรล้วนเกิดจากการใช้เหตุผลและการทดลองหลากหลายรูปแบบ วงเวทย์เองก็เป็นแบบนั้นเหรอ

 

ผมคิดว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก ดังนั้นจึงถามว่า “ ท่านลุงตู แล้วเราต้องทํายังไง ถึงจะสลักวงเวทย์แบบนี้ออกมาได้ ”

 

เมื่อท่านนักพรตต์ได้ยินคําพูดนี้ เขากลับส่ายหัวไปมา “ เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ฉันเคยได้ยินมาว่า หลังจากศึกษาศาสตร์ฉีเหมินตันเจี้ยจนถ่องแท้แล้ว เราก็จะรู้ได้ ด้วยตนเอง !”

 

เมื่อฟังท่านนักพรตติพูดจบ ผมก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

คืนนี้ผมได้ความรู้ใหม่จาก วิชาลักธิเต๋ วงเวทย์และเรื่องอื่นๆ

 

แม้กล่องใบนี้จะแปลกอยู่บ้าง แต่นอกจากจะมีวงเวทย์ลึกลับถูกสลักเอาไว้แล้ว เขาก็ไม่เห็นสิ่งอื่นอีก

 

บวกกับมู่หลงเหยียนให้กล่องใบนี้มา ผมจึงพูดถึงมันได้ไม่ มากนักดังนั้นหลังจากถามไปสองสามคําถาม ผมก็ไม่พูดอะ ไรต่ออีก

 

ท่านนักพรตต์เองก็ดูออกว่าพวกเราไม่ค่อยอยากพูด เขาจึงไม่ถามมาก หยุดเรื่องนี้ไว้เพียงเท่านี้

 

หลังจากนั้น พวกเราก็รีบเดินทาง จนกระทั่งเวลาตี 2 พวกเราก็กลับมาถึงตําบล

 

ตอนนี้ดึกมากแล้ว ทุกคนค่อนข้างหิว ดังนั้นจึงไปซื้อของปิ้งย่างนิดหน่อย หลังจากนั้นถึงแยกย้ายกันกลับบ้าน

 

เมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็จุดธูปให้มู่หลงเหยียน ขอบคุณที่เธอช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ผมคงกําลังลําบากอยู่

 

แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆอาจารย์ก็พูดกับผมว่า “ เสียวฝาน กล่องนั้นเป็นสมบัติล้ําค่า พวกเราเก็บไว้ไม่เหมาะเท่าไหร่ ตอ นนี้ใช้เสร็จแล้วแกหาโอกาสเอามันไปคืนเมียด้วยละ !” 

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ค่อนข้างเห็นด้วย 

 

เพราะเจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ของของพวกเรา เป็นสิ่งที่หลงเหยียนให้ผมเอาไว้ต่อกรกับจิ้งจอกเฒ่า

 

ตอนนี้จิ้งจอกเฒ่าก็เลิกลากลับไปที่เขาจิ้งจอกแล้วผมก็ควรคืนกล่องใบนั้นให้มู่หลงเหยียน

 

ดังนั้นผมจึงหมุนด้วยมาทางป้ายวิญญาณอีกครั้ง จุดธูปเพิ่มอีกหนึ่งดอก “ น้องศพน้องศพ พวกเราใช้กล่องใบนี้เสร็จแล้ว เธอจะให้ฉันเอาไปคืน หรือเธอจะมาเอาเอง ถ้าเธอได้ยินแล้วตอบกลับฉันหน่อยนะ ”

 

หลังจากพูดจบ ผมก็ปักธูปลงในกระถาง

 

แต่วินาทีที่ผมกําลังปักธูปลงในกระถาง ทันใดนั้น เสียงมู่หลงเหยียนก็ดังอยู่ในหูของผม “ ในเมื่อใช้เสร็จแล้ว

 

นายก็เอามาคืนฉันพรุ่งนี้ ! เออใช่ ตอนมาเอาไก่เหลืองตัวใหญ่สองตัวมาด้วยนะ โอเคไม่มีอะไรละ ! แค่นี้แหละ !”, 

 

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ เสียงของมู่หลงเหยียนก็หายไปทันที 

 

แม้จะไม่เห็นตัวมู่หลงเหยียน แต่ความรู้สึกแบบนั้น มันทําให้ผมคิดว่าเธอยืนอยู่ข้างๆตัวผม

 

ผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมองรอบๆหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็ตอบกลับว่า “ ได้ ! ”

 

อาจารย์เห็นผมมองไปรอบๆ และพูดกับอากาศ เขาจึงถามผมว่า “ เมียแกกําลังคุยด้วยเหรอ ”

 

เมื่อได้ยินอาจารย์พูด ผมถึงได้สติกลับมา “ อื้อฮือ ! เธอบอกให้ผมเอาไปคืนพรุ่งนี้ และ และยังบอกให้ผมเอาไก่เห ลืองไปสองตัว ! ”

 

อาจารย์เงียบไปแป็บนึง แต่เขาก็ไม่ถามอะไรมาก “ ในเมื่อเมียแกพูดแล้ว งั้นพรุ่งนี้เช้าแกก็ไปตลาดเลือกซื้อไก่เหลืองสองตัวเอาที่มันตัวใหญ่หน่อยนะ ถ้าไปสายไก่มันจะ หมดเอา ! ”

 

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ไม่สนใจผม เดินตรงไปแปรงฟันทันที

 

ผมมองป้ายวิญญาณมู่หลงเหยียนสักพัก แม้จะไม่รู้ว่าเธอ ะเอาไก่ไปทําไม

 

แต่เรื่องเล็กแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จัดการยากอะไร วันพรุ่งนี้ผมแค่เอาไก่ไปให้สักสองสามตัวก็จบแล้ว

 

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ผมก็ตื่นนอนแต่เช้า

 

พร้อมกับขอบตาดําเมี่ยม ผมออกจากบ้านตรงไปที่ตลาดทันที

 

ไก่เหลืองไม่เหมือนหมาดํา พวกมันหาซื้อง่าย

 

ผมเลือกไก่เหลืองสองตัวที่ทั้งใหญ่และอ้วนที่สุด หลังจากนั้นก็กลับบ้าน รอจนถึงตอนกลางคืนค่อยไปที่ป่าชุ่ยหม่า

 

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset